บทที่ 941 เสี่ยวอวิ๋นแยกจาก

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 941 เสี่ยวอวิ๋นแยกจาก

พวกอวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้น และกล่าวว่า“ท่านแม่ทัพฉีอายุมากแล้ว ไม่เหมาะที่จะไปสู้รบ อีกอย่างในเมืองหลวงยังต้องการคนอารักขาปกป้องไว้ แม้ว่าท่านอ๋องหย่งจวิ่นจะสามารถออกศึกได้ แต่เพื่อป้องกันแคว้นเฟิ่งเข้ามา ทลายเมืองต้าเหลียงของเรานั้นจะประมาทเลินเล่อไม่ได้เลย เป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าจะเป็นผู้นำกองกำลังทหารไปออกศึกเอง”

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้บ่นพึมพำ แล้วกอบกุมมือของอวิ๋นหลัวฉวน กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมขึ้นว่า“ไร้สาระ เจ้าคือฮองเฮา เจ้าจะไปออกศึกได้อย่างไรกัน?”

“เหตุใดถึงจะไม่ได้เพคะ หรือว่าฝ่าบาทจะไปหรือเพคะ?”อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

“ข้าจะเป็นผู้ไปเอง เจ้าไม่ต้องไป”

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้สีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก แม้ว่าปกติจะรักทะนุถนอมอวิ๋นหลัวฉวนมา เวลาคับขันเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถปล่อยนางโดยไม่สนใจได้หรอก

อวิ๋นหลัวฉวนไม่ยอมลดละ กล่าวขึ้นว่า“ฝ่าบาท ตั้งแต่อภิเษกสมรสกับฝ่าบาทมา แม้จะผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย แต่ช่วงสิบปีที่ผ่านมาความรักทะนุถนอมของฝ่าบาทที่มีหม่อมฉันนั้นทันมากมาย หม่อมฉันทราบซึ้งใจอย่างมาก วันนี้สิ่งที่สามารถใช้หม่อมฉันได้นั้นมาถึงแล้ว หม่อมฉันจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อฝ่าบาทบ้าง หม่อมฉันรู้ดีว่าฝ่าบาทมีความสามารถของฝ่าบาท ในการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าฝ่าบาทจะออกศึกพิชิตเอง พระองค์จะเสด็จกลับมาอย่างมีชัยเพคะ

แต่เซวียนเหอกับหม่อมฉันมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน หม่อมฉันอยากให้เขารู้ ฝ่าบาทเป็นของหม่อมฉัน ผู้ใดคิดจะทำร้ายฝ่าบาท หม้อมฉันจะทำให้เขาไร้ที่ฝังศพ”

“ข้าไม่สนใจ แล้วก็ไม่ต้องการไร้ที่ฝังศพอะไรพวกนั้นด้วย ล้วนผ่านไปแล้ว ข้ารู้ เพียงแค่ในใจของฮองเฮามีข้าผู้เดียวก็พอแล้ว การสู้รบให้ผู้อื่นไปเถิด”

“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลใจ ไปครั้งนี้ หม่อมฉันจะพาองค์หญิงใหญ่ อีกอย่างจะพาเหล่าซื่อจื่อไปด้วย มีพวกเขาอยู่ ฝ่าบาทวางใจก็เพียงพอแล้วเพคะ”

“ฉวนเอ๋อร์!”องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้รู้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนดื้อรั้น แต่นางเป็นเช่นนี้ เขาเป็นห่วงจะแย่แล้ว

“ฝ่าบาท หม่อมฉันยินดีที่จะเป็นผู้นำออกศึกเอง ขอฝ่าบาทได้โปรดรับคำกราบทูลด้วยเพคะ”

อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นยืนแล้วออกจากตำแหน่งกษัตริย์ เพื่อใาคุกเข่าคำนับองค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้อยู่ที่พื้น

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้จะตัดใจลงได้อย่างไร เขารีบเข้าประคองให้อวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้น แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่ยินยอม

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ เลยนั่งอยู่ตำแหน่งจักรพรรดิไม่กล่าวตรัสสิ่งใดออกมา

คนถัดไปที่เดินมาคือหนานกงอวี้เหริน คุกเข่าลงตามแล้วกล่าวว่า“ลูกยินยอมที่จะออกศึกกับเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ลูกด้วยเช่นกันเพคะ”องค์หญิงใหญ่ก็คุกเข่าลงเช่นกัน

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มองคู่ลูกสาวลูกชาย ในใจรู้สึกหยามเหยียด เมื่อนึกถึงเหล่าขุนนางเสนาบดีทั้งราชสำนักที่เงียบสงัด

“ฝ่าบาท หม่อมฉันยอมคุกเข่าไม่ลุกเพคะ”

อวิ๋นหลัวฉวนมององค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ตรัสด้วยความจนปัญญาว่า“เช่นนั้นผู้ใดจะไปกับเจ้า คนโตหรือ?”

