ในทะเลสายฟ้า

เรือยักษ์สีเขียวเข้มประดุจใบไม้โคลงเคลงไปมาไม่หยุดท่ามกลางฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าที่จู่โจมเข้าใส่ แต่ภายใต้การต้านทานของสมบัติวิเศษสิบกว่าชิ้น และม่านแสงหลายชั้น จึงยังคงโคลงเคลงพลางเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

อานุภาพของกระแสไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้าน่าตื่นตระหนก ทว่าภายใต้การลงมือร่วมกันของผู้ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์กลุ่มหนึ่งบนเรือ ยังคงอยู่ในสภาวะที่รับมือได้

แต่ความประหลาดของทะเลสายฟ้า ยังคงเหนือความคาดหมายของกลุ่มคนมากมาย พอเข้าสู่กลางทะเล สายฟ้าที่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าพลันหนาแน่นกว่าก่อนหน้านี้สองถึงสามเท่าตัว และทุกๆ สายนอกจากพลังแห่งสายฟ้าแล้ว ยังคลับคล้ายแฝงพลังที่ไม่รู้จักชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่จู่โจมใส่ ล้วนทำให้เรือยักษ์จมลง ราวกับมีน้ำหนักมากกว่าล้านชั่งขึ้นไป

ไม่ว่าแรดน้ำเย็นแปดตัวออกแรงลากเรือยักษ์ให้บึ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิตเท่าใด พลังแห่งสายฟ้าที่สกัดกั้นไว้กับน้ำหนักประหลาดของเรือยักษ์ที่เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า ผ่านไปเนิ่นนาน กลับเคลื่อนไปได้ไกลไม่กี่ลี้

ถ้าไม่ใช่เพราะหุ่นเชิดศิลาเขียวสองตนที่ยืนอยู่หัวท้ายของเรือ ปล่อยแสงสีเขียวขนาดเท่าวงล้อจู่โจมใส่ท้องฟ้าวงแล้ววงเล่าเป็นระยะ ทำให้สายฟ้าส่วนหนึ่งกระจายออกในทันทีแล้วล่ะก็ เรือยักษ์คงเคลื่อนที่ไปได้ยากจริงๆ

เมื่อเห็นดังนี้ บรรพชนตระกูลหล่งที่กำลังยืนอยู่บนหัวเรือก็หันไปถามสตรีเผ่าวิญญาณที่อยู่ด้านข้างอย่างวิตกกังวล

“ไม่ดี! ช้าขนาดนี้ เราจะแล่นอีกนานแค่ไหนจึงจะไปถึงเกาะ สหายเชียนชิว เรือวิญญาณลำนี้เป็นของเจ้า พอจะมีวิธีอะไรที่ทำให้เร็วกว่านี้ไหม”

“ข้าสามารถใช้คาถาลับกระตุ้นโลหิตบริสุทธิ์ของแรดน้ำเย็นทั้งแปดตัว ทำให้กล้ามเนื้อของพวกมันแข็งแกร่งขึ้นราวเท่าตัวชั่วคราว แต่ถ้าทำเช่นนี้ อสูรวิญญาณแปดตัวอาจพังยับเยินอยู่ที่นี่”

ใบหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกระตุกเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างลังเลใจอยู่บ้าง

แรดน้ำเย็นฝูงนี้ทุกตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับหลอมสุญขั้นกลาง ซึ่งนางทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงดูและฝึกฝนพวกมันออกมา เพื่อใช้ประโยชน์อีกมากมาย ถ้าทั้งหมดถูกทำลายที่นี่ ย่อมรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

“ตอนนี้มันคือเวลาอะไรแล้ว จะมานึกเสียดายอสูรวิญญาณอะไรอีก ขอเพียงสามารถออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด พอหาสระชำระวิญญาณกับดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์เจอ ยังจะมีอะไรที่เสียไปแล้วไม่สามารถชดเชยได้บ้าง”

