ตอนที่ 515 หินอัปลักษณ์

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 515 หินอัปลักษณ์ โดย Ink Stone_Fantasy

 “เอ๋? การขาดแคลนวัตถุดิบ น่าจะกระตุ้นให้ตลาดสินค้าแปรรูปครึกครื้นไม่ใช่หรือครับ? พวกคุณไม่ต้องเติมของในคลังเหรอ?” หลังจากได้ยินหลิ่วซีกั๋วพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

หลิ่วซีกั๋วแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง กล่าวว่า “ก็ด้วยเหตุผลนี้แหละครับ ทำให้ตลาดหยกพม่าช่วงนี้ไม่ค่อยมั่นคง ผู้คนมากมายตอนนี้ล้วนเอาแต่สังเกตการณ์…”

ที่แท้ เมื่อมีสถานการณ์ไม่แน่นอนในพม่า ราคาของวัตถุดิบหยกพม่าก็พุ่งขึ้นสูง พอต้นทุนสูง ก็ส่งผลให้ราคาซื้อขายหยกพม่าแปรรูปในตลาดขยับขึ้นตามด้วยสาเหตุนี้ ของที่เดิมเคยราคาไม่กี่พันหยวน ตอนนี้ขายได้นับหลายหมื่น อัตราที่เพิ่มขึ้นสูงจนทำให้ผู้คนตกตะลึงจนพูดไม่ออก

งานประชุมครั้งนี้ในปี 1998 ตลาดหยกพม่ายังไม่สุกงอมมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกค้าระดับกลางค่อนไปทางต่ำ ร้านที่รับซื้อจำนวนมากยังไม่ลงตลาด ด้วยสาเหตุนี้ราคาขายหยกพม่าที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ผู้คนมากมายได้แต่มองแล้วเดินจากไป

แม้ผู้คนมากมายจะเข้าใจว่านี่คือช่วงเวลาปรับเปลี่ยน แต่เมื่อไม่มีลูกค้าระดับสูงเข้ามาร่วมด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ราคาสูงก็จะขายไม่ออก และก่อให้เกิดภาวะเงียบเหงาในตลาดหยกพม่า ส่งผลกระทบให้การประมูลหยกพม่าสาธารณะครั้งนี้แทบร้างผู้คน

หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลิ่วซีกั๋วแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะ “ซีกั๋ว ถ้าหากเป็นไปได้ คุณเอาเงินทุนทั้งหมดลงในตลาดวัตถุดิบเถอะ รับรองว่าไม่สูญแน่!”

 “ท่านอา คุณตรวจดูตลาดนี้ดีแล้วหรือ?” หลิ่วซีกั๋วมองเยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ นึกสงสัยว่าปรมาจารย์น้อยผู้นี้ดูเหมือนจะยังไม่เคยค้าขายหยกมาก่อนนี่?

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวว่า “หยกเหอเถียนจากซินเจียงกำลังจะถูกเลือกออกมาแล้ว ราคาสูงกว่าสิบปีก่อนถึงสิบกว่าเท่า คุณถือโอกาสนี้เข้าร่วมสักหน่อย คงไม่น่าเสียหายหรอกมั้ง?”

เยี่ยเทียนไม่ได้รู้เรื่องการค้าเครื่องประดับอัญมณี แต่ว่าเขาเข้าใจอยู่หลักการหนึ่ง หยกพม่าและทองคำอีกรวมทั้งหินหยกต่างก็เหมือนกัน พวกมันล้วนเป็นทรัพยากรประเภทที่ไม่อาจเกิดขึ้นใหม่ เมื่อถูกขุดออกมาแล้ว สินค้าที่ถูกเก็บไว้ในมือ จะสามารถกักตุนเพื่อเพิ่มมูลค่าภายหลังได้

“ท่านอาพูดถูก ผมจะติดต่อพ่อสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน”

หลักการที่เยี่ยเทียนพูดไปไม่ได้ลึกซึ้ง ผู้คนมากมายล้วนเข้าใจได้ แต่ว่าบนโลกนี้มีคนเข้าใจมาก ทว่าคนที่สามารถหาเงินนั้น กลับมีเพียงคนกลุ่มเดียวอันน้อยนิด คนพวกนี้ไม่เพียงสายตาเฉียบคม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องกล้าลงมือ และนี่ก็คือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของคนที่ประสบความสำเร็จ

หลิ่วซีกั๋วรู้อย่างแน่นอนว่าพ่อตาของเขาให้ความเคารพเยี่ยเทียนมาก มักชื่นชมไม่ขาดปาก ดังนั้นคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนเขาจึงไม่กล้ามองข้าม หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรหาจั่วเจียจวิ้น

