บทที่ 2761 ไหนเลยจะไปเทียบกับนางได้?
“ร่างนี้เข้าใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?” ฟั่นเชียนซื่อพลันเลื่อนมือลง วางลงบนข้อมือของนาง จับชีพจรให้นาง
สตรีนางนั้นตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ก้มหน้าลง “ขอบพระคุณนายท่าน อู๋เหยียนสบายดี”
ฟั่นเชียนซื่อมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “เจ้ายังขุ่นชังอยู่”
อูอู๋เหยียนเม้มปากนิดๆ “อู๋เหยียนมิบังอาจ อู๋เหยียนเพียงไม่เข้าใจเรื่องหนึ่ง”
หลังจากนางฟื้นคืนชีพ ตัวคนก็ราวกับไม้ท่อนหนึ่ง ถึงแม้จะเชื่อฟังยิ่งนัก แต่ราวกลับว่าสูญสิ้นอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว ฟั่นเชียนซื่อลองหยั่งเชิงนางอยู่หลายครั้ง นางล้วนไม่ปริปากเลย
ยามนี้หาได้ยากนักที่นางจะเอ่ยถามถึงอันใดสักประโยค เดิมทีฟั่นเชียนซื่อมีจิตนึกระแวงนางแล้ว ยามนี้กลับถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง “เจ้าว่ามาเถิด”
“นายท่าน ท่านเคยบอกว่ากู้ซีจิ่วก็เป็นผลงานของท่านเช่นกัน เช่นเดียวกับอู๋เหยียน พวกเราล้วนเป็นตัวหมากของท่าน แต่นางหักหลังท่านอยู่เสมอ ทว่านายท่านกลับไว้หน้านางยิ่งนัก หากว่านายท่านปฏิบัติต่อข้าน้อยได้สักครึ่งของที่ปฏิบัติต่อนาง...”
“เจ้านับเป็นตัวอันใด? ไหนเลยจะไปเทียบกับนางได้?!” ฟั่นเชียนซื่อเอ่ยขัดนางเสียงเย็น สุ้มเสียงกระด้างเย็นชา
อูอู๋เหยียนถูกตอกกลับจนชะงักไป หลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าค่ะ เป็นเหยียนเอ๋อร์กล่าวผิดไปแล้ว เหยียนเอ๋อร์เป็นเพียงตัวหมากของนายท่านเท่านั้น เหยียนเอ๋อร์จะจดจำฐานะของตนไว้”
ฟั่นเชียนซื่อมองนางแวบหนึ่ง แววตาวูบไหวนิดๆ ทราบเช่นกันว่าตนกล่าวเกินไปอยู่บ้าง…
คงเป็นเพราะเพิ่งทำพลาดมา อารมณ์ของเขาจึงไม่สงบอยู่บ้าง สูดหายใจเบาๆ “เหยียนเอ๋อร์ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความหมายของข้าคือ เจ้ากับนางมีความสามารถต่างกันไป และมีประโยชน์แตกต่างกันไป เจ้าไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับนางหรอก”
“เจ้าค่ะ เหยียนเอ๋อร์น้อมรับคำสั่งสอน เหยียนเอ๋อร์สามารถถามคำถามอีกข้อได้หรือไม่?”
“ได้!”
“ดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วแตกต่างจากข้าน้อยใช่หรือไม่? ไม่น่าเชื่อว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้นางจะฝึกฝนจนกลายเป็นซ่างเสินแล้ว อีกทั้งนายท่านก็ใช้คาถาควบคุมนางอยู่หลายครั้ง ถึงขั้นที่เคยลบล้างความทรงจำของนางด้วย แต่กลับล้มเหลวอยู่เสมอ…เท่าที่อู๋เหยียนทราบ คาถาลบความทรงจำของนายท่านนอกเหนือจากนางแล้ว ไม่เคยล้มเหลวเลย ดวงวิญญาณของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ข้าน้อยรู้สึกอยู่เสมอว่านางไม่ใช่แบบเดียวกับข้าน้อย…”
ฟั่นเชียนซื่อชะงักไปแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยเมย “นางเป็นสิ่งที่…ข้าเคยสร้างขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ ย่อมต้องแข็งแกร่งมากกว่า”
“เช่นนั้นนางหลุดพ้นจากการควบคุมไปแล้ว เหตุใดนายท่านถึงไม่สร้างดวงวิญญาณที่แกร่งกล้าเช่นเดียวกับนางขึ้นมาอีกดวง จากนั้นก็ให้เชื่อฟังหน่อยก็พอแล้ว” อูอู๋เหยียนหลุดปากเอ่ยออกมา
ฟั่นเชียนซื่อขมวดคิ้ว “นางมิใช่สิ่งที่จะคัดลอกได้ ดวงวิญญาณของนางมิใช่ข้าที่…” เอ่ยมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปทันที มองอูอู๋เหยียนอย่างเยียบเย็น “เหยียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังหลอกถามข้าอยู่รึ?!”
