บทที่ 466.1 ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า หอบหายใจดังฮักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและยังหยดลงบนพื้นเสียงดังติ๋งๆ

โชคดีที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เดิมทีมันก็เป็นเหมือนยันต์กำจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่านี่จะส่งผลกระทบต่อ ‘ความบริสุทธิ์สง่างาม’ ของเรือนไม้ไผ่

แต่ได้ยินมาว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมักจะหิ้วถังน้ำใบน้อยมาเช็ดถูพื้นที่ชั้นสองของเรือนเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้นานวันเข้านางจึงกลายมาเป็น ‘คนนอก’ เพียงคนเดียวที่สามารถเข้ามาในเรือนชั้นสองได้

การป้อนหมัดสิ้นสุดลง ส่วนการสอนหมัดและการประมือแลกเปลี่ยนความรู้นั้น ความจริงเป็นเช่นไร มองดูสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชของเฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่สีหน้าท่าทางผ่อนคลายเป็นผู้ที่รู้ชัดเจนดีที่สุด

แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจนิดๆ นี่ไม่เหมือนกับการที่ผู้เฒ่าต่อยกระดูกยืดเส้นเอ็นในอดีตที่เฉินผิงอันได้แต่ทนรับอย่างเดียวเท่านั้น การป้อนหมัดครั้งนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่มากกว่าคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาและทักษะ นอกเหนือจากนั้นก็คือช่วยให้เขาสร้างความมั่นคงให้แก่ปณิธานหมัดที่ ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน’ บางครั้งที่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีก็จะท่องสัจธรรมแห่งหมัดที่มีท่วงทำนองน่าสนใจออกมาสองสามประโยค ส่วนเฉินผิงอันทีบางครั้งก็ถูกเขาต่อยจนล้มคว่ำจะได้ยินหรือไม่ หรือแบ่งสมาธิมาฟังแล้ว จะมีปัญญาจดจำไว้ในใจได้หรือไม่ ผู้เฒ่ากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันในตอนนี้อดไม่ไหวถามว่า “ทำไมถึงไม่จำเป็นต้องหล่อหลอมเนื้อหนังมังสาและสามจิตหกวิญญาณแล้ว?”

ชุยเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “สอนเด็กให้ถือตะเกียบคีบกับข้าว นั่นก็เป็นช่วงที่เจ้าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ตอนนี้ยังต้องให้สอนอีกรอบ? เป็นเจ้าที่โง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นข้าที่ตาบอด เลือกคนโง่มาสั่งสอน?”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตามหลักแล้วคนที่ฝึกวรยุทธล้วนจำเป็นต้องใช้สองคำว่า ‘หล่อหลอม’ ในทุกๆ ขอบเขต ไม่ค่อยเหมือนกับคำว่าอาจารย์นำพาเข้าสำนัก การฝึกฝนอยู่ที่ตัวคนของผู้ฝึกลมปราณที่ได้วิชาลับตระกูลเซียนไปเท่าใดนัก

ดูเหมือนชุยเฉิงจะไม่ยินดีพูดหัวข้อนี้ต่อ เขาถามว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้ามักจะให้จูเหลี่ยนใช้ขอบเขตร่างทองจับคู่เข่นฆ่าต่อสู้กับเจ้าบ่อยๆ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รับมือได้ยากลำบากอย่างยิ่ง”

ชุยเฉิงส่ายหน้า “แรงไฟต่างกันเกินไป จูเหลี่ยนไม่กล้าฆ่าเจ้า แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าจูเหลี่ยนไม่มีทางฆ่าเจ้า ก็เหมือนคู่รักชายหญิงหยอกล้อกันที่เจ้าเกาข้า ข้าลูบเจ้ากลับเท่านั้น จะเป็นประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธที่แท้จริงได้อย่างไร”

เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ชุยเฉิงเอ่ย “นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เรียกจูเหลี่ยนมาที่ชั้นสอง ข้าจะจับตาดูการป้อนหมัดของพวกเจ้าเอง”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “ก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ชุยเฉิงแค่นเสียงเย็นชา “เหมือนกัน? หากจูเหลี่ยนกล้าไม่เกิดใจสังหารเจ้า ไม่กล้าฆ่าเจ้า ข้าก็จะต่อยให้เขาตายด้วยหมัดเดียว เจ้าคิดว่าจะเหมือนกันได้หรือ? จำไว้ว่า บอกกับจูเหลี่ยนให้ชัดเจนว่าอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ถึงเวลานั้นข้าไม่อยากจะพูดซ้ำประโยคเดิมอีกรอบกับศพศพหนึ่ง”

เฉินผิงอันหัวเราะ “ผู้อาวุโสเห็นจูเหลี่ยนอยู่ในสายตาด้วยหรือ?”

