บทที่ 484 ออกไปตั้งแผงขายของ

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 484 ออกไปตั้งแผงขายของ

ในเรื่องของความหน้าหนา ไม่มีหลานชายหรือหลานสาวคนไหนสู้สวี่เชิ่งเหม่ยได้เลย ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบด้วยซ้ำไป

การมีจิตใจดีเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสเข้ามา ก็จะสามารถก้าวข้ามมันไปได้แม้เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรค แต่ถ้ามีจิตใจที่ชั่วร้าย แม้จะเล่นเล่ห์วางกลให้ได้ชัยชนะเหนือทุกสิ่ง แต่มันก็จะอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็จะต้องถูกผู้อื่นแย่งเอาไปได้อยู่ดี

สวี่เชิ่งเหม่ยดึงตัวสวี่เชิ่งเฉียงที่ไม่เต็มใจมานั่งอยู่ด้วยครึ่งชั่วโมง ก่อนจะพาสวี่เชิ่งเฉียงไปหาท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว

เมื่อออกมาพ้นประตู สวี่เชิ่งเฉียงก็แสดงความไม่พอใจออกมา “พวกเขาไม่ยินดีที่จะต้อนรับเรา 2 คนแล้ว ทำไมพี่ต้องพยายามไปเกาะติดพวกเขาอย่างนั้นด้วย?”

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ใส่ใจและตอบว่า “ถ้านายมีความสามารถมากกว่านี้ นายคิดว่าพี่จะต้องคอยดูสีหน้าของคนอื่นไหมล่ะ?”

“ครอบครัวจ้าวเป็นครอบครัวระดับไหนแล้ว? พวกเขารวยกว่า มีอำนาจมากกว่าทางนี้เสียอีก พี่เป็นถึงลูกสะใภ้ครอบครัวจ้าวยังจะต้องมาสนใจความคิดของพวกเขาอยู่อีกเหรอ?” สวี่เชิ่งเฉียงพูดอย่างไม่พอใจ

สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกเป็นกังวล ครอบครัวจ้าวเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก แต่ไม่ว่าครอบครัวจ้าวจะสูงส่งสักแค่ไหน นั่นก็เป็นธุรกิจของครอบครัวจ้าว กระทั่งจนบัดนี้ครอบครัวจ้าวยังคงดูถูกหล่อนอยู่ดี

ต้องบอกว่าร้านเสื้อผ้าที่หล่อนกับจางเหม่ยเหลียนร่วมกันเปิดนั้นได้กำไรส่วนแบ่งมาแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกหล่อนได้รับส่วนแบ่งมามากกว่าคนละ 200 หยวน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะไม่รู้สึกมั่นใจขึ้นเช่นนี้แน่

“จะรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ห้ามวู่วามหรือเย่อหยิ่งนะ ครอบครัวของพวกเรามีแค่เรา 2 คนเท่านั้นที่ได้มาอยู่ที่นี่ พี่ยังหวังเห็นความสำเร็จของนายอยู่นะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

สวี่เชิ่งเฉียงหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด “ผมมีเรื่องชกต่อยไปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น? ทำไมพวกเขาต้องดูถูกผมมากขนาดนี้ด้วย!”

“อย่าไปคิดถึงเรื่องนี้อีกเลย ถึงยังไงการมีเรื่องชกต่อยก็ทำให้นายเป็นคนผิดอยู่ดี คุณตากับคุณยายโกรธมาก อีกเดี๋ยวนายต้องพูดจาให้ดี ๆ เข้าใจไหม?” สวี่เชิงเหม่ยแนะนำ

ทัศนคติของสวี่เชิ่งเหม่ยต่อเรื่องการทะเลาะวิวาทนั้นชัดเจน ที่นี่ไม่ใช่ชนบท หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ควรใช้วิธีพูดคุยหาทางออก ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็เชิญตำรวจมาเป็นคนไกล่เกลี่ย หากเป็นฝ่ายเริ่มก่อเรื่องวิวาทขึ้นมาเอง จะต่างอะไรกับพวกนักเลงอันธพาลล่ะ? ผู้คนในปักกิ่งดูหมิ่นเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด

“ที่ผมพูดจาไม่ค่อยดีนักก็เพราะคุณตาคุณยายบ่นว่าผมทุกครั้งที่ได้เจอกัน ผมอยากจะคุยดี ๆ กับพวกเขา แต่เมื่อไหร่พวกเขาจะพูดจาดี ๆ กับผมบ้าง!” สวี่เชิ่งเฉียงโต้

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้ตอบอะไรออกไป หล่อนรู้ว่าคุณตาคุณยายของตนลำเอียง คุณยายดูถูกน้องชายหล่อนว่าเป็นคนไร้ค่า พอได้ยินว่าน้องชายหล่อนอยากจะคบหากับหญิงสาวจากปักกิ่ง นางก็ทำเหมือนเป็นเรื่องตลกประหนึ่งว่าเป็นคางคกกินเนื้อหงส์เลยทีเดียว

ทว่าพอคุณยายได้ยินว่ามีคนจะแนะนำสาวปักกิ่งให้กับหู่จือ นางก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องของน้องชายหล่อนอีกต่อไป ซ้ำยังออกจะปลาบปลื้มใจมาก

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรล่ะ? อนาคตใครจะไปรู้ได้ว่าผู้ใดจะมีชีวิตที่ดีกว่ากัน!

