บทที่ 629 สังหารโดยไร้ปัญหา

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เสียงตะโกนของผู้เชี่ยวชาญจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นดังซะจนทำให้บรรดาผู้คนที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ตื่นตัว จนพวกเขาต้องเดินออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ซวนหยวนที่เห็นเช่นนี้ก็คิดในใจ ‘ไอ้พวกคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์มันบ้ารึเปล่าที่กล้ามาท้าทายเทพแห่งความตายถึงหน้าประตูแบบนี้?’

ทางด้านของเทียนหลีก็มองไปที่เหล่าผู้คนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์และคิดอยู่ในเช่นกัน ‘ไอ้พวกตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์มันต้องบ้าแน่ ๆ แม้แต่สันเขาทรราชของเขายังไม่กล้าที่จะต่อกรกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ แล้วพวกเจ้ากลับมาที่นี่เพื่อหาเรื่องตายใส่ตัวงั้นเหรอ?’

“ทะเลชางหมางไม่มีสมบัติอะไรทั้งนั้น พวกท่านทั้งหมดจงกลับไปซะเถอะ!” หลิงยี่เทียนตอบกลับ

ในตอนนี้เขาต้องการที่จะรีบไปยึดครองอาณาจักรอี้จิ๋นและอาณาจักรเลือดทระนง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะสร้างความขัดแย้งกับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นแผนการของเขาจะยิ่งล่าช้าและยุ่งยาก เขาจึงเลือกที่จะเจรจาก่อนเป็นอันดับแรก

ทางด้านของผู้คนตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็รอโอกาสมาตลอดที่จะเข้ามาสำรวจหาสมบัติในทะเลชางหมาง ดังนั้นเมื่อผนึกที่ปกคลุมทะเลชางหมางคลายออกพวกเขาก็รีบเดินทางเข้ามาด้านในทันที แต่แล้วเมื่อเขาพบว่าที่คฤหาสน์สราญรมย์ยังคงมีผนึกปกคลุมอยู่ พวกเขาจึงเข้าใจไปว่าสมบัติส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ ดังนั้นพวกเขาจึงอดทนรอต่อ

จากนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่าผนึกที่ปกคลุมคฤหาสน์สราญรมย์หายไป พวกเขาจึงรีบบุกมาทันที แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ พวกเขาไม่รู้ว่าที่คฤหาสน์สราญรมย์นั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงคอยคุ้มกันอยู่มากมายรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดเช่น ซวนหยวน

หากพวกเขารู้เรื่องนี้มาก่อน พวกเขาคงไม่มีทางกล้าหายใจแรงเมื่อมาเยือนและคงจะเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่านี้

“ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจะเลิกเสแสร้งได้แล้ว และมอบสมบัติมาให้กับพวกข้าครึ่งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าพวกเจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของข้า!” ชายผู้หนึ่งในกลุ่มคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

หลิงตู้ฉิงที่กำลังอยู่ในระหว่างการหลอมโอสถเมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็วางทุกอย่างที่กำลังทำและเดินออกจากคฤหาสน์ จากนั้นเขาตะโกนสวนกลับไปว่า “ไม่ใช่ว่าตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้ามอบธุระทุกอย่างภายในอาณาเขตนภาให้กับตระกูลหนานกงดูแลไม่ใช่เหรอ? ทำไมหนานกงซ่งหยวนถึงไม่ได้มาด้วย? หนานกงซ่งหยวนรู้จักกับข้าเป็นอย่างดี ทำไมเจ้าถึงไม่ให้เขามาคุยกับข้าด้วยตัวเอง?”

ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ ตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าข้าจะไว้หน้าเจ้าเพราะแค่เจ้าอ้างชื่อหนานกงซ่งหยวนงั้นเหรอ? ในตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลหนานกงนั้นถือว่าอ่อนแอที่สุด แต่ข้านั้นเป็นผู้ที่มาจากตระกูลอู่ ซึ่งเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์!”