ชุยเฉิงกระตุกมุมปาก “ยามใดที่สามารถต่อยให้ความเฉลียวฉลาดและกลิ่นอายสูงศักดิ์บนร่างของเจ้าหมอนี่หมดไปได้ ต่อยจนไม่เหลือไว้สักหยด เขาถึงจะพอเข้าตาข้าได้บ้าง”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าประลองฝีมือกับจูเหลี่ยนที่จงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตร่างทอง ก็ไม่เคยทำให้เขาบาดเจ็บได้เลยสักครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนมีพลังเหลือเฟือ แค่ฟังคำประจบสอพลอยามเขาป้อนหมัดเสร็จก็รู้ได้แล้ว”

ชุยเฉิงหัวเราะหึหึ “เจ้าทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ

คนที่ไม่กลัวความยากลำบากใต้หล้านี้มีถมเถไป ทว่าเรื่องดีๆ อย่างการทนความยากลำบากแล้วจะต้องได้รับการตอบแทน กลับมีไม่มาก

ถึงแม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าเหตุใดจูเหลี่ยนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วมาสามปี แต่กลับไม่เคยเรียนวิชาหมัดกับผู้เฒ่า แต่ขอแค่ผู้เฒ่าเป็นคนเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ สำหรับจูเหลี่ยนที่คอขวดทั้งสองไม่ว่าจะกระบวนท่าหมัดหรือขอบเขตวิถีวรยุทธก็ล้วนยากจะฝ่าไปได้แล้ว นี่ก็คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เฉินผิงอันก็ต้องปรึกษากับคนต้นเรื่องทุกครั้ง ไม่เคยยืนกรานดึงดันให้อีกฝ่ายต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ สุยโย่วเปียนจะไปสำนักกุยหยกหรือไม่ สือโหรวยินดีรับคราบร่างเซียนหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องที่จะให้จูเหลี่ยนขึ้นชั้นสองมาฝึกวรยุทธ หากจูเหลี่ยนไม่เต็มใจโดยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด เฉินผิงอันก็จะต้องโน้มน้าวให้อีกฝ่ายมาฝึกฝนให้จนได้

ชุยเฉิงพลันเอ่ยว่า “เห็นความดีของคนข้างกาย แน่นอนว่าย่อมไม่เลว แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า การฝึกยุทธเดินขึ้นสู่จุดสูงสุด ออกหมัดไร้ศัตรู ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่…เดียวดายอย่างมาก สองอย่างนี้เจ้าล้วนต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าเคยดูคนเล่นหมากล้อมแล้วบรรลุเวทกระบี่ที่เหมือนการวางแผนรบบนกระดาษมาก่อน นั่นก็คือการขีดเส้นแบ่งและกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็อาศัยสิ่งนี้เดินผ่านด่านยากๆ มามากมาย…”

ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดความในใจจบ ผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นมือกระบี่ซึ่งสะพายกระบี่เซียนไว้ด้านหลัง ความสามารถในการเรียนหมัดธรรมดา แต่กลับฝึกกระบี่ได้อย่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำขนาดนี้…ดูท่าคงเป็นข้าที่ถ่วงรั้งการเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ของเจ้า แบบนี้จะทำอย่างไรดีเล่า?”

เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะเอามือตบพื้นให้ตัวเองถอยกรูดออกไปด้านหลังในท่านั่ง จะได้หลบการออกหมัดระบายโทสะที่ไร้เหตุผลของผู้เฒ่าได้พ้น ส่วนเรื่องจะลุกขึ้นยืนแล้วค่อยหลบนั้น ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย

แล้วก็จริงดังคาด

ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง

ผู้เฒ่ากระทืบเท้าทีเดียว เรือนไม้ไผ่ก็โยกไหวสั่นคลอนตามไป เฉินผิงอันที่ร่างเพิ่งจะถอยหลังไปได้ไม่กี่ส่วนกลับเด้งขึ้นกลางอากาศทั้งตัว เรือนกายสูงใหญ่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที หากเป็นแค่กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบก็แล้วไปเถิด ถูกต่อยหมัดเดียวให้สลบ ความเจ็บปวดก็แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่คิดจะปล่อยผ่านเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนี้ เขาจึงใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดีที่สุด แล้วก็ชอบนำมาใช้รับมือกับศัตรูมากที่สุดปล่อยหมัดใส่เขาสิบสี่หมัดเต็มๆ ร่างของเฉินผิงอันเหมือนปุยดอกหลิวที่ลอยล่องกลางอากาศ ปลิวไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่ร่วงลงพื้นสักที

และขณะที่ร่างของเฉินผิงอันผู้น่าสงสารร่วงลงสู่พื้นก็คือช่วงเวลาที่เขาหมดสติไปนั่นเอง

รสชาติที่ถูกกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยสิบกว่าหมัดติดต่อกัน โดยเฉพาะหมัดนี้ยังปล่อยมาจากชุยเฉิงผู้เป็นบรรพบุรุษของท่าหมัดนี้อีกต่างหาก นั่นก็ทำให้คนแทบเป็นแทบตายได้จริงๆ

ต่อให้เฉินผิงอันจะสลบแบบสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ร่างของเขากลับยังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น

ผู้เฒ่ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง ราวกับว่าค่อนข้างจะพึงพอใจ นี่หมายความว่าปณิธานหมัดของเจ้าเด็กนี่ ‘มีชีวิต’ อย่างแท้จริงแล้ว

ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่แท้จริง ยามที่นอนหลับฝันหวาน ต่อให้เจอกับสุดยอดนักฆ่า ขอแค่สัมผัสได้ถึงปราณสังหารเพียงเสี้ยวเดียวก็ยังสามารถชักนำปณิธานหมัด ลุกขึ้นมาออกหมัดต่อยให้อีกฝ่ายตายได้ในเสี้ยววินาที ก็คือหลักการเดียวกันนี้

แต่กระนั้นผู้เฒ่าก็ยังไม่ปล่อยเฉินผิงอันไป เขาใช้ปลายเท้าเตะไปยังปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมังกรเพลิงในร่างกายของเฉินผิงอัน เท้าของเขาเตะจนมันขาดท่อนได้อย่างแม่นยำ

ประหนึ่งม้าเหล็กตัวหนึ่งที่พุ่งทะลวงเจาะขบวนรบ ทำให้ขบวนทหารราบของศัตรูบนสนามรบถูกทะลวงเป็นรูโหว่

ข้อต่อแต่ละจุดในร่างของเฉินผิงอันพากันระเบิดส่งเสียงเหมือนประทัด ประหนึ่งเสียงอาวุธเหล็กกระทบกันบนสนามรบ เนื่องจากพายุลมกรดของผู้เฒ่าหยุดแต่พอสมควร เมื่อ ‘ทหารม้า’ เจาะขบวนรบผ่านไปแล้วก็ไม่ได้หยุดชะงัก เป็นเหตุใดปราณแท้จริงบริสุทธิ์ของเฉินผิงอันมารวมตัวกันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ศึกที่นครมังกรเฒ่า ตอนนั้นเรือกลืนกระบี่อันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตู้เม่าทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอันไป การที่มันทิ้งโรคร้ายนับไม่ถ้วนไว้ให้เฉินผิงอันที่รอดชีวิตมาได้ ก็เพราะมันยากจะขจัดให้หมดสิ้น ด้วยไม่รู้จักถอยร่นแตกสลาย จึงคอยกลืนกินจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทว่าการเตะครั้งนี้ของผู้เฒ่ากลับไม่มีผลร้ายนี้ ดังนั้นคำเล่าลือในยุทธภพที่บอกว่า ‘หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมีพลังอำนาจดุจกระแสน้ำขึ้นท่วมทำลายเมือง แต่ก็กะคำนวณได้พอดิบพอดีเหมือนกระบี่บินลอดช่องเข็มเงิน’ ย่อมไม่ใช่ถ้อยคำที่เกินจริงอย่างแน่นอน

มีเส้นใยเชื่อมโยงกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ แต่กลับไม่ทำร้ายคำว่า ‘บริสุทธิ์เต็มตัว’ นี่ก็คือหนึ่งในความสามารถเฉพาะของสามขอบเขตหลอมจิตอันได้แก่ร่างทอง เดินทางไกลและยอดเขา

ส่วนผู้ฝึกยุทธที่ต่ำกว่าขอบเขตร่างทองลงไป หากปราณแท้จริงขาดสะบั้นก็จะขาดทั้งหมด เมื่อผลัดเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่ย่อมเผยช่องโหว่ แล้วจะสามารถเข่นฆ่าสังหารกับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างยาวนานได้อย่างไร?

