ตอนที่ 491 สังหารศัตรูพันคนตนเองบาดเจ็บแปดร้อย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นอกจากนี้ก็ยังมีหินวิญญาณห้าประกายทั้งสิบสีเป็นเครื่องตกแต่ง 

 

 

แม้กระทั่งจานชามที่ใช้รองอาหารเช้าทุกชิ้น …..ต่างก็เป็นของโบราณล้ำค่าที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ! 

 

 

แต่เขากลับนำออกมาให้ตู๋กูซิงหลันใช้เป็นภาชนะใส่อาหารเช้าเสียเฉย! 

 

 

“ตอนอยู่ในโลกโบราณ เจ้าต้องลำบากไม่น้อย สมควรจะต้องบำรุงให้มากหน่อย” ซื่อมั่วพูดพลางก็หยิบอาหารต่างๆออกมา วางลงบนโต๊ะทานอาหาร 

 

 

แม้จะอยู่ในเรือนพักส่วนตัวของตู๋กูซิงหลัน แต่เขาก็วางตัวสบายๆเหมือนกับเป็นบ้านของตนเอง หยิบนมกล่องหนึ่งออกมาจากตู้เย็นออกมาอย่างคุ้นเคย หยิบยันต์ออกมาสะบัดมือครั้งหนึ่งนมก็ถูกอุ่นร้อนกำลังดี 

 

 

นมถูกเทลงในแก้ว วางลงตรงอาหารเช้าของเขาอย่างเรียบร้อย 

 

 

“เด็กน้อย…..คนหนุ่มสาวสมควรดื่มนมให้มาก” เขาโบกมือเรียกตู๋กูซิงหลันเช่นเดียวกับยามที่นางยังเป็นเด็กเล็กๆ 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย มากินอาหารเช้าเถอะ” 

 

 

ตอนที่นางยังเป็นทารก ซื่อมั่วก็จัดหาแม่นมให้กับนาง แต่ว่าเจ้าตัวร้ายตัวน้อยผู้นี้ไม่ยอมกินนมของแม่นม ทั้งยังเลือกกินอย่างที่สุด 

 

 

ดังนั้นท่านผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพชนผู้นี้ จึงต้องจัดเตรียมอาหารให้นางด้วยตนเอง 

 

 

ทั้งหมดล้วนเป็นสุดยอดของอาหารบำรุงร่างกาย 

 

 

ก่อนที่จะสามขวบนั้น แค่อาหารเช้ามื้อหนึ่งของตู๋กูซิงหลันก็เทียบเท่าได้กับพลังวิญญาณที่นักพรตทั่วไปสามารถสะสมได้ในหนึ่งปี 

 

 

ซื่อมั่วเก็บพืชพรรณและสิ่งล้ำค่ามาปรุงอาหารให้นางด้วยตนเอง พอเริ่มทำก็ต่อเนื่องนานถึงสามปี 

 

 

บำรุงร่างกายสร้างกระดูก หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ทำให้นางมีร่างกายและจิตวิญญาณที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาตั้งแต่เล็ก 

 

 

เพื่อให้ในอานาคตนางกลายเป็นสุดยอดปรมจารย์คุณไสย์ ย่อมต้องวางรากฐานเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง 

 

 

คนอย่างตู๋กูซิงหลัน ความทรงจำดีเยี่ยมเสมอ 

 

 

ทุกเรื่องที่อาจารย์ทำให้ตั้งแต่ก่อนสามขวบนั้น นางยังจดจำได้หลายส่วน 

 

 

เพียงแต่นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากการที่อาจารย์ตระเตรียมอาหารให้ ….. นางตื่นตะลึงจนแทบไม่ทันตั้งตัว 

 

 

เพราะนับตั้งแต่สามขวบเป็นต้นมา….อาจารย์ก็เริ่มฝึกฝนให้นางกำราบปีศาจปราบผี 

 

 

ไม่ทันได้ทำอะไรก็โยนนางลงในหมู่ภูติผีปีศาจ สุสานร้างกลางป่าเขา หรือไม่ก็รังของสัตว์ประหลาดต่างๆ…. 