เมื่อมาถึงที่บ้านท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว พวกเขาก็เจอหวังหยวนกับโจวเอ้อร์นีอยู่ที่นั่นด้วย

สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกว่าการมาที่นี่ในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า หล่อนไม่ได้พูดคุยกับหวังหยวนเพื่อตีสนิทโดยตรง กลับกันหล่อนไปชวนโจวเอ้อร์นีคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างเป็นกันเองแทน

ความสัมพันธ์ระหว่างโจวเอ้อร์นีกับหล่อนนั้นนับว่าจืดจางลงไปมาก พวกหล่อนแยกย้ายกันไปหลังจากมีความคิดเห็นที่ความแตกต่างกัน ในเมื่ออยู่กันคนละเส้นทางแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเอง

นั่นเป็นเหตุผลที่โจวเอ้อร์นีไม่ได้แสดงท่าทางกระตือรือร้นอะไรมากนัก แค่ต้อนรับขับสู้หล่อนไปตามสมควรเท่านั้น

ตอนนี้หน้าสวี่เชิ่งเหม่ยเริ่มหนาขึ้นแล้ว หล่อนคือนิยามของคำว่า ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก(1) ไม่ว่าท่านแม่โจวจะว่าอะไร หล่อนจะตอบกลับพร้อมด้วยรอยยิ้ม

สวี่เชิ่งเฉียงไม่ได้มีสภาพจิตใจเป็นเหมือนหล่อน ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงก่ำ เขาต้องการจะลุกขึ้นเดินออกจากที่นี่ไป

หลังออกมาจากบ้านของคุณตาคุณยายตนได้ในที่สุด พวกเขาก็ไปนั่งคุยกับแม่เฒ่าหู จากนั้นพี่น้องคู่นี้ถึงได้กลับบ้าน

ใบหน้าของสวี่เชิ่งเฉียงดำทะมึน

“ทำท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง?” สีหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยดูเหนื่อยล้า เมื่อเห็นน้องชายของตนแสดงท่าทางเช่นนี้ หล่อนก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเช่นกัน

ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ ทั้งที่หล่อนคอยพร่ำสอนเขามานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำตัวให้มีมารยาทได้ แค่คำพูดของคุณยายเพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาก็ทำท่าอยากจะกระโจนลุกออกจากที่นั่งทันที แล้วเขาจะไปทำเรื่องที่ใหญ่กว่านี้สำเร็จได้อย่างไร?

“ไม่แปลกใจเลยที่พี่เขยถึงได้ไม่อยากมา ใครจะอยากกลับไปเพื่อถูกอบรมสั่งสอนอยู่ได้ล่ะ!” สวี่เชิ่งเฉียงบ่นพึมพำ

“พี่เขยของนายไม่เต็มใจมาเพราะครอบครัวของเขามีขีดความสามารถมากพอ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่ต้องมาก็ได้ ครอบครัวของพวกเรามีความสามารถแบบนั้นไหมล่ะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดอย่างเคร่งขรึม “บ้านใหม่ของครอบครัวเราที่สร้างอยู่ตอนนี้เป็นเงินที่พี่เป็นคนส่งกลับไปให้ อย่างนายจะเอาอะไรไปอวดดีได้?”

ด้วยความที่รู้สึกอ่อนล้าจากการรับมือกับเรื่องทั้งหมด หล่อนจึงอารมณ์ไม่ดีนัก และพูดจุดชนวนโมโหของสวี่เชิ่งเฉียงขึ้นมาทันควัน “พี่เป็นลูกสาวของครอบครัวสวี่ไม่ใช่เหรอ? พี่มีความสามารถแต่พี่ไม่อยากจะช่วยครอบครัวทางบ้านแม่ให้ดีขึ้นหรือไง? เห็นแก่ตัวและคิดถึงแต่ตัวเองอย่างนั้นเหรอ? ครอบครัวทางบ้านแม่เลี้ยงดูพี่มาจนโต จนพี่ได้แต่งงานดี ๆ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่พี่จะต้องดูแลครอบครัวทางบ้านแม่และช่วยสนับสนุนพี่น้องในบ้านด้วย!”