อูอู๋เหยียนเม้มริมฝีปาก ค้อมกาย “นายท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแต่สงสัยอยู่บ้างเท่านั้น…หากว่านายท่านไม่สบายใจ จะใช้อาคมลบความทรงจำในส่วนนี้ของข้าน้อยก็ได้เจ้าค่ะ”
ฟั่นเชียนซื่อจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้มแล้ว น้ำเสียงอ่อนโยน “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าติดตามข้ามานานถึงเพียงนี้ จงรักภักดีเสมอมา ข้ายังคงไว้วางใจเจ้ายิ่งนัก เอาล่ะ พวกเราอย่าคุยเรื่องพวกนี้อีกเลย เรื่องครั้งก่อนทำให้เจ้าได้รับความลำบากไป ได้รับความอยุติธรรมไปบ้างแล้ว ข้าอยากจะชดเชยให้เจ้า เจ้าอยากได้อะไรล่ะ?”
อูอู๋เหยียนผงะไป ส่ายหน้านิดๆ “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ต้องการอะไร…”
ฟั่นเชียนซื่อมองดูนาง ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เหยียนเอ๋อร์ ต่อหน้าข้าอย่าได้ซ่อนเร้นความปรารถนาเลย เจ้าชมชอบหลงซือเย่ถูกหรือไม่?”
อูอู๋เหยียนเงยหน้าขึ้นทันที “นายท่าน...”
“เจ้าไม่ต้องปิดบังหรอก ข้ารู้ทุกอย่าง อันที่จริงเจ้าชอบเขาก็ไม่ผิดหรอกหรอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นร่างโคลนนิ่งของข้า เจ้าชอบเขาก็เท่ากับชอบข้าด้วย ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก”
————————————————————————————-
บทที่ 2762 เป็นเด็กดีหน่อย อย่าขยับ!
แพขนตาของอูอู๋เหยียนหลุบลง “นายท่าน เหยียนเอ๋อร์ยอมรับว่ามีความรู้สึกพิเศษต่อเขาอยู่บ้างจริงๆ แต่ก็ด้วยเห็นแก่ที่เขาเป็นร่างโคลนนิ่งของนายท่าน มิมีความคิดเป็นอื่น”
ฝ่ามือของฟั่นเชียนซื่อกดลงบนไหล่นาง “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้ถือโทษต่อเจ้า เหตุผลที่ข้าพูดเช่นนี้ คืออยากทำให้เจ้าสมประสงค์จริงๆ เด็กสาวมักต้องมีแหล่งพักพิงที่ดี วางใจเถอะ รอหลังจากข้ากำจัดตี้ฝูอีไปแล้ว จะเป็นเจ้าภาพงานวิวาห์ให้พวกเจ้าเอง”
อูอู๋เหยียนก้มศีรษะลงต่ำ เอ่ยอ้อมแอ้ม “ขอบพระคุณนายท่าน”
ฟั่นเชียนซื่อพยักหน้า “เหยียนเอ๋อร์ ข้าห่วงใยเจ้าเสมอมา จะให้เจ้าได้มีแหล่งพักพิงที่ดี เพียงแต่ หลงซือเย่มิได้มีความรู้สึกต่อเจ้าสักเท่าใด เจ้ายังต้องหาทางไปอยู่ข้างกายเขา ทำให้เขามีความรู้สึกอันดีด้วย เพราะถึงอย่างไรแตงที่ฝืนกินย่อมไม่หวาน”
อูอู๋เหยียนเงียบงันไปพักหนึ่ง “…เจ้าค่ะ! ข้าน้อยเชื่อฟังการจัดการทุกอย่างจากนายท่าน”
นางมองเศษซากที่แตกกระจายเต็มพื้น คิดจะเก็บกวาดตามสัญชาตญาณ ฟั่นเชียนซื่อโบกมือ “ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ”
อูอู๋เหยียนจากไปอย่างเชื่อฟัง ภายในโถงตำหนักเหลือเพียงฟั่นเชียนซื่อผู้เดียว ฟั่นเชียนซื่อมองเศษซากที่เกลื่อนพื้น ความปวดร้าววาบผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง
เขาก้มตัวลงเก็บกวาดเศษซากเหล่านั้นไปทีละนิดๆ ไม่ได้ใช้เวทวิชาใดๆ ราวกับจะอาศัยการเก็บกวาดสิ่งเหล่านี้มาจัดระเบียบอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง
มีเศษชิ้นหนึ่งที่ใหญ่มาก เขาหยิบขึ้นมามอง ราวกับจะมองทะลุเศษชิ้นนี้ไปเห็นดวงหน้าของสตรีผู้นั้นได้ เขาค่อยๆ กำเศษแตกชิ้นนั้นจนแน่น เศษแตกหักทิ่มเข้าไปในฝ่ามือเขา มีโลหิตผุดซึมออกมาตามง่ามนิ้ว เขาหลับตาลงเล็กน้อย
ซีจิ่ว ซีจิ่ว อาจารย์…
ข้าจะทำให้ท่านเสียใจ…ที่เคยปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้น…
….