 

 

ความสามารถของคนผู้หนึ่ง มิได้มาจากพรสวรรค์ที่ฟ้ามอบให้ง่ายๆ ต่างก็ต้องหลั่งเหงื่อต่างน้ำ พึ่งพาความมุ่งมั่นของตนเองสร้างขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

…………………… 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย มานี่” ในเมื่อเรียกครั้งหนึ่งแล้วนางยังไม่มา ….เช่นนั้นซื่อมั่วก็ได้แต่เรียกอีกครั้ง 

 

 

เพราะอย่างไรเรียกหลายครั้งหน่อยก็ไม่ได้ทำให้คนตายเสียหน่อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงประกบสิบนิ้วจับมือกับจีเฉวียน พอถูกซื่อมั่วเรียกอีกครั้ง นางก็ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์แล้ว 

 

 

มือของนางยังคงกุมจีเฉวียนเอาไว้ไม่ปล่อย “อาจารย์….เสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเหมือนกัน” 

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกว่าตนเองช่างหน้าหนาเหลือเกิน 

 

 

เสินฟางเองก็เห็นด้วย นางควรจะรู้จักหน้าบางกว่านี้บ้าง 

 

 

อาจารย์ของเจ้าทนมองพวกเจ้าแสดงความรักหวานชื่นขนาดนี้….ที่จริงก็ใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว …..เจ้ายังจะกล้านำอาหารที่อาจารย์ตระตรียมให้เจ้า ไปแบ่งกับไอ้หนุ่มที่ไม่ได้เรื่องผู้นั้นอีก? 

 

 

อืม…..หากว่าเปลี่ยนเป็นเสินฟางละก็ เสินฟางคงจะเอาความรักใคร่นี้ไปทุ่มเทให้กับช้างม้าวัวควาย เลี้ยงดูพวกมันไว้ยังได้กินเนื้อ หรือไม่ก็ใช้ขับขี่ 

 

 

เขาถอยหลังไปอีกหลายก้าว 

 

 

อุปนิสัยของซื่อมั่ว เขาย่อมรู้จักเป็นอย่างดี 

 

 

ดูผิวเผินเหมือนคนที่ไร้ความรู้สึก แต่ที่จริงแล้วในใจกลับพลุ่งพล่านอย่างยิ่ง….เพราะเขาเองก็เคยเห็นอยู่ๆซื่อมั่วโยนสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งลงไปในกงล้อวัฏสงสารมากับตาแล้ว….ช่างน่าอนาถจริงๆ 

 

 

คนผู้นี้….ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งอย่างที่สุด แต่ว่ายังโหดเ**้ยมร้ายกาจอีกด้วย 

 

 

ไอ้หนุ่มที่ไม่ได้เรื่องอย่างจีเฉวียนก็มองดูซื่อมั่วอยู่เช่นกัน 

 

 

ครั้งแรกที่พบกับซื่อมั่ว เนื่องเพราะแรงสะกดข่มจากร่างหลัก ทำให้พระองค์แทบจะกระดูกหักร่างแตกสลายกลายเป็นผุยผง 

 

 

แต่ครั้งนี้ที่พบกัน ร่างของจีเฉวียนกลับสามารถรักษาสภาพที่มั่งคงเอาไว้ได้ 

 

 

นี่ย่อมเป็นเพราะเพื่อศิษย์รักของตน ซื่อมั่วจึงเก็บงำพลังกดดันของร่างหลักเอาไว้ ยามที่จีเฉวียนเผชิญหน้ากับเขา จึงมิได้ถูกเขาดึงดูดพลังชีวิตกลับไปจนสูญสลาย 

 

 

ขณะเดียวกัน เขาเองก็มองดูจีเฉวียนอย่างละเอียดลออแวบหนึ่ง 

 

 

คนผู้นี้ทั้งๆที่เป็นร่างแบ่งภาคของเขาแท้ๆ สามารถบอกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่พอเห็นไอ้หนุ่มคนนี้มาชักจูงลูกศิษย์ของตนเองไป เขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาสุดชีวิต 

 

 

สีหน้าของท่านผู้ยิ่งใหญ่ยังคงเดิมดุจดังพันปีก่อน คนที่นั่งอิจฉาตนเอง นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้รสชาติแบบนี้ 

 

 

“ซิงซิงรักเรามาก จนเราต้องหวั่นใจ” เพียงแต่ไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่รู้จักสนใจสีหน้าผู้อื่น เขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น แล้วยังยกมือของนางขึ้นมาจุมพิศที่หลังมือต่อหน้าต่อตาซื่อมั่ว “นี่เป็นของที่อาจารย์ของเจ้าตระเตรียมให้กับเจ้า ย่อมต้องการให้เจ้ากินอย่างว่าง่าย แค่เราได้ดูเจ้ากินก็อิ่มใจแล้ว” 

 

 

พระองค์ตรัสแล้ว ก็ยื่นพระหัตถ์ออกไปเด็ดดอกกุหลาบมาดอกหนึ่ง 

 

 

ดอกกุหลาบดอกนี้ยื่นจากในสวนเข้ามาด้านในของหน้าต่าง มีน้ำค้างเกาะพราวจนเปล่งประกาย 

 

 

ฝ่ามือใหญ่ขยับวูบก็แซมดอกกุหลาบดอกนั้นลงไปบนผมของตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังไม่ลืมที่จะหันมาประกาศต่อหน้าซื่อมั่ว” ซิงซิงของเรางดงามที่สุด” 

 

 

วิญญาณทมิฬที่ซ่อนอยู่ในเงาของซื่อมั่วยังต้องตัวสั่นสะท้าน 

 

 

มันเคยเห็นคนที่หาเรื่องตายมามาก….แต่ก็ไม่เคยเห็นใครที่หาเรื่องตายอย่างจีเฉวียนมาก่อน 

 

 

พี่ชาย! ที่ท่านกำลังหาเรื่องอยู่นี้คือระดับตัวพ่อเลยนะ! 

