บทที่ 452

ในตระกูลใหญ่ๆ ต่างๆ ผู้หญิงอายุประมาณ20กว่า ก็แต่งงานกันหมดแล้ว

แล้วอีกอย่าง ส่วนมากพออายุ22-23 จบปริญญาตรี ก็รีบแต่งงานกันหมดแล้ว

ดังนั้นอู๋ตงไห่หวังว่า คุณท่านซ่งสามารถไปพูดกับซ่งหวั่นถิง รวมไปถึงเอ่ยปากให้เธอยอมรับการสู่ขอครั้งนี้เสีย

ผู้หญิงในตระกูลใหญ่ ส่วนมากจะรู้ตัวดีว่าทางตระกูลจะจัดการเรื่องงานแต่งให้ ขอเพียงผู้ใหญ่ในตระกูลจัดการ ลูกหลานก็ยอมรับ

คุณท่านซ่งก็ไม่นึกว่า ตนเองปฏิเสธอู๋ตงไห่ไปแล้ว แต่อู๋ตงไห่ก็ยังไม่ยอมแพ้

ดังนั้นเขาก็ได้แต่หัวเราะ แล้วโบกปัดพูดว่า “อาพูดจากใจเลยนะ หวั่นถิงอายุยังน้อย อายังไม่ได้คิดจะให้เธอแต่งออกไป เพราะพี่ชายของเธอก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย”

อู๋ตงไห่ก็พูดว่า “ผู้ชายนั้นสามารถรอได้ แต่ผู้หญิงรอไม่ได้น่ะสิครับ!แต่งงานตอนอายุ24-25 เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ถ้ารอแต่งตอนอายุ30ละก็ ราคาค่าตัวก็จะลดต่ำลงไปนะครับ!”

คุณท่านซ่งก็หัวเราะพูดเบาๆ “ตรงหน้าคนที่รักเธออย่างจริงใจนั้น จะอายุ24-25 หรือ30 หรือจะ40ปี ก็ไม่ต่างกัน แต่ตรงหน้าผู้ที่ไม่ได้รักเธอชอบเธอ อายุ24-25 กับ26-27ปี ก็สามารถมีความต่างกันอย่างฟ้ากับเหว ดังนั้น อาหวังจะให้หลานสาวของอา แต่งกับคนที่รักตนเอง ไม่ใช่คนที่ไม่รักตนเอง”

อู๋ซินทางด้านข้าง ก็รีบพูดขึนว่า “คุณปู่ซ่งครับ ถ้าคุณปู่ยอมให้หวั่นถิงแต่งงานกับผม ผมจะเสมอต้นเสมอปลายกับเธอ จะรักเธอเหมือนดั่งครั้งแรกพบ”

คุณท่านซ่งก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “ปู่เชื่อว่าแกทำได้ แต่เรื่องนี้ต้องฟังความเห็นของหวั่นถิงด้วย ไม่ใช่จะให้ปู่ตัดสินใจคนเดียว”

อู๋ตงไห่ก็เริ่มไม่พอใจขึ้นในใจ

ผมพูดมามากมายขนาดนี้ คุณกลับปฏิเสธ ลูกผมก็ได้ให้คำสัตย์ คุณก็ปฏิเสธ คุณหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ดูถูกตระกูลอู๋งั้นหรือ?

นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า “คุณอาซ่งครับ ผมขอถามหน่อย อาปฏิเสธความหวังดีของผมหลายครั้งอย่างนี้ หรือว่าตระกูลซ่งจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าอู๋ซินครับ?”