แต่วิธีการป้อนหมัดประเภทนี้ก็ไม่ได้เหมาะสมจะนำมาใช้กับผู้ฝึกยุทธที่เป็นเด็กรุ่นหลังทุกคน

ก็เหมือนคนทั่วไปที่ถือถ้วยรอรับข้าว แต่ถ้วยข้าวกลับร้อนเหมือนถ่านติดไฟ ไม่เพียงแต่จะทำให้ถ้วยหล่นแตก ยังจะร้อนลวกให้มือบาดเจ็บอีกด้วย

เฉินยวนจีที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ช่าง สตรีช่างปั้นที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางก็ดี พวกนางต่างก็ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางทนรับการทรมานเช่นนี้ได้

เพียงแต่ว่าพวกนางต่างก็มีโชควาสนาในการเรียนวรยุทธของใครของมันก็เท่านั้น บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ มองดูเหมือนเป็นทางเล็กไส้แกะ แต่ต่างคนต่างก็มีทางสะพานไม้ให้เดินแตกต่างกันไป

สตรีฝึกวรยุทธมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ชุยเฉิงเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็เคยเห็นปรมาจารย์หญิงที่มีพรสวรรค์น่าตกตะลึงกับตาตัวเองมาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคนที่มีอักษรคำว่าเฉี่ยว คนที่มีอักษรคำว่าโหรว พวกนางต่างก็เดินไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขา ต่อให้เป็นชุยเฉิงที่ปีนั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วก็ยังต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม อีกทั้งเมื่อเทียบกับบุรุษแล้ว พวกนางมักจะมีอายุขัยที่ยืนยาวมากกว่า แล้วก็เดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธได้ยาวไกลกว่า

ในชีวิตของชุยเฉิงมีเรื่องที่เสียดายอยู่หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือไม่เคยประมือกับเทพแห่งการต่อสู้ของทวีปแผ่นดินกลางที่เป็นสตรีผู้นั้น

จึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจ้าเด็กซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ตนผิดหวัง

หาใช่ผู้เฒ่าดูแคลนวีรสตรีไม่ แต่เป็นเพราะหากยอดเขาของวิถีวรยุทธในสี่ใต้หล้าถูกสตรีคนหนึ่งครอบครองไปจนหมด ปล่อยให้นางหลุบตาลงต่ำมองเหล่าชายชาตรี ผู้เฒ่าก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจพิกล

ส่วนเรื่องที่ตอนนี้เฉินผิงอันยังด้อยกว่าคนวัยเดียวกันที่มีนามว่าเฉาสือผู้นั้น ผู้เฒ่ากลับไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย

จุดที่โดดเด่นที่สุดของเฉินผิงอันอยู่ที่คำว่าทรหดและสำนึกรู้ มีความอดทนทรหด และมีสำนึกรู้ตื่นตัวสูง เฉาสือผู้นั้นคือผู้มีพรสวรรค์ด้านโชคชะตาบู๊ที่พันปียากจะพานพบแล้วอย่างไร ให้เขาไปถึงขอบเขตเก้าขอบเขตสิบก่อนแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องรอคอยศัตรูเก่าเพื่อช่วงชิงการข้ามผ่านปราการอันตรายอย่างขอบเขตสิบเอ็ดไปอยู่ดี แน่นอนว่าหากเฉินผิงอันเดินช้าเกินไป ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะไม่แน่ว่าเฉาสืออาจจะต้องหันไปช่วงชิงกับอาจารย์ของเขาแทน หากตอนนี้นางเป็นขอบเขตสิบเอ็ดอย่างที่เล่าลือกันแล้ว ถ้าเช่นนั้นเฉาสือก็จะต้องขึ้นไปช่วงชิงกับตาแก่ที่ว่ากันว่าชอบไปนั่งตกปลาอยู่บนทะเลเมฆผู้นั้น

เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม

ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงอีกลูกหนึ่งจริงๆ จะไม่มีทางทนมองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนแล้วคนเล่าพากันสร้างสะพานยาวขึ้นมาบนทางสายขาดเส้นนั้นคาตาตัวเองได้เด็ดขาด

ปีนั้นเจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินมาพบตนที่เรือนไม้ไผ่ ดึงเขาชุยเฉิงให้เข้าไปในฟ้าดินที่ลู่เฉินเป็นผู้พิทักษ์ เพียงแค่เพื่ออยากเล่นสนุกเท่านั้นหรือ?

ชุยเฉิงถอนหายใจ ทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นนิ้วไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้เฉินผิงอันเบาๆ

ในเรื่องของการทนรับความยากลำบาก เจ้าเด็กนี่เก่งกว่าหลานชายของตนในปีนั้นมากนัก

ลูกหลานตระกูลร่ำรวย ขอแค่นิสัยดีสักหน่อย ทำความดีช่วยเหลือปวงประชา ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ ล้วนถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน นิสัยแย่หน่อย ชอบเล่นสนุกกับชีวิตคน ก็รู้สึกว่าการเกิดมาเสวยสุขก็คือเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน

มีชาติกำเนิดยากจน มีความรับผิดชอบ สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล ไร้ความสามารถ ความชั่วร้ายเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ล้วนต้องกล้ำกลืนความยากลำบากลงไปให้ได้

ผู้เฒ่านั่งอยู่ข้างเฉินผิงอัน โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ประตูไม้ไผ่เปิดอ้า ลมเย็นบนภูเขาพัดโชยเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ลมหายใจของเฉินผิงอันเริ่มสงบและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

การฝึกฝนบำรุงตนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เน้นย้ำในข้อที่ว่าหลับลึกราวกับตาย

ตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน นี่ก็คือสิ่งเฉินผิงอันขาดมากที่สุด

และในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของผู้เฒ่า การเดินทางไกลหลายครั้งของเฉินผิงอันล้วนขาดการนอนหลับที่ดีทุกครั้ง มีเพียงเวลาที่ฝึกท่ากระบี่ยืนนิ่งเจี้ยนหลูเท่านั้นที่พอจะดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะตึงเครียดเหมือนเส้นเอ็นที่ถูกขึงจนตึง หากไม่ถูกคนในยุทธภพฆ่าตาย เส้นทางการเรียนวรยุทธก็จะต้องเกิดปัญหามีแต่อุปสรรค แต่ผู้เฒ่าก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ก็เหมือนกับที่เขาไม่เคยบอกเรื่องที่มอบโชคชะตาบู๊ที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกขอบเขตให้อีกฝ่าย อุปสรรคบางอย่าง ต้องให้คนหนุ่มสาวข้ามผ่านไปด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจหลักการเหตุผลได้อย่างลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นต่อให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์มานั่งพูดจนน้ำลายแตกฟอง พร่ำสอนด้วยความปรารถนาดีอยู่ตรงหน้า ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผล

ชุยเฉิงทอดสายตามองไปไกล พึมพำกับตัวเองว่า “แต่จะว่าไปแล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงก็ล้วนปีนป่ายมาจากตระกูลยากจนกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าตระกูลที่กุมอำนาจต่างก็กลัวประโยคที่ว่า ‘วิญญูชนผู้มีความสามารถ ประทานคุณให้แก่คนรุ่นหลังได้แค่ห้ารุ่น’ มากที่สุด ส่วนตระกูลคนยากจนกลับกังวลกับประโยคที่ว่า ‘มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ หนูขุดรูอยู่อาศัย’ หากในอนาคตภูเขาลั่วพั่วมีสำนักของตัวเองขึ้นมาจริงๆ จุดที่ต้องเป็นกังวลจะไม่ค่อยเหมือนกับจวนตระกูลเซียนชนชั้นสูงแห่งอื่น ไม่ได้แก่งแย่งกันว่าใครผิดใครถูก แต่อยู่ที่ว่าใครถูกมากกว่ากัน ปัญหาเช่นนั้น จะว่าเล็กก็เล็กมาก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่เทียมฟ้า ต้องดูว่าถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันจะโน้มน้าวผู้คนได้หรือไม่ การขัดเกลาทางสภาพจิตใจเช่นนั้น จะเป็นคนละแบบกับยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความผิดมหันต์ของญาติสนิทในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างสิ้นเชิง”

