ตอนที่ 671 เปิดโปง โดย Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงพักผ่อนอยู่ในที่พักสองวัน จากนั้นถึงออกไปจากที่พักอีกครั้ง
หลังจากผ่านการเก็บตัวฝึกฝนในระยะนี้ นอกจากของเหลวห้าแสงแล้ว วัตถุดิบเสริมอื่นๆ ก็เหลืออยู่ไม่มาก จำต้องหามาเสริมเป็นการเร่งด่วน
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็พุ่งออกไปนอกตลาดเหมียวจง
หลายปีมานี้ หลิ่วหมิงออกไปขายโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่หลายครั้ง แม้ว่าร้านที่ขายจะเป็นร้านเล็กๆ จำนวนหนึ่ง บางครั้งก็ทำการแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มาจากภายนอกโดยตรง ไม่ว่าจะระมัดระวังแค่ไหน แต่พอเวลานานเข้าก็ยังดึงดูดความสนใจของกลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เขาพยายามไม่ปรากฏตัวในสถานที่เดิม ทั้งยังเลือกสถานที่ขายโอสถไกลออกไปเรื่อยๆ
หนึ่งเดือนต่อมา ตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงทางด้านตะวันตกไปหลายหมื่นหลายพันลี้ ภายในห้องรับรองบนชั้นสองของร้านค้าที่เต็มไปด้วยสินค้าเบ็ดเตล็ด หลิ่วหมิงที่แปลงโฉมเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาป่วยๆ กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผู้อาวุโสหน้าดำเกรียมผู้หนึ่ง
ร้านค้าเบ็ดเตล็ดตรงชั้นหนึ่ง มีคนเข้าๆ ออกๆ คึกคักยิ่งนัก แต่ว่าในห้องรับรองยังคงเงียบสงบ
ผู้อาวุโสยื่นมือรับตลับหยกสี่เหลี่ยมของหลิ่วหมิงมา และเปิดดูอย่างระมัดระวัง
จะเห็นว่าในตลับหยก มีโอสถแวววาววางอยู่หนึ่งเม็ด
พอเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสหน้าดำเกรียมก็เผยสีหน้าตกใจออกมา และสังเกตดูอย่างละเอียด ผ่านไปสักก็ปิดฝาตลับเสียงดัง “แกร็ก!”
“โอสถแฝงจิตวิญญาณนี้มีคุณสมบัติไม่เลว ข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก โอสถทั้งสามสิบสองเม็ดนี้ราคาสิบสามล้านหินจิตวิญญาณ”
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง ที่นำออกมาในครั้งนี้เป็นโอสถระดับกลางทั้งหมด ราคานี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับ
“สหายเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ” ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะ และรีบหยิบยันต์ย่อส่วนที่เต็มไปด้วยหินจิตวิญญาณยื่นให้หลิ่วหมิง
หลังจากนับดูแล้วไม่มีอะไรผิดพลาด หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมาประสานมือคารวะก่อนเดินออกไปด้านนอก
“หากสหายยังมีโอสถนี้อีก สามารถพิจารณาขายให้ร้านเราก่อนได้ ราคายังสามารถคุยกันได้” น้ำเสียงเร่าร้อนของผู้อาวุโสดังมาจากทางด้านหลัง
“ข้าจะพิจารณาอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เดินลงบันได และหายไปท่ามกลางฝูงชนในตลาด
หลังจากหลิ่วหมิงจากไปแล้ว สีหน้าเร่าร้อนของผู้อาวุโสหน้าดำ ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น จากนั้นก็นำตลับหยกเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนชุดดำสองคนโผล่มาจากไหน และตามหลังหลิ่วหมิงไปห่างๆ
และผู้อาวุโสชุดดำก็เดินออกไปทางด้านหลังของร้าน ไม่นานก็มาถึงสิ่งก่อสร้างหินในตลาดที่ดูไม่เตะตามากนัก
“อะไรนะ? เจ้าหาคนลึกลับที่ขายโอสถแฝงจิตวิญญาณเจอแล้วหรือ?” น้ำเสียงแก่หง่อมดังมาจากห้องหลังหนึ่ง
ผู้ที่พูดเป็นชายร่างอ้วนตัวบวมฉุ มีผมยาวบนศีรษะไม่กี่เส้น เขากำลังเอนตัวบนเก้าอี้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ดวงตาปูดโปนคู่หนึ่งเปล่งประกายแสงอันน่ากลัว
ลี่หวงชายชุดคลุมขาวสีฟ้ายืนอยู่ตรงหน้าเขา
ชายร่างอ้วนกำลังถือตลับหยกใบนั้นอยู่ และคีบโอสถแฝงจิตวิญญาณขึ้นมา
“เป็นโอสถที่มีคุณสมบัติสูงจริงๆ ด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่โอสถระดับสูง แต่หากผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายได้ทาน ก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย ไม่เสียแรงที่ข้าตามหาอย่างยากลำบากมาหลายปี” ผู้อาวุโสร่างอ้วนหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ผู้อาวุโสหน้าดำก้มตัวเดินไปอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
“ท่านพ่อ หลายปีก่อนข้าส่งข่าวบอกท่านว่า ดูเหมือนจะมีปรมาจารย์ปรุงโอสถมาปรากฏตัวในตลาดที่อยู่บริเวณพื้นที่แห่งนี้ โอสถเหล่านี้คงจะมาจากคนคนเดียวกัน?”