“จื่อฮวน จื่อฮว่าจะต้องอยู่ จื่อเหรินกับเสี่ยวเฉียวด้วย ส่วนคนอื่นต้องตามไป เมืองหลวงไม่มีคนไม่ได้ จื่อฮวนจื่อฮว่าอยู่ หม่อมฉันก็วางใจ ส่วนจื่อเหรินเป็นคนที่นิสัยเกียจคร้าน ไม่อยากเอาไปด้วยเพคะ”

“ได้ เช่นนั้นอามู่ล่ะ?”

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้นึกถึงลูกเขยที่อยู่ในพระราชวังทั้งวัน วันนี้สามารถออกไปด้านนอกพระราชวังแล้ว

“อามู่ไปด้วยเพคะ เขาจะดูแลองค์หญิง”

“ได้ เช่นนั้นก็ระดมกำลังพล ข้า….”

“ฝ่าบาท เมืองหลวงไม่สามารถที่จะไม่มีคนอยู่ได้เพคะ ฝ่าบาทไม่สามารถร่วมเดินทางออกศึกกับหม่อมฉันได้ หากไม่อย่างนั้น หม่อมฉันก็ไปสูญเปล่า หรือว่าฝ่าบาทไม่เชื่อว่าหม่อมฉันบริสุทธิ์ เมื่อสมัยนั้นจงชินอ๋องจะแย่งหม่อมฉันไป หรือไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจดจำไม่ลืมเลือนเพคะ?”อวิ๋นหลัวฉวนไม่อยากให้องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ตาม เลยพูดเช่นนี้

องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้มีสีหน้าอึดอัด ตัวเป็นองค์จักรพรรดิแล้วต้องให้สตรีไปออกศึก

แล้วยังเป็นสตรีที่เขารักด้วย

“ตอนนี้ข้ารู้สึกลำบากใจ !”องค์จักรพรรดิเหยี่ยนตี้ลุกขึ้น อุ้มอวิ๋นหลัวฉวนแล้วเดินออกไป

เหล่าเสนาบดีมองไป รู้กันอยู่แล้วว่าฝ่าบาทใส่ใจฮองเฮา แต่เหล่าเสนาบดีก็รู้ เรื่องที่ฮองเฮาทำไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้

เฟิ่งหลิงอวิ๋นได้รับจดหมาย อวิ๋นหลัวฉวนได้เป็นผู้นำออกศึก กองกำลังทหารพบเจอกันที่ทางแยกแคว้นหลิงอวิ๋นกับเมืองต้าเหลียง พอการต่อสู้เริ่มขึ้นได้ทำร้ายคนนับไม่ถ้วน เล่ากันว่าทั้งสองฝ่ายล้มตายกันอย่างหนัก

อีกด้านหนานกงเย่ก็สู้กันกับเมืองอู๋โยว

เฟิ่งหลิงอวิ๋นนั่งเหม่อลอยอยู่อีกด้าน หนานกงอวิ๋นเยียนกล่าวด้วยความแปลกใจว่า“ท่านแม่ เซวียนเหอผู้นั้นไม่ใช่สัญญากับพวกเราแล้วว่าไม่ต่อสู้แล้วหรือ?”

“เขาบอกว่าไม่สู้แล้ว แต่เขาเป็นจักรพรรดิของแผ่นดิน และเขามีอาณาประชาราษฎร์ของเขาอยู่ในใจ เขาไม่สามารถอยู่เพื่อตัวเอง ก้มศีรษะตอบสัญญาก็เป็นแค่การไม่อยากฉีกหน้า

เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา เวลานั้นคือแม่วางแผนทำกับเขาก่อน

เมื่อหลายปีก่อนเขาเป็นสหายที่ดีของแม่ วันนี้เขาก็ไม่อยากเปิดโปงแม่ เจตนาเดิมของแม่คืออยากให้ท่านพ่อของเจ้าต่อสู้ปีกใต้ ต่อสู้กับอู๋โยว ต่อสู้กับอู๋โยวสุดท้ายก็ต่อสู้เขา แม่ค่อยยอมจำนน ในใจของเขารู้ชัดเจนว่าแม่คิดคำนวนทุกอย่างใ้ห้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้เปิดโปง

แต่เขาก็ไม่สามารถรอความตายอยู่อย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นเลยเลือกใช้วิธีการของเขา

เขาจะสู้ตายและบังคับแม่ให้เข้าร่วมสงครามนี้ ถ้าหากแม่ต้องการต่อสู้ โอกาสที่จะชนะของพ่อเจ้านั้นจะหมดไป บางทีไม่ต่อสู้ก็ได้ ต่างคนต่างเป็นอิสระ”

“เช่นนั้นพูดเช่นนี้ เขาก็นับว่าเป็นคนหนึ่งที่ไม่เลวเลย?”

