ตอนที่ 711 ความกังวลของผู้นำเกาะ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในบริเวณลานแห่งนี้ประกอบไปด้วยเรือนสามหลังด้วยกันโดยเรือนใหญ่ที่สุดตรงกลางเป็นเรือนรับรองที่ผู้นำเกาะใช้ต้อนรับแขกตามปกติ ส่วนด้านซ้ายและด้านขวาคือเรือนนอนและโรงครัวซึ่งดูเรียบง่ายทว่าสะดวกสบายและมีอุปกรณ์เครื่องใช้ครบครัน

ทันทีที่เดินมาถึงทางเข้า ประตูเรือนตรงกลางก็เปิดออกก่อนที่บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งจะเดินออกมาจากข้างใน

บุรุษผู้นี้ดูมีอายุมากกว่าสี่สิบปีและดูเรียบง่ายธรรมดา ทว่าเขาก็มีกลิ่นอายบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์และยากที่ผู้ใดจะมองข้ามได้ มันมิใช่กลิ่นอายของผู้ที่มีพลังสูงส่งหากแต่เป็นกลิ่นอายของยอดฝีมือที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายและเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของชีวิตจนทุกคนที่ได้พบเขาอดไม่ได้ที่จะเคารพและเชื่อมั่นไว้วางใจ

“ท่านลุงผู้นำเกาะ~”

เมื่อสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของผู้นำเกาะไร้กังวล ใบหน้าของเฟยเฟยก็คลี่ยิ้มเริงร่าแสดงให้เห็นว่านางและผู้นำเกาะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและสนิทสนมกันมาก

“หนูน้อยเฟยเฟย เข้ามาก่อนเถอะ”

อู๋ฉง—ผู้นำเกาะไร้กังวลเดินเข้ามายิ้มทักทายให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพลางผายมือเชิญทุกคนเข้าไปข้างใน

“คงต้องขอรบกวนท่านผู้นำเกาะสักหน่อย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ผู้นำเกาะไร้กังวลผู้นี้ดูจะมิใช่บุรุษธรรมดาทั่วไป สีหน้าท่าทางของเขาดูราวกับทราบมาก่อนล่วงหน้าว่าพวกนางจะมาที่นี่

“ทุกคนแยกย้ายกันก่อนเถอะ สหายน้อยทั้งสองจะอยู่บนเกาะแห่งนี้ไปอีกระยะหนึ่ง หากพวกเจ้ามีคำถามสงสัยใคร่รู้สิ่งใดก็รอถามในภายหลังก็แล้วกัน”

อู๋ฉงหันไปกล่าวกับกลุ่มผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเพื่อให้พวกเขาแยกย้ายกันออกไป และก่อนเดินจากไป พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างเป็นมิตรและแสดงถึงความจริงใจ

หลังจากเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ น้ำชาร้อน ๆ หอมกรุ่นก็ได้ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้วซึ่งยิ่งบ่งชี้ว่าอู๋ฉงทราบเกี่ยวกับแขกผู้มาเยือนทั้งสองเป็นการล่วงหน้า

“ท่านลุงผู้นำเกาะ พี่สาวและพี่ชายมาจากโลกภายนอกและเข้ามาในเกาะของพวกเราเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง ข้าจึงพาทั้งสองมาพบท่านเจ้าค่ะ”

เฟยเฟยเกาะแขนอู๋ฉงอย่างสนิทสนมและใกล้ชิด ทั้งสองในตอนนี้ดูไม่ต่างจากบิดาและบุตรสาวที่รักกันมากเลย

“แม่สาวตัวน้อย เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่อนุญาตให้พี่ ๆ ทั้งสองอยู่ที่นี่สินะ ?”

อู๋ฉงโยกศีรษะของเด็กสาวอย่างเอ็นดูและคาดเดาความคิดของนางได้ทันที การที่เฟยเฟยพาทั้งสองมาพบเขาด้วยตัวเองเช่นนี้คงเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ยอมให้ฉินอวี้โม่พักอยู่ที่นี่เป็นแน่

อย่างไรก็ตาม เขายังอดประหลาดใจไม่ได้ แม้เฟยเฟยจะใสซื่อไร้เดียงสา ทว่านางก็มีพลังที่ลึกลับบางอย่าง ในเมื่อคนแปลกหน้าทั้งสองได้รับการยอมรับจากนางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เป็นบุคคลที่คู่ควรจะพบปะพูดคุยด้วยจริง ๆ

“หนูน้อยเฟยเฟย ไปที่โรงครัวและดูเถอะว่าท่านป้าของเจ้ากำลังทำสิ่งใด ข้ามีเรื่องต้องหารือกับแขกทั้งสองสักหน่อย”

เห็นได้ชัดว่าผู้นำเกาะไร้กังวลมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ต้องการให้เฟยเฟยทราบในตอนนี้จึงกล่าวออกไปเพื่อให้นางแยกตัวออกไปก่อน