“หึๆ ศิษย์พี่เองยังให้คำแนะนำเรื่องนี้นายไม่ได้หรอก”

เยี่ยเทียนยิ้มแย้มไม่พูดอะไรอีก จั่วเจียจวิ้นแม้จะเก่งกาจด้านทำนายทายทัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง จึงมองเห็นได้ไม่หมด อย่างมากก็แค่สามารถบอกฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์เท่านั้น

อีกทั้งการเสี่ยงทายเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง เป็นการทำนายที่ยากที่สุด ไม่อย่างนั้นหมอดูฮวงจุ้ยทั้งหลายจะยังใช้การทำนายดวงชะตาให้ผู้คนทั่วสารทิศหรือ ทั้งที่ทำนายจากตลาดหุ้นก็กอบโกยได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว?

เห็นหลิ่วซีกั๋วเดินไปอีกทางเพื่อคุยโทรศัพท์ เยี่ยเทียนก็ก้าวอย่างมั่นใจทางเขตพนันผ่าหินดิบ ความไม่รู้ในตลาดหยกพม่านับเป็นโอกาสสำหรับเยี่ยเทียน นั่นหมายความว่าเยี่ยเทียนสามารถเอ่ยราคาต่ำซื้อวัตถุดิบที่เขาต้องการได้

 “หินดิบมากมายอย่างนี้ ถ้าหากข้างในเป็นหยกพม่าล้วน ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใช้หินหยกวางค่ายอาคมแล้ว”

เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันเต็มไปด้วยหยกพม่าดิบ เยี่ยเทียนก็อดจินตนาการขึ้นมาไม่หยุด คนอย่างเขาจะขาด “ทรัพย์สิน คู่ครอง หลักการ ที่ดิน” อย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นต้องมีเงินทุนมหาศาลเกื้อหนุน

แม้ว่าเยี่ยเทียนเพิ่งจะได้ลาภก้อนใหญ่ แต่ว่าทองคำเหล่านั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่แอบซ่อนเอาไว้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายหากจะเอาทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง ไม่แน่ถึงเวลาอาจต้องนำเงินทุนส่วนใหญ่ไปเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน ไม่อย่างนั้นจิตใจของเขาคงไม่เป็นสุข อันจะเป็นผลร้ายต่อการฝึกฝนวรยุทธของเขาเป็นอย่างมาก

“หืม? พนันผ่าหินครั้งนี้ มีหินดิบไม่น้อยนี่นา?”

หลังจากเข้าไปยังเขตพนันผ่าหินแล้ว เยี่ยเทียนยังอดตกใจไม่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่ในสถานประชุมนี้ ที่แท้ก็มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้เอง และกำลังวิจารณ์ภาพลักษณ์ของหินดิบพวกนั้นที่แง้มหรือแกะออกมาบางส่วน

เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาละอ่อนอย่างเยี่ยเทียนเดินเข้ามา พ่อค้าหินดิบเหล่านั้นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ต่างทำอย่างกับเป็นน้องหรือลูกชายของใครสักคนที่พามาเปิดหูเปิดตา

“คิดว่าหยกพม่าภายในหินพวกนี้ ต้องมีมากกว่าที่เกาะฮ่องกงครั้งนั้นหลายเท่าสินะ?”

เมื่อมองไปยังหินดิบสำหรับผ่าพนันเหล่านี้ที่ถูกปิดมิดชิดหรือเผยเลือนราง หรือไม่ก็ปิดบังเพียงเนื้อหยกพม่าบางส่วน ในใจเยี่ยเทียนจึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เขาสามารถสัมผัสถึงการขับเคลื่อนพลังชี่อันเป็นเอกลักษณ์ของพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน และยังเป็นอาวุธทรงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน

เนื่องด้วยคราวนี้ต้องการหินหยกในปริมาณมาก เยี่ยเทียนจึงเดินตรงไปยังหินทรงวงรีชิ้นหนึ่ง ร่างหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าหินดิบขนาดใหญ่น้ำหนักประมาณสามสี่ร้อยชั่ง พื้นผิวหินดิบชิ้นนี้เผยให้เห็นสีเขียวเลือนราว ตรงกลางชิ้นมีรอยผ่าออกขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ

ด้านหน้าหินวัตถุดิบในเวลานี้ มีชายวัยกลางคนสองคนนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น กำลังใช้ไฟฉายแรงสูงส่องลงบนผิวหินไม่เลิก ดวงตาเบิกกว้าง ราวกับจะมองทะลุพื้นผิวหินให้เห็นเนื้อใน