“ก็ดี แต่…..ครั้งนี้เกรงว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีแล้ว”เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวด้วยความกังวลใจ

“เพราะเหตุใดล่ะ?”เสี่ยวอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เข้าใจ

เฟิ่งหลิงอวิ๋นกล่าวอธิบายว่า“หนึ่งเขาคิดจะตายในสนามรบ ไม่ได้คิดจะมีชีวิตรอด สองเรื่องการออกรบครั้งนี้คือเสด็จป้าของเจ้า เสด็จป้าของเจ้าไม่ใช่คนที่ธรรมดา ตั้งแต่เกิดนางก็ต่อสู้เป็น อีกทั้งนางผู้นี้ เพียงแต่การออกศึก ไม่ว่าคนที่มาคือผู้ใด ต่อให้เป็นแม่ นางก็ไม่ได้มีความเมตตาด้วย

แต่เซวียนเหอมีความรู้สึกมากจนเกินไป แม้มองแล้วเขาจะดูเหี้ยมโหด แต่ความเป็นจริงแล้ว เพียงแค่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเท่านั้นเอง

ชาตินี้ที่เขายอมรับมีเพียงสหายสองคน หนึ่งคือแม่ สองคือเสด็จป้า เจ้าว่าเขาจะชนะไหม?”

“อ้อ!”เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสงสารมาก!

“อีกอย่าง ครั้งนี้เสด็จป้าของเจ้าพาท่านพี่หญิงมาด้วย มกุฎราชกุมารอวี้เหริน ยังมีพี่ใหญ่พี่รองพี่สาม พี่อามู่ เจ้าว่ามีโอกาสที่จะชนะหรือไม่?”

“เช่นนั้นเสด็จป้าก็ไม่ใช่เซียนอาวุโสเก่าแก่!”

“ไม่ใช่เซียนอาวุโสเก่าแก่ ชนะเหมือนเซียนอาวุโสเก่าแก่เลย ฮองเฮาออกศึกด้วยตนเอง เดิมก็เพิ่มขวัญกำลังใจแล้ว บวกกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงล้วนออกมา จะต้องชนะอย่างแน่นอน อีกอย่างท่านพี่ของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ?”

“ท่านแม่ ข้าอยากไปดู”เสี่ยวอวิ๋นลุกขึ้น สีหน้าจนปัญญา คนที่ดีอยู่ ไม่ไปดูว่าตายอย่างไร น่าเสียดาย!

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเสี่ยวอวิ๋น กล่าวว่า“หากเจ้าต้องการไปดู กลับไปกลับมามันเป็นเวลานานเกินไปแล้ว แต่หากเจ้าไม่ไป พอเปิดการสู้รบ คนของแคว้นเฟิ่งก็จะไม่เอื้อผลต่อเจ้าด้วย”

เวลานี้เฟิ่งหลิงอวิ๋นค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เฟยอิงกล่าวว่า“กระหม่อมอยากพาอวิ๋นเอ๋อร์ไป!”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเฟยอิง แล้วกล่าวว่า“เจ้ากับข้าคิดเหมือนกันแล้ว เจ้าควรจะไปจากที่นี่”

เฟยอิงพยักหน้า มองเสี่ยวอวิ๋นแล้วกล่าวว่า“พวกเราไปกัน!”

“เร็วขนาดนั้นเลย?”

เสี่ยวอวิ๋นค่อนข้างแปลกใจ นี่มันเร็วเกินไปแล้วไหม!

เฟิ่งหลิงอวิ๋นมองเฟยอิง จากนั้นกล่าวว่า“ลำบากพี่ใหญ่แล้ว ระหว่างทางมานี้ สิบปีได้ น้ำใจของพี่ใหญ่ หลิงอวิ๋นไม่มีทางลืม แม้ว่าแคว้นเฟิงเป็นจักรพรรดิณี แต่ทว่าสตรีกลับเหี้ยมโหด สิบปีมานี้ได้ฝึกคนบางส่วน ท่านพี่ลำบากแล้ว!”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นหันไปก้มศีรษะให้เฟยอิง เฟยอิงดึงเสี่ยวอวิ๋นไปแล้วแบกไว้บนตัว จากนั้นหยิบชุดคลุมพันบนตัว กล่าวว่า“พูดกับท่านแม่เจ้าสักประโยคหน่อย”

“ท่านแม่ พวกเราไว้เจอกันใหม่!”

เสี่ยวอวิ๋นตอบสนองไวมาก นางพูดจบก็มองเฟิ่งหลิงอวิ๋นที่ค่อนข้างลำบากใจ เฟยอิงไม่รีรออะไร เขาหมุนตัวเดินไปเลย เงาที่อยู่ด้านหลังหายไปอย่างรวดเร็ว

เฟยอิงเพิ่งจะไป ด้านหลังของฉีเฟยอวิ๋นก็มีคนเร่งรีบเข้ามา นางกำนัลคุกเข่าอยู่ที่พื้น กล่าวว่า“องค์รัชทายาท เหล่าเสนาบดีกำลังมาเพคะ เสนาบดีเอ๋ากำลังรั้งพวกเขาไว้อยู่ที่หน้าพระที่นั่ง ขอองค์รัชทายาทได้โปรดเร่งตัดสินใจด้วย ใช่หรือไม่ว่าจะเอาอวิ๋นจวิ้นจู่ส่งมอบออกไป”

เฟิ่งหลิงอวิ๋นเหลือบหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา แล้วสาวเท้าเดินออกไป