 

 

ต้องรู้บ้างสิว่า…..หากไม่มีเขาก็จะไม่มีท่านขึ้นมาหรอกนะพี่ชาย! 

 

 

บรรยากาศแปลกคุกรุ่นไปทั่วทั้งห้องโถง ในอากาศคล้ายจะถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟจางๆ 

 

 

ซื่อมั่ว “ศิษย์ของข้างดงามแค่ไหน ทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็รู้ดี ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้าบอกออกมา” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “ ! ! !” เอาละโว้ย ตัวพ่อย่อมเป็นตัวพ่อ! เรียนรู้ได้ไว ในที่สุดท่านผู้เฒ่าก็สามารถพูดจาลดเลี้ยวเป็นกับเขาบ้างแล้ว!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลาง “…..” อยู่ๆนางก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา 

 

 

สุดท้ายนางก็ไปกินข้าวอย่างว่าง่าย แต่นางเองก็ไม่กล้าให้จีเฉวียนเข้าใกล้อาจารย์มากเกินไป 

 

 

เพราะเกรงว่าเขาจะเกิดสภาพแบบครั้งนั้นขึ้นมาอีก 

 

 

ตอนนี้นางไม่อาจเห็นพวกเขาทั้งสองเป็นคนคนเดียวกัน 

 

 

แต่เมื่อคนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน พอมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าทั้งสองมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาก 

 

 

หากให้สวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันและยืนอยู่แต่ไกล ก็อาจจะเห็นเป็นคนเดียวกันได้เลย 

 

 

นางรับประทานอย่างว่าง่าย สายตาก็มองอยู่ระหว่างจีเฉวียนและซื่อมั่วสลับกันไปมา 

 

 

จากนั้นก็เห็นซื่อมั่วเปิดทีวีในห้องโถงขึ้นมา 

 

 

ทีวีกำลังฉายละครเรื่อง แมรี่ซูกระบี่เทพสังหารที่ตู๋กูซิงหลันเล่นเป็นเรื่องแรก  

 

 

เป็นฉากที่นางแสดงเป็นจอมมารหญิงที่กำลังเล่นจ้ำจี้อย่างนั้นอย่างนี้กับพระรอง….. 

 

 

นางเปิดเผยเรียวขาและหัวไหล่ มีสัมพันธ์รักผ่านภายใต้ผ้าโปรงสีแดงที่ไหวกระเพื่อม 

 

 

แล้วยังมีเสียงประกอบแบบที่ไม่อาจเขียนเป็นตัวอักษรได้….. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่กำลังดื่มน้ำค้างจากภูเขาหิมะ ถึงกับพ่นน้ำคำโตลงไปบนโต๊ะตัวใหญ่ 

 

 

ยามปกตินางไม่ค่อยอยู่บ้าน ในบ้านจึงมีแต่เสินฟาง ภาพในละครเหล่านั้นถูกดาว์นโหลดลงมาเก็บเอาไว้ ไม่ใช่ที่สถานีโทรทัศน์กำลังฉายอยู่ 

 

 

นางหันกลับไปจ้องเสินฟางอย่างโหดเ**้ยม ไอ้ตัวร้ายนั้นแอบหาเรื่องกันใช่หรือไม่? 

 

 

เสินฟาง “….” ฟ้าเดินโปรดเมตตา เขาไม่ได้ทำสักหน่อย 

 

 

เขาก็แค่เอาละครที่ตู๋กูซิงหลันเล่นเป็นนางมารสุดชั่วนั่นมาตัดต่อรวมกันเอาไว้ เตรียมจะเปิดให้ฮ่องเต้ชาวมนุษย์นั่นดู 

 

 

จะได้รู้ว่าแก่นแท้ของสตรีล้วนเป็นสีดำ สมควรหลีกหนีจากนางไปให้ไกล 

 

 

ส่วนไอ้เสียงที่ไม่สามารถเขียนบรรยายลงไปได้นั่น…เขาก็ตัดออกไม่เป็น 

 

 

ที่จริงแล้วเป็นซื่อมั่วต่างหากที่เป็นคนเปิด….. 

 

 

เรื่องอย่างฆ่าศัตรูพันคนตนเองบาดเจ็บแปดร้อย มีแต่เฒ่าตัวร้ายผู้นี้ที่กระทำได้ 

 

 

……………………………..