“เจ้าค่ะ”

เฟยเฟยไม่ปฏิเสธและเดินเข้ามาจับมาฉินอวี้โม่เบา ๆ พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง “พี่สาว ท่านลุงผู้นำเกาะใจดีมากเลย ไม่มีอะไรที่ท่านต้องกังวล”

หลังจากกล่าวจบ นางก็เดินออกจากเรือนไปยังโรงครัวด้านข้าง

อู๋ฉงก็โบกมือแผ่พลังวิญญาณออกไปและปิดกั้นทั่วบริเวณเพื่อป้องกันมิให้เสียงสนทนาของพวกตนเล็ดลอดออกไปได้

“สหายน้อยทั้งสองคงจะเป็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสินะ จอมยุทธ์หนุ่มสาวที่เลื่องชื่อไปทั่วแผ่นดินใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ใช่รึไม่ ?”

อู๋ฉงคลายรอยยิ้มบนใบหน้าขณะมองทั้งสองด้วยแววตาพินิจพิจารณา

“เกรงว่าท่านผู้นำเกาะไร้กังวลคงจะคาดเดาได้ก่อนแล้วว่าเราจะมาที่นี่สินะ ?”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะยอมรับตัวตนก่อนเอ่ยถามอย่างมีวาทศิลป์

“หากมีผู้ใดที่ข้ามผ่านม่านป้องกันและเข้ามาในเกาะไร้กังวลของเราได้โดยที่ข้าไม่รู้ตัวนั้น เห็นทีคงจะมีแต่สหายน้อยทั้งสองเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้นำฝ่ายมารที่ต้องการจะบุกเข้ามาในเกาะไร้กังวลของข้า มันก็มิใช่เรื่องง่ายเลย”

อู๋ฉงเลี่ยงไม่ตอบคำถามโดยตรงและตอบออกไปเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดที่จะอธิบายต่อและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน “สหายน้อยทั้งสองคงจะมาที่เกาะไร้กังวลเพื่อบุปผาแห่งแสง…”

อู๋ฉงกล่าววาจาที่แสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ความวุ่นวายในแผ่นดินใหญ่มากพอสมควรและเขาก็รับรู้เกี่ยวกับสงครามระหว่างฝ่ายดินแดนเทพมายาและขุมกำลังมารร้ายอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ก็ทำให้พวกนางมั่นใจได้แล้วว่าบุปผาแห่งแสงอยู่ที่เกาะไร้กังวลแห่งนี้จริง ๆ

“ถูกต้องแล้ว ผู้นำเกาะไร้กังวลน่าจะทราบบทบาทของบุปผาแห่งแสงเป็นอย่างดี มันเป็นสิ่งสำคัญมากและขาดไม่ได้หากพวกเราต้องการจะเอาชนะฝ่ายมาร”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตากันเล็กน้อยขณะเกิดข้อสงสัยบางอย่างขึ้นในใจ การที่ต้องการจะครอบครองบุปผาแห่งแสงมาอาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิดไว้

“แน่นอนว่าข้าเข้าใจดี อันที่จริงหากจะกล่าวตามตรง…ตอนนี้เกาะไร้กังวลของเราก็ถูกล้อมรอบด้วยคนจากขุมกำลังมารร้าย”

จู่ ๆ อู๋ฉงก็ถอนหายใจยาวก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งจนปัญญาและสิ้นหวัง

เกาะไร้กังวลคงอยู่มานานนับร้อยปีโดยประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ไม่แข็งแกร่งมากนักและไม่เคยคิดออกไปจากเกาะแห่งนี้ พวกเขาไม่ชื่นชอบการต่อสู้หรือรบราฆ่าฟันและต้องการเพียงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขและเรียบง่าย

อู๋ฉงถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาะแห่งนี้ทว่าพลังของเขาก็เพิ่งบรรลุขอบเขตนภาเซียนเท่านั้น เขาสืบทอดตำแหน่งผู้นำเกาะมาเมื่อร้อยปีก่อน และในตอนนั้นผู้นำคนก่อนก็คาดการณ์ได้ถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นทว่าไม่เคยบอกอู๋ฉงเกี่ยวกับวิธีแก้ไขมัน

เมื่อคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือน่าจะมาที่นี่ อู๋ฉงก็เกิดความคิดหนึ่งในใจ เขาไม่ต้องการให้เกาะไร้กังวลของตนได้รับความเดือดร้อนในทุก ๆ ด้าน และดูเหมือนว่าความหวังในการช่วยให้เกาะไร้กังวลรอดพ้นจากหายนะจะขึ้นอยู่กับจอมยุทธ์ทั้งสองคนนี้