เยี่ยเทียนเองก็ไม่รีบร้อน ยืนรอสองคนตรวจดูหินดิบอยู่ด้านข้างอย่างสงบ หลังจากห้าหกนาทีผ่านไป คนหนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เหล่าอู๋ คุณเห็นว่ายังไง? รอยบากนี่เผยให้เห็นเนื้อจางๆ แล้ว ข้างในต้องมีหยกพม่าอยู่แน่นอน แต่คุณภาพและปริมาณนั้นยากจะตัดสินเหลือเกิน”

ชายวัยกลางคนผู้ถูกเรียกว่าเหล่าอู๋คนนั้นพยักหน้ากล่าว “เนื้อหมอกสิบส่วน หยกเก้าส่วน เถ้าแก่ครับ ผมตรวจชิ้นนี้เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองแล้ว ใบหน้าเยี่ยเทียนก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ คำกล่าวที่ว่า “เทพเซียนยังยากตัดสินหยกหนึ่งชิ้น” นี้เป็นจริงดังคาด หินดิบชิ้นนี้ที่ทั้งสองคนตรวจดู ความจริงแล้วข้างในมีเพียงหยกพม่ากระจัดกระจายบางส่วน ระดับความบริสุทธิ์พลังวิญญาณของมันจึงไม่สูงมากนัก

“เจ้าหนู ทำไมหรือ? มีอะไรไม่เห็นด้วยหรือไง?”

ตอนที่ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มไม่คล้อยตามนั้น เป็นจังหวะที่เหล่าอู๋เงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อในวงการพนันหิน จึงเอ่ยถามขึ้นมาในทันที

เยี่ยเทียนรู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองทำให้คนอื่นเข้าใจผิด จึงรีบพูดว่า “เปล่าครับ ผมไม่รู้เรื่องการพนันหิน เพียงแค่ได้ยินคุณอาพูดกันน่าสนใจก็เลยยิ้มออกมา ไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ครับ”

แม้ว่าหลายปีมานี้เยี่ยเทียนจะคบหากับชนชั้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าวิชาการตีสีหน้าของเขาเรียนรู้มาจากสมัยติดตามหลี่ซั่นหยวนไปขึ้นเหนือล่องใต้ เวลาขอโทษจึงแสดงออกได้อย่างจริงใจเป็นพิเศษ จนสีหน้าของเหล่าอู๋อ่อนโยนขึ้นโดยฉับพลัน

 “หึๆ เจ้าหนุ่ม มากับใครหรือ?”

ภาษิตว่าเงื้อมือแต่ไม่ตบใบหน้ายิ้ม เยี่ยเทียนขอโทษตามมารยาทแล้ว เหล่าอู๋จึงไม่ถือสาเช่นกัน ความถ่อมตนของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก

เยี่ยเทียนยิ้ม ชี้มือไปยังหลิ่วซีกั๋วที่อยู่ห่างออกไป กล่าวว่า “ผมมากับพ่อค้าอัญมณีตระกูลจั่วจากเกาะฮ่องกงครับ”

“อ้อ เหล่าหลิ่วนี่เอง งั้นก็ไม่ใช่คนนอกน่ะสิ ฉันเห็นเธอไม่ค่อยรู้เรื่องหยกพม่า จะตามมาฟังจากฉันดูไหมล่ะ?”

เหล่าอู๋มีนิสัยเป็นครูชอบสอนคน จึงหันหน้าไปยังชายวัยกลางคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขา กล่าวว่า “ประธานเจิ้งครับ เป็นคนของทางปรมาจารย์จั่ว ให้ตามพวกเราไปไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หากเป็นการวิจารณ์หินดิบท่ามกลางสาธารณชนในห้องโถงใหญ่ คงไม่กลัวคนแอบได้ยิน แต่ว่าเวลานี้เป็นบริษัทค้าอัญมณีมาเลือกซื้อหินวัตถุดิบแบบส่วนตัว การที่จะให้คนนอกเข้าใกล้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม อย่างไรเสียคนวงการเดียวกันก็คือคู่แข่ง

“คนของปรมาจารย์จั่วหรือ?”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นพิจารณาเยี่ยเทียนอย่างละเอียด สีหน้าเผยแววเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ยิ้มตอบ “สวัสดีครับ ผมชื่อเจิ้งต้าจวิน รับผิดชอบการเลือกซื้อวัตถุดิบอัญมณีของตระกูลเจิ้งบนเกาะฮ่องกง หากว่าน้องชายไม่มีธุระ ก็สามารถติดตามอาจารย์อู๋เพื่อฟังเขาอธิบายเรื่องหยกพม่าก็ไม่เลวเหมือนกัน”