“ได้ ข้าจะใช้วิชาลับเดี๋ยวนี้ หวังว่าสหายจะคุ้มกันให้สักพัก เวทมนตร์นี้ถูกรบกวนไม่ได้”

ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณ สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวต้องมีความเด็ดขาดกว่าคนปกติ หลังจาก

ตรึกตรองเล็กน้อย ก็กัดฟันพยักหน้าเบาๆ ทันที

พอบรรพชนตระกูลหล่งได้ยินก็ดีใจมาก รับปากอย่างเต็มคำ

“สหายวางใจ ขอเพียงมีข้าอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้พลังจากภายนอก รบกวนสหายแม้แต่น้อย”

สิ้นเสียง นิ้วมือแต่ละข้างของบรรพชนตระกูลหล่งก็แยกกันจิ้มไปยังที่ว่างตรงหุ่นเชิดศิลาเขียวทั้งสองตัว แล้วใบหน้าก็มีไอสีทองปรากฏขึ้นหนึ่งชั้น

หุ่นเชิดศิลาเขียวที่ปลายทั้งสองข้างของเรือยักษ์ เดิมทีกำลังแกว่งหมัดจู่โจมขึ้นฟ้า พอถูกบรรพชนตระกูลหล่งใช้เคล็ดวิชากระตุ้น แขนทั้งสี่ก็นิ่งค้างและตกลงพร้อมกัน แต่ศีรษะกลับเงยขึ้น ดวงตาขนาดใหญ่ดวงเดียวบนใบหน้าพลันปล่อยแสงสีขาวสว่างจ้าออกมา คล้ายเปลวไฟลุกโชนอยู่ในเบ้าตาไม่หยุด

ถัดมา ลำแสงใสๆ ค่อยพุ่งออกจากตาดวงเดียวของแต่ละตัว ไปบรรจบกันบนท้องฟ้าเหนือเรือยักษ์ ก่อตัวเป็นร่างผลึกขนาดใหญ่คล้ายปรอทสีเงินกลุ่มหนึ่ง

พอร่างผลึกหมุนรอบตัว อักขระสีเงินนับไม่ถ้วนก็ปะทุออก กลายเป็นโล่ยักษ์เปล่งประกายสีเงินระยิบระยับแผ่นหนึ่ง

โล่ผลึกบางเป็นพิเศษราวกับกระดาษ ผิวแวววาวราวกับกระจก พอสั่นน้อยๆ คลับคล้ายมีลมฝนฟ้าคะนองกระจายออก กระแสไฟสีเงินนับไม่ถ้วนจู่โจมอยู่ด้านบน โดยระเบิดเป็นแสงไฟกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ราวกับจะฉีกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน

แต่ผิวของโล่ผลึกนอกจากกระเพื่อมสักพัก กลับกันกระแสไฟส่วนใหญ่ที่คล้ายพายุฝนให้อยู่แต่ด้านนอกได้ ทำให้เรือยักษ์ทั้งลำมั่นคงดุจเขาไท่ซานขึ้นมาทันที

“สหายเชียนชิวรีบลงมือเร็ว เวทมนตร์นี้เป็นกลวิธีหุ่นเชิดสองตัว ต้านทานไว้ไม่ได้นาน” บรรพชนตระกูลหล่งร่ายมนตร์ด้วยมือเดียวไม่ปล่อย แต่หน้ากลับซีดอยู่บ้างขณะพูด

เห็นชัดว่าการกระตุ้นหุ่นเชิดสองตัวต้องใช้อิทธิฤทธิ์มาก ซึ่งกินพลังยุทธ์ของเขาไปไม่น้อย

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวย่อมไม่ปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ให้เสียเปล่า ขานรับทันที แล้วรีบยกแขนอันเรียวเล็กดุจรากบัวขึ้น ใช้เล็บอันแหลมคมของนิ้วๆ หนึ่ง กรีดลงบนผิวหนังอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง

ทันใด โลหิตเป็นเส้นๆ ก็ปรากฏขึ้นบนผิวขาวเนียน และก่อตัวเป็นค่ายกลโลหิตจิ๋วขนาดไม่กี่นิ้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวท่องคาถา ค่ายกลโลหิตบนแขนพลันมีแสงสว่างห้าสีไหลเวียนไม่หยุด คลับคล้ายมีกลิ่นหอมแปลกๆ โชยออกมาด้วย

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็แผดเสียงร้อง หลังจากค่ายกลโลหิตสั่นไหว กลับมียาวิเศษเป็นเม็ดๆ ลอยออกมา

สีแดงสดดุจโลหิต ขนาดเท่าเม็ดถั่ว

“ไป” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวตะโกนเสียงต่ำ!