“สหายน้อยทั้งสอง บุปผาแห่งแสงอยู่ในเกาะไร้กังวลแห่งนี้จริง ๆ ตราบใดที่มีโอกาส พวกเจ้าก็สามารถเอามันไปได้ อย่างไรก็ตาม ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะร้องขอและหวังว่าเจ้าทั้งสองจะพิจารณาได้”

อู๋ฉงยืนขึ้นโค้งคำนับต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมกล่าวอย่างจริงใจ

“ผู้นำเกาะอยากให้เราช่วยรักษาความสงบสุขของเกาะไร้กังวลให้คงอยู่ต่อไปใช่รึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและประคองผู้นำอู๋ฉงลุกขึ้นพลางกล่าวออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม

“ถูกต้อง”

อู๋ฉงกล่าวตอบตามความเป็นจริงก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญาอย่างชัดเจน “สาเหตุที่เกาะไร้กังวลปลอดภัยมาโดยตลอดเป็นเพราะผู้นำเกาะคนก่อนวางม่านป้องกันไว้รอบ ๆ เกาะ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดก็ไม่อาจทะลวงผ่านเข้ามาได้ ทว่าตอนนี้เวลาก็ผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้วและพลังของมันก็สลายหายไปมาก ด้วยความแข็งแกร่งของผู้นำฝ่ายมาร ถึงแม้ว่าการที่เขาจะทำลายม่านป้องกันนี้เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง ทว่ามันก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากม่านป้องกันถูกทำลายลง ความสงบสุขของเราชาวเกาะไร้กังวลจะถูกทำลายเช่นกัน ข้าไม่อยากเห็นคนของข้าต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนั้น พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่รักความสงบและไม่ควรต้องทุกข์ทรมานกับหายนะเหล่านั้น”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เกาะไร้กังวลแห่งนี้กลายเป็นดั่งสวรรค์บนดินก็เพราะม่านป้องกันที่ผู้นำเกาะคนแรกวางไว้ ตราบใดที่ประชากรชาวเกาะไร้กังวลไม่ออกไปข้างนอก คนนอกทุกคนไม่มีทางเข้ามาข้างในได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากอู๋ฉง

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ผู้มีคฤหาสน์เฟิงหัวก็ถือเป็นกรณีพิเศษ นางได้รับการยอมรับจากผู้นำคนก่อนของเกาะไร้กังวลมาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงสามารถเดินทางเข้า-ออกเกาะแห่งนี้ได้อย่างอิสระ อู๋ฉงก็ดำเนินตามคำสั่งของผู้นำเกาะไร้กังวลคนก่อนและไม่ได้บอกนางเกี่ยวกับสิ่งนี้

“ต่อให้ท่านผู้นำเกาะไม่กล่าวออกมา เราก็ตั้งใจจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว”

ฉินอวี้โม่ไม่ถามสิ่งใดให้มากความ แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะมีแผนการของการจับปลาในน้ำขุ่นและฉกฉวยเอาบุปผาแห่งแสงมาในช่วงชุลมุน ทว่าตอนนี้ความคิดเหล่านั้นได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากได้พบปะพูดคุยกับผู้คนในเกาะไร้กังวล ฉินอวี้โม่ก็หลงใหลไปกับความงามที่เรียบง่ายของพวกเขา สถานที่สงบสุขและเป็นดั่งสวรรค์บนดินแห่งนี้ควรเป็นเช่นนี้ตลอดไปและไม่ถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายจากคนชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้น แม้เพิ่งได้พบกันเพียงครั้งแรก ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกถูกชะตากับเฟยเฟยและไม่ต้องการให้นางเป็นอันตราย เพราะเหตุนั้นทั้งสองจะไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน

“เราควรจะทำอย่างไร ?”

นางเอ่ยถามออกไปตามตรง ในไม่ช้าผู้นำฝ่ายมารก็คงจะมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองและพวกนางจะต้องเริ่มลงมือโดยเร็วที่สุด

“ตราบใดที่พวกเจ้าทั้งสองช่วยข้าซ่อมแซมม่านป้องกันของเกาะไร้กังวลของเราเพื่อมิให้ผู้นำของฝ่ายมารฝ่าทะลวงเข้ามาได้ หลังจากนั้นเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีก”

อู๋ฉงเข้าใจสิ่งนี้ดีและไม่กล่าววกวนให้เสียเวลาและก่อนกล่าวถึงแผนการที่คิดไว้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พลังวิญญาณของม่านป้องกันเกาะสลายหายไปมาก หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือช่วยซ่อมแซมมันและฟื้นฟูพลังของม่านป้องกันให้แข็งแกร่งและเต็มประสิทธิภาพเช่นเดิม ไม่ว่าผู้ใดในดินแดนนี้ก็ไม่มีทางฝ่าทะลวงผ่านเข้ามาได้

“เข้าใจแล้ว ทว่านอกเหนือจากนั้น ข้าจะวางข่ายอาคมอีกชั้นให้กับเกาะไร้กังวลและจะบอกท่านผู้นำเกาะเกี่ยวกับวิธีการควบคุมมัน ในกรณีนี้ มันก็จะช่วยให้เกาะไร้กังวลปลอดภัยได้ยิ่งขึ้น”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและวางแผนที่จะวางข่ายอาคมรอบเกาะแห่งนี้

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย”

ความกังวลที่ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของอู๋ฉงก่อนหน้านี้สลายหายไปมากและแววตาของเขาบ่งบอกถึงความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

“ท่านลุงผู้นำเกาะ ไม่ทราบว่าคุยธุระกันเสร็จหรือยังเจ้าคะ ?”