ชุยเฉิงหันหน้ามามองคนหนุ่มที่กำลังหลับแล้วยิ้มเอ่ยว่า “กลัวตายเป็นเรื่องดี อายุยังน้อยแค่นี้ อย่าได้ตายเด็ดขาดเชียว ภูเขาแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่งดงาม ลำพังแค่ใต้หล้าไพศาลก็มีตั้งเก้าทวีปแล้ว ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะเคยได้เห็นมากี่มากน้อยเอง?”

ดูเหมือนจู่ๆ ผู้เฒ่าก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาจึงหัวเราะออกเสียง “ใช้ขอบเขตห้าปะทะกับขอบเขตห้า แน่นอนว่ายังต้องเป็นข้าที่ชนะ แต่คงต้องต่อยเจ้าหลายหมัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ชนะก็ถือว่าแพ้แล้ว แล้วจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย เดินทางไกลหลายรอบแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังอ่อนอยู่ดี”

หลังเสียงหัวเราะผ่านไป ผู้เฒ่าก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ควรต้องฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอแค่เจ้าไม่ถูกเฉาสือผู้นั้นทิ้งห่างไปไกลถึงสองขอบเขต แต่กัดฟันตามหลังไปติดๆ สักวันหนึ่งในอนาคต อย่าว่าแต่จะทวงศักดิ์ศรีกลับมาได้เลย แม้แต่ชนะสามครั้งติด ขอแค่เจ้าตามไปทันแล้วจากนั้นก็นำหน้าเขาไปได้ ถึงเวลานั้นจะชนะเขาสามสิบครั้งติดก็ยังไม่มีปัญหา!”

แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของผู้เฒ่าก็เปลี่ยนมาเป็นกลัดกลุ้ม แม้ว่าการประสบความสำเร็จในอนาคตของเจ้าเด็กนี่จะควรค่าแก่การรอคอย แต่พอคิดว่านั่นคือช่วงระยะเวลาที่ต้องยาวนานมากช่วงหนึ่ง ผู้เฒ่าก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก เขาหันหน้ามามองเจ้าคนที่นอนกรนครอกๆ แล้วโทสะก็ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน จึงโบกชายแขนเสื้อสะบัดใส่ ผรุสวาทอย่างเดือดดาล “นอนๆๆ เจ้าเป็นหมูหรือไง? ไสหัวลุกขึ้นมาฝึกหมัด!”

เฉินผิงอันถูกลมพายุระลอกนั้นพัดให้กลิ้งขลุกๆ ไปกระแทกกับกำแพง สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ชุยเฉิงกลับลุกขึ้นยืนแล้ว สีหน้าของเขามืดทะมึน ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยกเท้ากระทืบลงหนักๆ

เฉินผิงอันพลิกตัวเบี่ยงข้างกลิ้งหนี ถึงได้หลบพ้นเท้านั้นมาได้อย่างหวุดหวิด

ชุยเฉิงเปิดปากกล่าว “เมื่อใดที่สามารถรับมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองได้อย่างสบายๆ ไม่ได้แพ้อย่างน่าอนาถนักท่ามกลางศึกตัดสินเป็นตาย เจ้าถึงจะลงไปจากภูเขาได้ หลังจากนั้นจะไปพบเพื่อนที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป หรือจะไปร่อนเร่พเนจรที่อุตรกุรุทวีปก็ตามใจเจ้า แต่หากทำไม่ได้ ก็จงอยู่เสวยสุขบนเรือนไม้ไผ่นี่แต่โดยดีเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีให้คนอื่นซะ แล้วลองเป็นกุมารแจกทรัพย์ที่แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ก็ยังยกให้คนอื่นด้วย ดีไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะตายไม่ได้!”

ชุยเฉิงถาม “อาศัยอะไร? อาศัยที่ชีวิตของเจ้าเฉินผิงอันมีค่ามากกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “อาศัยที่ผู้อาวุโสซึ่งสอนหมัดข้า แซ่ชุยนามเฉิง!”

—–