“มีโอกาสเป็นไปได้แปดส่วน ปรมาจารย์ปรุงโอสถเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก จะต้องไม่มีคนที่สองอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอ้วนวางโอสถลงในตลับหยกด้วยความพอใจ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าผู้ที่สังหารเฮยอู่ในปีนั้น ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้นี้” ลี่หวงกล่าวด้วยแววตาเยือกเย็น
ตอนนั้นหลิ่วหมิงซื้อของเหลวห้าแสงในงานประมูลเป็นจำนวนมาก โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ปรากฏออกมาในตอนนี้ ก็มีสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบหลัก มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดเรื่องนี้กับข้า ไม่ต้องรีบร้อนไป รอจับคนผู้นั้นมาได้ ทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง” ขณะที่พูด ผู้อาวุโสร่างอ้วนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“ส่งคนสะกดรอยไปแล้วใช่ไหม?” ผู้อาวุโสร่างอ้วนยืดเส้นยืดสายแล้วกล่าวออกมา
“ส่งไปแล้วนายท่าน! ให้เฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์ไป” ผู้อาวุโสหน้าดำรีบตอบในทันที
“อืม! พวกเขาทั้งสองเชี่ยวชาญวิชาสะกดรอย คนผู้นั้นจะต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอ้วนพยักหน้าด้วยความพอใจ พอสะบัดแขนเสื้อแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มเขากับลี่หวงไว้ และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทือกเขาไร้นามที่อยู่ห่างจากตลาดไปหลายร้อยลี้ ชายชุดดำสองคนพุ่งไปมาในป่าราวกับปีศาจ
“น่าชิงชังเสียงจริง คนผู้นั้นหนีไปไหนแล้ว! สือเอ้อร์เจ้ารีบคิดหาวิธีเร็ว!” ชายชุดดำที่ดูล่ำสันกว่ากล่าวด้วยความร้อนใจ
ชายชุดดำอีกคนที่ดูผอมแห้งก็ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ในมือถือแผ่นหยกสีเขียวอยู่ ลวดลายคล้ายกระดองเต่าปรากฏขึ้นบนนั้น คลื่นแสงจางๆ กระเพื่อมออกไปราวกับน้ำ
ทั้งสองคือเฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์ที่ตามหลิ่วหมิงมาตั้งแต่ออกจากตลาด และอาศัยวิชาสะกดรอยตามติดอยู่ห่างๆ
แต่กลับไม่ถึงว่าพอหลิ่วหมิงเหาะมาถึงที่นี่ ก็หายไปในพุ่มไม้อย่างไร้ร่องรอย
“ไม่ได้ ตามหาร่องรอยของคนผู้นั้นไม่ได้” เฮยสือเอ้อร์ ชายชุดดำร่างผอมหยุดแสดงวิชา และส่ายหน้าไปมา
“แม้แต่กระจกเต่าก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดี? ป่าใหญ่ขนาดนี้ หากคนผู้นั้นดำดินหนีไป พวกเราก็ไม่อาจหาเจอได้ ถ้าเขาหนีไปได้จริงๆ นายท่านจะต้องไม่ละเว้นพวกเราเป็นแน่” เฮยจิ่วเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“วิชาดำดินไม่อาจหลบพ้นกระจกเต่าไปได้ คนผู้นั้นจะต้องอยู่บริเวณนี้อย่างแน่นอน” พอเฮยสือเอ้อร์ได้ยิน ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“เจ้าว่าคนที่พวกเราสะกดรอยตามมานั้น ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือไม่? ไม่ใช่ว่ากระจกเต่าของเจ้าสามารถปิดบังพลังจิตของผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้หรือ ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถค้นพบพวกเราได้ ทั้งยังซ่อนตัวอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้ไหมว่า……” เฮยจิ่วก้มหน้าเล็กน้อย และกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
“เป็นไปไม่ได้ หากคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้จริงๆ คงไม่ระแวดระวังถึงเพียงนี้ อีกอย่างเขาสามารถฆ่าพวกเราได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแต่อย่างใด” สีหน้าเฮยสือเอ้อร์เปลี่ยนไปทันที หลังจากกลืนน้ำลายลงคอแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
“พวกเจ้าทายถูกครึ่งหนึ่ง ผิดครึ่งหนึ่ง ข้าสามารถฆ่าพวกเจ้าได้ทุกเมื่อจริงๆ แต่ข้าอยากรู้ที่มาของพวกเจ้ามากกว่า ถึงรอจนถึงตอนนี้” ขณะนั้นเอง มีน้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง
เฮยสือเอ้อร์รู้สึกตกใจจนขนลุกซู่ เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีเงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูจากใบหน้าที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านเป็นรำไรแล้ว เขาก็คือคนที่ทั้งสองสะกดรอยตามมานั่นเอง