เทียบกับบริษัทอัญมณีของจั่วเจียจวิ้นแล้ว ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีนับว่าเป็นบริษัทชั้นนำบนเกาะฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย การกระทำของพวกเขาล้วนเป็นแนวทางของธุรกิจค้าอัญมณีทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มาตลอด ผู้มีความรับผิดชอบซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทค้าอัญมณีตระกูลเจิ้งเหล่านี้ จึงมีสถานะเหนือคนทั่วไปในวงการ

แต่ว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ บริษัทค้าอัญมณีตระกูลจั่วแห่งเกาะฮ่องกง กลับออกเครื่องประดับหยกจักรพรรดิชั้นเลิศหลายรุ่นอย่างกะทันหัน ส่งผลให้สถานะบริษัทค้าขายเครื่องประดับหยกพม่าอันมั่นคงของพวกเขาในวงการเกิดสั่นคลอนอย่างใหญ่หลวง

เจิ้งต้าจวินเองก็เคยได้ยินเรื่องที่มาของหยกจักรพรรดิเหล่านั้น รู้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้มาจากการพนันหิน ในใจจึงเกิดความสงสัยและประหลาดใจ จึงไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นบริษัทยิ่งใหญ่ต่อเยี่ยเทียน

 เหล่าอู๋เองก็เคยพบจั่วเจียจวิ้นครั้งหนึ่ง จึงเสนอการเชิญชวนเยี่ยเทียนด้วยความอาวุโสของตน แต่ว่าความกระตือรือร้นของเจิ้งต้าจวิน ทำให้ปรมาจารย์อู๋จ้องมองเยี่ยเทียนอยู่หลายรอบ เพราะเขารู้ว่าปกติแล้วประธานเจิ้งเป็นคนถือตัวสูงส่งมาก

 “ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ผมมาเพื่อหาความตื่นตาตื่นใจเท่านั้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการพนันหินเลย เชิญท่านทั้งสองทำธุระต่อเถอะครับ”

เยี่ยเทียนยิ้มแย้มส่ายหน้า ปฏิเสธเจตนาดีของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุภาพ บังเอิญเดินผ่านหินดิบขนาดไม่ต่างจากชิ้นก่อนหน้านั้นเข้าพอดี จึงหยุดเท้ากล่าวว่า “หินดิบชิ้นนี้น่าเกลียดจัง ขอผมดูก่อนนะ เชิญท่านทั้งสองครับ!”

หินดิบหยกพม่าชิ้นนั้นที่ปรากฎตรงหน้าเยี่ยเทียน รูปร่างสีสันออกแดงทึบ ส่วนฐานคลับคล้ายหินโม่ ด้านบนของมันกลับเป็นชั้นซ้อนทับกันสามชั้น เมื่อมองแวบแรกช่างราวกับก้อนอึที่ถูกขยายใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่เยี่ยเทียนบอกว่ารูปร่างของมันอัปลักษณ์

ด้านข้างของหินดิบก้อนนี้ ถูกผ่าเรียบเป็นแนวตั้ง จึงทำให้รูปร่างของมันดูไม่เหมือนอะไรสักอย่างเข้าไปใหญ่

 “เจ้าหนู วัตถุดิบชิ้นนี้เป็นของไร้ค่า เจ้าของเหมืองใจดำพวกนั้นวางไว้ตรงนี้เพื่อหลอกคน ไม่ต้องไปเสียเวลาครุ่นคิดกับมันหรอก” เห็นเยี่ยเทียนหยุดอยู่ข้างหินดิบก้อนนั้น เหล่าอู๋จึงเตือนขึ้นด้วยความหวังดี

ในฐานะปรมาจารย์พนันหินผู้มีประสบการณ์มาเนิ่นนาน เป็นธรรมดาที่เหล่าอู๋จะไม่วิจารณ์จากความชอบหรือรูปร่างของหินดิบ เพราะกุญแจสำคัญคือด้านที่ผ่าหินดิบก้อนนี้เผยออกมาน้อยเกินไป อย่าว่าแต่เนื้อขุ่นมัว กระทั่งผลึกควอตซ์พื้นฐานยังไม่ปรากฎให้เห็น จึงไม่มีเงื่อนไขที่จะกลายเป็นหยกพม่าอย่างสิ้นเชิง

 “หึๆ ผมเองก็ดูไปเรื่อยๆ แหละครับ”

เดิมทีเยี่ยเทียนไม่ได้นึกสนใจหินดิบก้อนนี้เท่าไหร่ เขาเพียงหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากสองคนนี้เท่านั้น แต่เมื่อเห็นสองคนนั้นเองก็หยุดฝีเท้า เยี่ยเทียนจึงปลดปล่อยการขับเคลื่อนพลังชี่ออกมา เพื่อสัมผัสปฏิกิริยาภายในด้านที่ถูกตัดของหินดิบ

…………