ภายในวังมรกต
กู้ซีจิ่วมองก้อนเนื้อบนโต๊ะชิ้นนั้นที่ถูกเธอดูดซับจนกลายเป็นเนื้ออบแห้งอย่างจังงัง เดิมทีที่มีขนาดใหญ่โต ตอนนี้กลับหดลงจนมีขนาดเท่าถ้วยชาเท่านั้น ราวกับมะเขือม่วงตากลม ไม่มีไอวิญญาณอยู่บนนั้นอีกแล้ว
เธอมองดูมือของตัวเองต่อ นี่ตนฝึกฝนจนสำเร็จวิชาดูดซากศพอันใดแล้วหรือ?
“ซีจิ่ว เจ้ารู้สึกอย่างไร?”
“ท่านแม่ ท่านรู้สึกว่าเป็นยังไง?”
ตี้ฝูอีกับตี้เฮ่าแทบจะเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน
กู้ซีจิ่วลองขยับแขนขยับขาดูเล็กน้อย แล้วโคจรพลังวิญญาณดูสักหน่อย “ไม่มีอะไรผิดปกตินะ ข้ารู้สึกว่าพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลยด้วย”
ตี้ฝูอีดึงนางเข้ามา “ให้ข้าตรวจดูหน่อย” ฝ่ามือทาบลงบนท้องน้อยของเธอเบาๆ
กู้ซีจิ่วถูกต้อนให้นั่งอยู่บนตักเขา ถูกเขากึ่งๆ โอบไว้ในอ้อมแขน แถมตี้เฮ่าก็กำลังเบิกตามองเธออยู่
ดวงหน้าเฉิดฉันของกู้ซีจิ่วแดงเรื่อนิดๆ ค่อนข้างขลาดอายอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ขณะที่คิดจะดิ้นให้หลุด แขนของตี้ฝูอีพลันรัดแน่นเล็กน้อย “เป็นเด็กดีหน่อย อย่าขยับ!”
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ คล้ายจะตระหนักถึงอะไรได้ “ได้ ข้าจะไม่ขยับ”
จากนั้นก็มองบุตรชายแวบหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างละอายยิ่งนัก “เฮ่าเอ๋อร์ พ่อเจ้ากำลังตรวจอาการให้แม่อยู่…”
“เฮ่าเอ๋อร์ทราบดี” แววยิ้มหัวแวบผ่านนัยน์ตาของตี้เฮ่า ทราบดีว่ามารดาของตนขวยอายอยู่…
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดตี้ฝูอีก็ปล่อยตัวเธอ ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว! เฮ่าเอ๋อร์ ครั้งนี้เจ้าสร้างความชอบไม่น้อยเลย!”
ตี้เฮ่ายังคงไว้วางใจในวิชาแพทย์ของบิดาตนยิ่งนักอยู่ ดวงตาเขาหยีโค้ง “ได้แต่เพียงกล่าวว่าเป็นวาสนาของเฮ่าเอ๋อร์แล้ว เสาะหาพญาเจียวตัวนั้นจนได้รับสิ่งนี้มาทันเวลาพอดี ช่วยเหลือท่านพ่อท่านแม่ได้…”
ตี้ฝูอียื่นมือไปลูบหัวบุตรชาย “พ่อต่างหากที่มีวาสนา สามารถมีบุตรชายประเสริฐเช่นเจ้าได้!”
กู้ซีจิ่วฟังคุณชายสองท่านนี้พูดจาสามสี่ประโยคคล้ายเล่นทายปริศนากัน ขบคิดดูครู่หนึ่ง ใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ เอ่ยอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “ทั้งสองท่านหยุดสรรเสริญเยินยอกันได้แล้ว ใครจะอธิบายให้ข้าเข้าใจได้บ้างว่าสรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?”