“เป็นเจ้า…” เฮยจิ่วพุ่งถอยออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด พอกางแขนทั้งสองออก ไอดำก็ปกคลุมเต็มฟ้า แสงสีดำเข้มข้นปกคลุมชายทั้งสองไว้
มันคือพลัง ‘คุกมืด’ นั่นเอง
หลังจากบรรลุเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลาง อานุภาพของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาย่อมก้าวหน้าเป็นอย่างมาก
เฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์รู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าเป็นสีดำ จากนั้นก็ถูกลากเข้าไปในพื้นที่มืดมิด สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีแค่ไอหมอกสีดำที่พวยพุ่งเท่านั้น สหายที่อยู่ข้างกายเมื่อครู่ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จิตรับรู้ก็ไม่อาจตรวจสอบได้
เฮยจิ่วเผยสีหน้าเฉียบขาดออกมา แสงสีดำเปล่งประกายในมือ ทันใดนั้น ดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา
ไอดำตรงหน้าพวยพุ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเงาร่างราวกับปีศาจก็แยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้ามาตรงหน้าเฮยจิ่ว
เฮยจิ่วส่งเสียงคำรามยาวออกมา พอขยับแขน แสงดาบสีดำก็ฟันออกไป และฟันปีศาจทั้งสองตัวจนกลายเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย จากนั้นมันก็สลายตัวกลายเป็นไอดำ
เขาเห็นเช่นนี้ก็รีบตั้งสติแล้วตะโกนออกมา
“สือเอ้อร์ ไม่ต้องตื่นตระหนก สถานที่แห่งนี้เป็นแค่แดนมายาเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถปิดกั้นจิตรับรู้ได้ แต่กลับมีพลังสังหารไม่มาก”
“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีผลกระทบต่อจิตรับรู้เป็นอย่างมาก…” ที่จริงเฮยสือเอ้อร์อยู่ห่างจากเฮยจิ่วไม่มากนัก ไม่รู้ว่ามีกระบี่ยาวสีเงินในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากตวัดไปมา ก็สังหารเงาปีศาจที่กระโจนเข้ามาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็รีบตอบกลับไป
“แย่แล้ว! สือเอ้อร์ระวัง!” เฮยสือเอ้อร์ยังไม่พูดไม่ทันจบ ก็ถูกน้ำเสียงตื่นตระหนกของเฮยจิ่วขัดขวางไว้
จะบอกว่าช้าแต่ความจริงกลับไวมาก แสงสีทองจางๆ มาปรากฏด้านหลังเฮยสือเอ้อร์อย่างไร้สุ้มเสียง กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน!
แสงสีทองกลายเป็นแสงเย็นสะท้าน มันแค่หมุนวนรอบคอเฮยสือเอ้อร์หนึ่งรอบอย่างไร้สุ้มเสียง ศีรษะของเขาก็กลิ้งลงมา ร่างไร้ศีรษะล้มลงไปทื่อๆ…
เมื่อแสงสีดำสลายไปอีกครั้ง เฮยจิ่วก็กำดาบไว้แน่น แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก
ห่างจากระหว่างคิ้วของเขาไปครึ่งชุ่น กระบี่เล็กสีทองพร่ามัวกำลังลอยอยู่ตรงนั้น ปลายกระบี่ที่ดูแหลมคมเป็นอย่างมากสั่นสะท้านเบาๆ ราวกับว่าจะพุ่งยิงออกไปได้ตลอดเวลา
“บอกมาเถอะ พวกเจ้าเป็นใครกัน นายท่านที่พูดถึงคือใคร?” ห่างจากเฮยจิ่วไปมาไม่ไกล ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าป่วยๆ กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ และถามออกมาอย่างราบเรียบ
แม้ว่าเฮยจิ่วจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าลังเลอย่างอดไม่ได้
ขณะนั้นเอง ก็มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากบนท้องฟ้า
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรไม่สู้ถามข้าโดยตรงจะดีกว่าไหม?”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง แสงสีเขียวลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามาราวกับฝนดาวตก หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็ร่วงลงพื้นบริเวณนั้น
พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นร่างลี่หวงกับผู้อาวุโสร่างอ้วน
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูลี่หวงทีหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาไปทางผู้อาวุโสร่างอ้วน และหรี่ตาทั้งคู่ลงทันที
“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้!”
………………………………