“แต่ก่อนหน้านี้พวกตระกูลหนานกงนั้นค่อนข้างไม่เลวที่ทายาทสายหลักของมันสามารถแก้ไขปัญหาพลังในร่างได้แล้ว ดังนั้นพวกตระกูลหนานกงทั้งหมดจึงถูกเรียกตัวกลับไปที่ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ และให้ข้า อู่ซี่เฉา ผู้นี้คอยรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างในอาณาเขตนภาแทน ดังนั้นต่อให้พวกคนหนานกงอยู่ที่นี่ พวกมันก็ต้องฟังคำสั่งข้าแค่เพียงผู้เดียว!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้ามันก็แค่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์ ข้าแนะนำว่าให้เจ้าจงกลับไปที่ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ซะ อย่าได้อยู่ให้ข้าเห็นหน้าในอาณาเขตนภาอีก เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวข้าจะไปเยือนตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าด้วยตัวเอง!”

อู่ซี่เฉาแสดงสีหน้าเดือดดาล “เจ้ามันก็แค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณ กล้าดียังไงถึงมาดูหมิ่นข้าแบบนี้? หากเจ้ายังดึงดันไม่ยอมมอบสมบัติให้กับข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด!”

ซวนหยวนส่ายหัวด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ จากนั้นเขาเดินไปที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง และถามว่า “ให้ข้าลงมือจัดการพวกเขาให้จบ ๆ ไปเลยดีไหม ขืนมัวแต่คุยกันแบบนี้ข้าว่ามันจะเสียเวลาพวกเราไปเปล่า ๆ”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับซวนหยวน “ไม่จำเป็น อันที่ข้าอยากใช้เขาในการยืนยันปัญหาบางอย่างในร่างกายของข้าว่ามันแก้ไขแล้วรึเปล่าด้วย”

จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หันไปหาอู่ซี่เฉา และตะโกนว่า “เจ้าชื่อ อู่ซี่เฉา ใช่ไหม? เอาล่ะข้าจะเตือนเจ้าอีกรอบเดียวเท่านั้น จงกลับไปซะไม่เช่นนั้นข้าจะลงมือล่ะนะ”

อู่ซี่เฉาพ่นลมออกจมูก “สวะอย่างเจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนี้งั้นเหรอ? ก็ดี งั้นข้าจะฆ่าเจ้าและพวกเจ้าทั้งหมดซะ จากนั้นข้าจะชิงสมบัติของทะเลชางหมางทั้งหมดกลับไป!”

เมื่อพูดจบ อู่ซี่เฉาก็ใช้ทักษะอาณาเขตสวรรค์ของตนเองปกคลุมทั่วบริเวณของคฤหาสน์สราญรมย์ทั้งหมด การกระทำเช่นนี้ของเขาชัดเจนว่าเขาไม่เพียงต้องการสังหารแค่หลิงตู้ฉิง แต่เขาต้องการสังหารคนทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนี้

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “พัวพันนาน ๆ ด้วยคงไม่ดีแน่ ไม่เช่นนั้นบ้านของข้าคงพังกันหมดพอดี งั้นก็ทำให้มันจบไว ๆ เลยก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ดึงพลังจากค่ายกลที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์มาเกื้อหนุนระดับการบ่มเพาะของเขาเองจนระดับการบ่มเพาะของเขาพุ่งทะลุขึ้นไปถึงระดับนักบุญ

จากนั้นเมื่อระดับการบ่มเพาะคงที่ หลิงตู้ฉิงก็สะบัดมือเรียกกระบี่ที่ปักอยู่ตรงกลางลานของเรือนจ้าวเหมิงลู่ให้บินเข้ามาอยู่ในมือของเขา

“พวกเจ้าทุกคนยังไม่เคยเห็นกระบี่ที่สี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ กระบี่ทะลวงยมโลกกันกับตามาก่อนหน้านี้เลยใช่ไหม? เอาล่ะวันนี้ข้าจะแสดงมันให้กับพวกเจ้าได้เห็น จงจับตาดูดี ๆ ล่ะ!” หลิงตู้ฉิงพูดกับทุกคนที่อยู่รอบ ๆ กายเขา

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เร่งโคจรพลังไปที่ปลายกระบี่และแทงมันออกไปทันที!