พอยาวิเศษแปดเม็ดวาบ ก็กลายเป็นดวงแสงโลหิตแปดดวง พุ่งไปที่แรดน้ำเย็นแปดตัว

อสูรวิญญาณทั้งแปดส่งเสียงคำรามต่ำดังลั่น แล้วทยอยกันแหงนหน้าอ้าปาก กลืนแสงโลหิตแปดดวงเข้า

ไปในท้อง

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเห็นดังนี้ ก็หดแขนกลับ ค่ายกลโลหิตบนแขนหายวับไปกับตา ผิวหนังไม่มีบาดแผลใดๆ หลงเหลืออยู่ แต่ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งทำท่าร่ายมนตร์ พอพลิกนิ้วทั้งห้าขึ้น ของขลังรูปร่างแบบป้ายทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ นางจับขึ้น แกว่งไปที่อสูรวิญญาณทั้งแปดทันที

รัศมีแสงบนป้ายทองสว่างไสว อักขระยันต์สีโลหิตปรากฏออกท่อนแล้วท่อนเล่า พอหมุนไปรอบๆ สักพัก ก็มารวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลแสงโลหิตแปดอันซึ่งเหมือนกับบนแขนของนางเมื่อครู่ไม่มีผิด

หลังจากค่ายกลแสงโลหิตเหล่านี้กะพริบถี่ ก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และสุดท้าย นางก็จิ้มนิ้วเรียวยาวลงไป กลายเป็นเงาพร่ามัวเสมือนจริงแปดสาย ห่อหุ้มแรดน้ำเย็นทั้งแปดตัวไว้ พอวาบอีกก็หายเข้าไปในร่างของพวกมันอย่างไร้ร่องรอย

ถัดมา อสูรวิญญาณทั้งแปดก็เปล่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดสุดๆ ออกมา เขาเดี่ยวที่อยู่หน้าศีรษะกลายเป็นสีแดงสดราวกับโลหิตทันที เส้นเอ็นสีเขียวปูดขึ้นบนผิวหนัง พลันหายใจแรงสุดจะเปรียบ!

เสียงดัง ‘ปุๆ’!

บนหลังของแรดน้ำเย็นแต่ละตัวปริออกเป็นร่องยาวสองร่อง พอของที่อยู่ด้านในดิ้นกระทุ้งอยู่พักหนึ่ง ปีกค้างคาวสีแดงสดคู่หนึ่งก็ถือถือกำเนิดขึ้น

ซึ่งเมื่อกางปีกค้างคาวจนสุด จะยาวถึงสิบจั้ง!

แรดน้ำเย็นกระพือปีกแรงๆ แสงโลหิตสายแล้วสายเล่าพุ่งออกจากร่างของพวกมัน พอร่างสะเทือน การเคลื่อนไหวที่ช้าอยู่แต่เดิม กลับกลายเป็นคล่องแคล่วราวกับปลาว่ายอยู่ในน้ำ

แล้วแรดน้ำเย็นทั้งแปดก็กลายเป็นโลหิตธนูดอกแล้วดอกเล่า พุ่งไปข้างหน้า

เรือยักษ์ซึ่งแต่เดิมแล่นได้ช้าพอๆ กับเกวียนเทียมวัวคันเก่า ก็ฝ่าลมโต้คลื่นแล่นฉิวไปข้างหน้าดุจห้อตะบึง ภายใต้การลากจูงอย่างกระตือรือร้นเต็มสูบของอสูรวิญญาณทั้งแปดตัว

พวกสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกและกลุ่มคนที่กำลังกระตุ้นสมบัติวิเศษต้านทานฝนสายฟ้า พอเห็นดังนี้ ย่อมพากันยินดีปรีดาขึ้นมา

แต่หลังจากแสงจ้าในดวงตาของหุ่นเชิดศิลาเขียวตาเดียวสองตัวดับลง พวกมันก็หายวับไป

ขณะเดียวกัน โล่ผลึกใสขนาดใหญ่แผ่นนั้นที่แทบจะรับกระแสไฟฟ้าไว้กว่าครึ่ง หลังจากกะพริบถี่ๆ ไม่กี่ครั้ง ก็แตกสลาย หายไปในที่ว่างอย่างเงียบๆ

สายฟ้าที่เดิมทีถูกสกัดกั้นไว้ด้านนอก พลันผ่าอย่างรุนแรงลงมา!

ม่านแสงหลายชั้นบนเรือยักษ์สั่นสะเทือนไม่หยุด หลังจากเสียงดังกรอบแกรบ ม่านแสงสีขาวชั้นนอกสุดชั้นหนึ่งกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าต่อตา

อานุภาพของพลังแห่งสายฟ้าในตอนนี้ คล้ายรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ค่ายกลเวทมนตร์ที่วางไว้บนเรือยักษ์ล้วนไม่สามารถยืนหยัดได้อีก มีสิทธิ์ถูกทำลายด้วยการโจมตีในครั้งเดียว

ไม่เพียงเท่านี้ ท่ามกลางสายฟ้าอันคลุ้มคลั่ง ม่านแสงไม่กี่ชั้นที่เหลืออยู่ก็ทำท่าโยกเยกจวนจะหล่นลงอยู่รอมร่อ

คนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีวี่แววยินดีใดๆ อีก

หานลี่ที่กำลังกระตุ้นธงอาคมแนวตั้งกว่าร้อยอันบนเรือ มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ปากพลันส่งเสียงดังยาวคล้ายเสียงคำรามของมังกรออกมา ด้านหลังวาบแสงสีทอง เทวรูปสามเศียรหกกรปรากฏขึ้นทันที

ไอดำที่ทั้งใหญ่และหนากลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากเทวรูปขึ้นสู่ท้องฟ้า

ซึ่งก็คือวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หานลี่ทำการกระตุ้นให้พลังภายในแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังมารบริสุทธิ์ไหลต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย

พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ไอดำอันคุกรุ่นพลันพุ่งขึ้นสูงราวกับมังกรดำเขาเดียวกว่าสิบตัว แล้วไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตาข่ายยักษ์สีดำที่อยู่กลางอากาศผืนนั้น

ในส่วนที่ขาดไปของตาข่ายยักษ์ พอแสงสีดำวาบ ก็ชดเชยให้ใหม่จนสมบูรณ์ แถมยังขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเท่าตัว รองรับกระแสไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้ากว่าครึ่งกันจะๆ

คนอื่นกับเรือยักษ์ที่กำลังแบกรับพลังแห่งสายฟ้าพลันเบาแรงลงบ้าง บรรพชนตระกูลหล่งถึงกับตะโกนคำว่า “เยี่ยม” ออกมา และทำการกระตุ้นหุ่นเชิดศิลาเขียวสองตัว

ทันทีที่แสงสีเงินกะพริบบนผิวของร่างมนุษย์ศิลาสองตัว หมัดใหญ่ทั้งสี่ก็กำแน่น แล้วชกแรงๆ ขึ้นไปบนฟ้า

ลูกบอลแสงสีเขียวลูกแล้วลูกเล่า พุ่งขึ้นฟ้า โจมตีอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ สกัดกั้นพลังแห่งสายฟ้าได้ส่วนหนึ่ง