เสียงของเฟยเฟยดังขึ้นขณะเดินเข้ามาพร้อมกับจางหยวน—ภรรยาของอู๋ฉง

“ทุกคนคงจะยังไม่ได้ทานอะไรกัน เชิญรับประทานได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจ”

จางหยวนเป็นสตรีที่อ่อนโยนและจิตใจดี นางกล่าวพร้อมหยิบกล่องอาหารซึ่งบรรจุอาหารที่เพิ่งปรุงก่อนหน้านี้ออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“สหายน้อยทั้งสอง เราพูดคุยหารือกันพร้อมกับทานอาหารไปด้วยเถอะ”

อู๋ฉงยิ้มและถอนม่านพลังรอบ ๆ ตัวโดยที่จางหยวนและเฟยเฟยไม่รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องขอรบกวนสักหน่อย”

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่นั่งลงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

การรับประทานอาหารมื้อนี้ดำเนินไปอย่างมีความสุข

หลังจากเสร็จสิ้น จางหยวนก็พาเฟยเฟยกลับไปส่งเพื่อพักผ่อนในขณะที่อู๋ฉงพาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปยังจุดที่ม่านป้องกันอ่อนแอที่สุด

“สหายน้อยทั้งสอง ข้าต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าบุปผาแห่งแสงมิใช่สิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการไว้แน่ การจะครอบครองมันมานั้นยากพอสมควร แม้พวกเจ้าทั้งสองจะมีความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งและได้รับการยอมรับไปทั่วทั้งดินแดน ทว่าพวกเจ้าก็อาจจะครอบครองมันมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสหายน้อยทั้งสองก็ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า หากไม่อยากช่วยข้าซ่อมแซมม่านป้องกันนี้อีกต่อไป ข้าก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองพวกเจ้าทั้งสองเลย”

อู๋ฉงกล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่อให้ทั้งสองได้พิจารณาให้ดีเสียก่อน

“ท่านลุงอู๋ไม่ต้องอธิบายอะไรมากหรอก ต่อให้ไม่ได้บุปผาแห่งแสงมาครอง พวกเราก็ยินดีช่วย”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบอย่างไม่ลังเลและไม่จำเป็นต้องคิดให้เสียเวลาด้วยซ้ำ สำหรับเกาะไร้กังวลแห่งนี้ นางและหานโม่ฉือจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำลายความสงบสุขของมันอย่างแน่นอน

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสามก็มาถึงบริเวณรอบนอกของเกาะและมองเห็นภาพสะท้อนของโลกภายนอกอย่างชัดเจน

เป็นจริงดังที่อู๋ฉงกล่าวไว้ ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากที่กระจายอยู่รอบบริเวณเกาะไร้กังวลแล้ว คนเหล่านั้นส่วนใหญ่สวมอาภรณ์และหน้ากากสีดำสนิท ร่างของเขาพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความมืด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องเป็นสมาชิกของฝ่ายมารอย่างแน่นอน

พวกเขาพยายามโจมตีม่านป้องกันอย่างไม่หยุดหย่อนทว่ายังไม่สามารถทำลายมันได้ และแม้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะปรากฏตัวขึ้นมา ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีตอบสนองใดราวกับมองไม่เห็นพวกนางเลยสักนิด

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนซึ่งก็คือฮวาเหยียนอวี่และกลุ่มผู้ติดตามของนางก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกนางก็ปรากฏตัวอยู่นอกเกาะไร้กังวลอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีจุดที่พลังอ่อนแอในม่านป้องกันนี้อยู่หลายจุดจริง ๆ ด้วยความแข็งแกร่งอันทรงพลังของผู้นำฝ่ายมาร กอปรกับบุปผาแห่งความมืดที่น่าหวาดหวั่น คาดการณ์ได้ว่าเขาคงจะฝ่าทะลวงผ่านเข้ามาในจุดที่เปราะบางเหล่านี้ได้

ทันทีที่กำลังจะเริ่มการซ่อมแซม จู่ ๆ เสียงของซิวก็ดังขึ้น

“นายหญิง เจ้าแก่ตายยากนั่นมาแล้ว !”