เมื่อกระบี่ถูกแทงออก เงารูปร่างกระบี่จำนวนมากพุ่งผ่านร่างของอู่ซี่เฉา และบรรดาคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ทุกคนอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน

หลังจากการโจมตีจบลง บนร่างของอู่ซี่เฉาและบรรดาคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต่างไร้รอยบาดแผลหรือแม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีไหลออกมาให้ได้เห็น

แต่ว่าจากนั้นเพียงชั่วครู่ ร่างของอู่ซี่เฉาและบรรดาคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ทุกคนที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาบนพื้นราวกับห่าฝน

บรรดาผู้คนที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้น ถึงแม้ว่าร่างของพวกเขาจะยังสมบูรณ์ดี แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาทั้งหมดกลับถูกทำลายจนหมดสิ้น

ซวนหยวนถอนหายใจ “นี่คืออำนาจของกระบี่ทะลวงยมโลก ซึ่งเป็นกระบี่ที่เอาไว้ใช้ทำลายดวงวิญญาณ หากไม่มีเจตจำนงกระบี่ที่ทัดเทียมออกมาต้านหรือดวงวิญญาณไม่มีพลังที่แข็งแกร่ง มันก็ไม่มีทางที่จะต่อต้านการโจมตีนี้ได้”

บรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงคนอื่นต่างก็ส่ายหัวไปตาม ๆ กัน

ต่อให้พวกเขาบางคนจะไม่เคยเห็นเทพกระบี่ แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของเทพกระบี่มาบ้าง

ในระหว่างที่ผู้คนกำลังเลื่อมใสในอำนาจของกระบี่ที่หลิงตู้ฉิงปลดปล่อย แต่จ้าวเหมิงลู่กลับตกอยู่ในห้วงความคิดเหมือนกับว่านางบรรลุอะไรได้บางอย่าง

ส่วนหลิงฟ่างหัวก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้นางได้รับการถ่ายทอดวิชากรงเล็บเทวะกระชากวิญญาณ มาจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันมีแนวทางเดียวกันคือเป็นวิชาที่โจมตีวิญญาณโดยตรง ดังนั้นนางจึงบรรลุอะไรได้บางอย่างเมื่อเห็นกระบี่ทะลวงยมโลก

หากนางสามารถนำพลังแห่งมิติของนางมาหลอมรวมเข้ากับการโจมตีวิญญาณโดยตรงเช่นนี้ พลังของนางจะเหนือล้ำไปถึงขนาดไหน?

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาโจมตีเสร็จเขาก็เริ่มหยุดนิ่งทำสมาธิ

หากเป็นเช่นเมื่อก่อน การที่เขาฆ่าคนมากขนาดนี้มันคงทำให้เจตจำนงแห่งการสังหารภายในร่างของเขาปะทุขึ้นจนเขาต้องสติหลุดไปแล้วแน่นอน

แต่ในตอนนี้หลังจากที่เขาแทงกระบี่ออกไป เจตจำนงแห่งการสังหารของเขามันก็ปะทุขึ้นเหมือนกัน แต่เมื่อมันปะทุ เต๋าในร่างกายของเขาในตอนนี้ที่มันมีรูปร่างเป็นเหมือนสัญลักษณ์หยินหยางกลับหมุนควงอย่างรวดเร็ว ส่วนครึ่งหนึ่งที่เป็นสีดำของมันเริ่มที่จะเข้าปกคลุมส่วนที่เป็นสีขาวไปจนเกือบทั้งหมด

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพักส่วนที่เป็นสีดำก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปอยู่ในส่วนครึ่งเดิมของมันจนทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพสมดุลปกติ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกโล่งใจว่าเส้นทางที่เขากำลังบ่มเพาะในตอนนี้นั้นมันถูกต้องแล้ว ต่อให้เขาจะฆ่าคนในลักษณะนี้อีกมันก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ ตามมา

จากนั้นเมื่อเขารู้สึกโล่งใจ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขามันเริ่มที่จะมีแสงดาวปรากฏขึ้น ซึ่งมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะทะลวงระดับแล้ว!