คนอื่นๆ เห็นดังนี้ ก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น ทยอยกันเค้นพลังภายใน ปลุกเสกสมบัติวิเศษให้สำแดงพลังทั้งหมดออกมา ท้องฟ้าส่งเสียงระเบิดดังกระหึ่มชั่วขณะ แต่ม่านแสงบนเรือยักษ์กลับค่อยๆ สงบลง

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ ชายหนุ่มเผ่าวิญญาณใบหน้าซีดขาวผู้นั้น แม้ดูเหมือนกำลังกระตุ้นมีดบินสีเงินสองด้ามกลางอากาศ ให้ต้านทานพลังแห่งสายฟ้าอยู่ แต่แขนทั้งท่อนที่อยู่ในแขนเสื้อ กลับมีอักขระยันต์สีทองทยอยกันสว่างขึ้นทีละตัวอย่างลับๆ จนแทบจะเต็มพื้นที่แขนทั้งท่อน เห็นแล้วพิลึกสุดขีดจริงๆ

ปูยักษ์สีทองขนาดเท่าภูเขาเลากาที่มีเมฆดำบนท้องฟ้าบดบังไว้ตัวนั้น บนกระดองแข็งที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ก็มีอักขระสีทองเป็นท่อนๆ ปรากฏขึ้นเช่นกัน เพียงแต่อักขระเหล่านี้ปรากฏบนกระดองเป็นพักๆ เห็นชัดว่าเลือนรางมาก

แต่ปูทองก็ยังคงอยู่นิ่งบนท้องฟ้าไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งพลังปราณอันน่ากลัวสายนั้นที่ปล่อยออกมา ก็ไม่มีท่าทีผิดปกติแม้แต่น้อย

…..

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ตอนที่เรือยักษ์ต้านทานกระแสไฟฟ้านับไม่ถ้วนได้อย่างแข็งขันและออกจากทะเลสายฟ้าได้ในที่สุดนั้น เรือยักษ์ทั้งลำก็ขาดรุ่งริ่งแล้ว

ไม่เพียงแต่ห้องโดยสารครึ่งหนึ่งถูกทำลายทั้งหมด แรดน้ำเย็นแปดตัวที่ลากเรืออยู่ด้านหน้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ตลอดทั้งร่างของพวกมันไหม้เกรียม ลมหายใจรวยริน ท่าทางเหมือนกำลังจะตาย

แต่ทุกคนล้วนทำเป็นมองไม่เห็น ด้วยอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการตื่นเต้นออกมาขณะสำรวจมองผืนทะเล

บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด!

ผืนทะเลแห่งนี้สงบนิ่งมาก น้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม ท้องฟ้าก็มีลักษณะใส ไม่มีเมฆสักก้อนในรัศมีหมื่นลี้ ไอวิญญาณบริสุทธิ์เป็นขุมๆ ที่ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อ โชยมาปะทะใบหน้าพร้อมกับลมทะเลอ่อนๆ

หานลี่และคนอื่นๆ ตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ แทบจะสงสัยว่า หรือพวกเขาได้กลับสู่แดนวิญญาณแล้ว!

แต่ที่สะดุดตายิ่งกว่าก็คือ ห่างจากเรือยักษ์ไม่เกินสิบลี้ มีเกาะเขียวขจีขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนผืนทะเล

เมื่อมองไปยังทิศที่ลมทะเลพัดมา ไอวิญญาณที่บริสุทธิ์กว่าของสถานที่แห่งชีพจรวิญญาณชั้นยอดในแดน วิญญาณ ก็มาจากเกาะแห่งนี้

“ไม่ผิดแน่ นี่ก็คือเกาะที่เรากำลังตามหา และก็มีแต่สถานที่แห่งความบริสุทธิ์เช่นนี้ ถึงมีไอวิญญาณระดับนี้ได้ ถึงสามารถมีสระชำระวิญญาณกับดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์ไง!”

บรรพชนตระกูลหล่งหน้าแดงผิดปกติขณะจ้องมองเกาะขนาดใหญ่ พลางพูดพึมพำเล็กน้อย ราวกับถูกธาตุไฟเข้าแทรก