คุณท่านซ่งเห็นฝั่งตรงข้ามรุดหน้าเข้ามาบีบบังคับไม่ยอมถอย ถ้าตนเองยังเล่นหมัดไทเก็ก ฝั่งตรงข้ามคงจะสู้ไม่ยอมเลิกรา ดังนั้นก็เลยพยักหน้าไป แล้วตั้งใจพูดว่า “บอกตามตรง ในใจผมมีคนที่เลือกไว้แล้ว”

พูดจบ เขาก็พูดเสริมไปว่า “ในใจหวั่นถิง ก็มีคนในใจแล้ว อีกอย่าง ในใจของพวกเราคิดไว้นั้น เป็นคนคนเดียวกัน”

อู๋ซินได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก กว่าจะได้พบผู้หญิงที่ทำให้เขาใจสั่นได้ขนาดนี้ ไม่คิดว่าทางตระกูลฝั่งผู้หญิงจะดูถูกตนเอง แถมยังบอกอีกว่า เธอมีคนในใจแล้ว!

อู๋ตงไห่ก็รู้สึกเหมือนโดนตอกหน้า สายตาที่มองคุณท่านซ่งนั้น มีความโกรธที่ยากจะซ่อนเร้นไว้ได้

ให้ตายเถอะ ไอ้แก่คนนี้หัวสูงจริงนะ แม้แต่ตระกูลอู๋เรา มันก็ยังไม่มองในสายตางั้นรึ? มึงจะแต่งกับเทวดารึไง!

พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็ขมวดคิ้วพูดว่า “คุณอาซ่ง ในเมื่อคนนั้นทำให้คุณทาไม่มองตระกูลอู๋อยู่ในสายตา คิดว่าคงจะเป็นคนตระกูลใหญ่ในเมืองจินหลิงสินะครับ?”

คุณท่านซ่งก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “ไม่ใช่…..หนุ่มคนนั้น เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้เป็นคนตระกูลใหญ่อะไรหรอก อาได้ยินมาว่า เขาเป็นเด็กกำพร้า อายุ8ขวบก็เข้าไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแล้ว”

อู๋ตงไห่ได้ยินดังนั้น ก็โกรธมาก ถามไปตรงๆ ว่า “แค่ลูกกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ มันจะไปดีเด่นกว่าอู๋ซินตรงไหน มันมีอะไรดี ที่ทำให้คุณอาซ่งไปถูกใจมัน?”

คุณท่านซ่งก็หัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ระหว่างคนสองคน บางครั้งไม่อาจจะวัดกันด้วยทรัพย์สินเงินทอง ชาติตระกูล หรือเบื้องหลัง บางครั้งจะต้องวัดกันด้วยความหมาย มันสำคัญกว่าส่วนอื่น”

อู๋ตงไห่ก็ขมวดคิ้วถามว่า “คุณอาซ่งครับ คุณอาคิดว่าตระกูลอู๋พวกเราไม่มีความหมายอย่างนั้นหรือครับ?”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น” คุณท่านซ่งก็ยิ้มพูดว่า “อาบอกว่า ระหว่างคนด้วยกัน มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย เช่น คุณชายอู๋มีดีทุกอย่าง แต่เล่นบาสเกตบอลไม่เป็น ส่วนอีกคนไม่มีดีสักอย่าง แต่เล่นบาสเกตบอลเก่งมาก ส่วนผู้หญิงก็ถูกความสามารถด้านบาสเกตบอลดึงดูดเข้าให้พอดี นี่ไม่ได้แปลว่าคนที่สองจะเก่งกว่าคุณชายอู๋ แต่บอกได้เพียงว่า คนที่สองนั้นมีแรงดึงดูดที่สามารถได้ครอบครองผู้หญิงคนนี้มากกว่า ก็เท่านั้น”

ในตอนนี้ ในใจของคุณท่านซ่งก็บ่นในใจว่า “อู๋ตงไห่ เอ็งนี่พูดมากเสียจริง บอกไปตั้งเยอะแยะ ยังไม่รู้จักถอยอีก ยังจะมาปั้นหน้าพูดเสแสร้งอีก จะให้พูดตรงๆ ให้ได้เลยใช่ไหม ว่าในสายตากู ลูกเอ็งนั้นก็เป็นแค่กองขี้ ถึงจะพอใจงั้นรึ?”

————