สวี่เชิ่งเหม่ยขบฟันแน่น “แล้วฉันยังทำเพื่อครอบครัวทางแม่ไม่มากพออีกหรือยังไง?”

เพื่อให้น้องชายตนสามารถมาที่นี่ได้ หล่อนจงใจทำให้ตนเองต้องแท้งลูกอย่างไร้ความปรานี ด้วยการวางอุบายกับครอบครัวจ้าวเช่นนี้ หล่อนถึงสามารถพาน้องชายมาที่นี่ได้สำเร็จ!

“ก็แค่ส่งเงินกลับไปบ้างเท่านั้น จะยิ่งใหญ่อะไรนักหนา? ผมก็สามารถส่งกลับไปได้ถ้าผมมีเงิน!” สวี่เชิ่งเฉียงแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้กับเขาจึงพูดว่า “นายจะต้องตั้งใจทำงานและอย่าสร้างปัญหาขึ้นอีก โรงงานของครอบครัวจ้าวกำลังจะเอาคนงานออกเร็ว ๆ นี้ อย่าให้คนอื่นเห็นข้อเสียของนายได้ เข้าใจไหม? ไม่อย่างนั้นฉันก็ช่วยนายไม่ได้”

สวี่เชิ่งเฉียงรู้สึกผิดนิดหน่อย เพราะเขาทำงานแค่พอใช้ได้เท่านั้น หัวหน้างานมองเขาด้วยความรู้สึกขัดหูขัดตา

สวี่เชิ่งเฉียงรู้ดีว่างานสำคัญกับตนเพียงใด ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงตั้งอกตั้งใจทำงาน อย่างไรก็ตาม ภาพพจน์ของเขาในสายตาของผู้อื่นนั้นย่ำแย่มากจริง ๆ สวี่เชิ่งเฉียงจึงอยู่ในรายชื่อของการถูกเลิกจ้างด้วย

หลังจากที่สวี่เชิ่งเฉียงรู้เรื่อง เขารู้สึกโกรธมากจึงเข้าไปสอบถามกับหัวหน้าของตน ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน หัวหน้างานก็ถูกสวี่เชิ่งเฉียงต่อยเข้าไป เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรมากกว่าการต่อย

แต่การต่อยหมัดนี้ก็เพียงพอให้เขาต้องตกงาน ตอนแรกคุณพ่อจ้าวยังลังเลใจอยู่ ถึงอย่างไร แม้เขาจะไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป ครอบครัวตระกูลโจวเป็นครอบครัวที่มีความสามารถ

คุณพ่อจ้าวได้ยินจากสวี่เชิ่งเหม่ยด้วยว่าโจวเอ้อร์นีปีนขึ้นสูงหาเถ้าแก่ใหญ่วัยหนุ่มอย่างหวังหยวนได้สำเร็จ โรงงานของเขามีคนงานอยู่ราว ๆ 500 คน แม้คุณพ่อจ้าวไม่จำเป็นต้องประจบประแจงผู้อื่น แต่เขาก็ตั้งใจจะสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนไว้ให้มาก

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์นี้คุณแม่จ้าวได้ตรงมาที่นี่ทันที คุณพ่อจ้าวถึงกับขมวดคิ้ว ความลังเลใจแต่แรกจึงหายไป

ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวตระกูลโจว น้องชายที่ไม่รู้จักโตของลูกสะใภ้คนนี้คงถูกไล่ออกไปนานแล้ว ตอนนี้เขายังไปทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ แล้วยังมีอะไรให้พูดได้อีก

คำอ้อนวอนของสวี่เชิ่งเหม่ยก็ไร้ประประโยชน์ สุดท้ายหล่อนมาหาน้องชายที่ห้องเช่า

“พี่ไม่ต้องมาด่าผม ผมต่อยไปแล้ว ผมไม่เสียใจเลยด้วย อีกอย่างพี่ก็เปิดร้านเสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ? ผมจะไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้า ผมจะได้ไม่ต้องคอยดูสีหน้าใครอีก!” สวี่เชิ่งเฉียงจะไม่ทนกับการปฏิบัติแบบที่ได้รับจากโรงงานของครอบครัวจ้าวอีกแล้ว เขาถูกแบ่งแยกอย่างโดดเดี่ยวจากคนทั้งโรงงาน ไม่มีใครสนใจใยดีเขาเลย ตอนนี้เมื่อเขาโดนไล่ออกแล้วก็ให้มันเป็นอย่างนั้นไปเถอะ!

สวี่เชิ่งเหม่ยกัดฟันแล้วพูดว่า “ร้านเสื้อผ้าของฉันไม่ได้ขาดคน ถ้านายยังอยากจะอยู่ในปักกิ่งต่อ นายก็ออกไปตั้งแผงขายของข้างนอกเอาเองเถอะ!”

……………………………………………………………………………………….