GGS:บทที่ 1018 ดื่มชา

ในขณะที่สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังมียอดขายที่พุ่งสูงทะยานฟ้า ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากเมืองหลวง ที่ปลายสายเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างจะสงบ
ที่เขาโทรมานั้นเป็นเพราะต้องการแจ้งสถานการณ์บางอย่างให้ซูจิ้งได้รับทราบเอาไว้ หลังจากนั้นซูจิ้งได้พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาของสถานการณ์และสั่งให้ชายคนนี้ดำเนินการบางอย่างอยู่สักพัก

หลังจากนั้นเขาได้โทรออกไปอีกหลายสายโดยปลายทางนั้นอยู่ที่เมืองหลวง สายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสายของคนใหญ่คนโตที่หากมีคนทั่วไปได้ยินเพียงน้ำเสียงล่ะก็คนเหล่านั้นอาจจะตกใจจนสลบล้มไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากซูจิ้งพูดคุยกับคนเหล่านี้เสร็จสิ้น หวังซวนจี้ได้โทรหาซูจิ้งโดยพูดว่า “อาจิ้ง ต่อแต่นี้นายต้องวางตัวดีๆหน่อยนะ อีกไม่นานน่าจะมีคนใหญ่คนโตเชิญนายไปดื่มน้ำชาด้วยกัน บอกได้เลยว่าช่วงนี้นายน่าจะต้องวุ่นวายสักหน่อยล่ะนะ”

“ไม่มีปัญหาครับคุณลุง เรื่องนี้แค่นี้ผมจัดการได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หืม แล้วนายจะจัดการยังไงล่ะนั่น อย่าบอกนะว่านายทำอะไรลงไปอีกล่ะเนี่ย ระวังระวังหน่อยนา เรื่องในครั้งนี้สำคัญยิ่งกว่าเรื่องกิจการยาสูบอย่างมาก
บอกได้เลยว่าเครื่องในครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักทั้งเรื่องอวัยวะเทียมและระบบอัจฉริยะ โดยเฉพาะเจ้าระบบอัจฉริยะนั่นถ้าลุงเข้าใจไม่ผิดมันสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแม้แต่ทางการทหาร นายคิดว่าภาครัฐจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้รอดพ้นหูรอดพ้นตาไปได้งั้นรึ” หวังซวนจี้พูดออกมาอย่างห่วงใย

“เรื่องนี้ผมรู้ดีครับ แน่นอนว่าตัวผมเองก็เตรียมการไว้ก่อนอยู่แล้ว ลุงหวังไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
ตอนนี้ผมเองก็ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะเตรียมตัวไปยังเหมืองหลวงเป็นการส่วนตัวในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว”
ซูจิ้งพูดออกมาราวกับไม่ใส่ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่นัก หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนเขาเองคงต้องเป็นกังวลอยู่บ้าน แต่ยังไงซะด้วยพลังของเขาในตอนนี้

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องสนต่อสิ่งไดอีก
นอกจากนี้ยังมีพวกระดับสูงที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าต่อให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนแต่กับเขานั้นก็แค่เรื่องที่ทำให้เสียเวลาเท่านั้นเอง
เอาจริงๆต่อให้เขาไม่ไปก็ยังมีวิธีการอื่นในการจัดการได้อยู่แล้ว อย่างเช่นการใช้พลังวิญญาณผนวกกับเหรียญตราเทวฑูต ไหนจะวิชาที่ได้จากตำราวิถีมังกรและพระธาตุนั่นอีก แค่ของเหล่านี้ก็ไม่มีใครบนโลกหล้าเทียบเคียงเขาได้อย่างแน่นอน

ถ้าให้พูดตรงๆล่ะก็หากว่าโลกนี้ไม่มีความอยุติธรรม ความเกลียดชัง การเล่นพักเล่นพวก หรือพวกวายร้ายเหล่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยากจะใช้วิธีการพวกนี้สักเท่าไหร่นัก
ถึงแม้ว่าเรื่องในครั้งนี้อาจต้องมีการทำอะไรเกินเลยไปบ้างเพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงแต่หากเลี่ยงได้เขาเองก็อยากจะเลี่ยงอยู่ดี

นั่นก็เพราะว่าเขานั้นอยากจะอัพเกรดสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของโลกใบนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เลือกวิธีการอย่างการล้วงความลับ ขมขู่ หรือแม้แต่สะกดจิตควบคุมผู้คนก็ตาม

เช้าวันถัดมา รถลินคอนยาวพิเศษได้เข้ามาจอดยังสนามบินเมืองจงหยุน ในตอนนั้นซูจิ้งและหวังจ้าวได้ก้าวลงมาจากรถคันดังกล่าว
หวังจ้าวนั้นมาที่นี่เพื่อส่งซูจิ้งเพียงเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าแค่มาส่งแต่เขาเองก็แสดงท่าทีประหม่าออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่ความประหม่านี้ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใดเพราะว่าหากเป็นเรื่องปกติเขานั้นก็ยังพอใช้อำนาจของตัวเองจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องในครั้งนี้มันใหญ่มากแม้แต่พ่อของเขาก็ยังยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้

“เฮ้ นายแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ” หวังจ้าวถามออกมา
“ให้พี่ไปก็คงแปลกแล้วล่ะ ตอนนี้ที่นี่ต้องการพี่มากกว่าผมนา ตอนนี้สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังอยู่ในจุดรุ่งจนทุกคนอิจฉา หากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนี้แล้วตัดสินใจได้ไม่ดีพออาจล้มได้อย่างง่ายดาย
เอาน่า ยังไงซะพี่มีโอกาสอีกหลังครั้งที่จะไปด้วยกันอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้อออ ก็ได้ ต่อให้ฉันไปในครั้งนี้ฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้อยู่ดี ว่าแต่นายแน่ใจแล้วใช่ไมใหมว่าเรื่องในครั้งนี้นายรับมือไหวน่ะ
เอาจริงๆนะหากรัฐบาลอยากได้เทคโนโลยีนี้จริงๆล่ะก็นายก็ให้พวกนั้นไปเถอะ ยังไงซะพวกเรานั้นก็ยังได้เงินจากทางอื่นมากมายอยู่แล้ว” หวังจ้าวพูดออกมา

“เอาจริงๆฉันก็ไม่ว่าหรอกนะหากรัฐบาลจะเอาไปใช้น่ะ ยังไงซะหากเป็นเรื่องนี้ฉันเองก็อยากให้เประเทศจีนเข็งแกร่งอยู่แล้ว เพราะยังไงซะที่นี่ก็ยังประเทศของเรา หากว่ามอบให้แล้วใช้เพื่อการนี้จริงล่ะก็ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เพียงชั่วพริบตา สองวันก็ล่วงเลยผ่านไป วันนี้เป็นวันที่ซูจิ้งกลับมาจากเมืองหลวง หวังซวนจี้และหวังจ้าวเองก็ประหลาดใจในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากซูจิ้ง
รัฐบาลเลือกที่จะเป็นหุ้นส่วนกับซูจิ้ง แถมไม่ใช่การเป็นหุ้นส่วนแต่ในนามแล้วควบคุมทุกสิ่งอย่างแต่เป็นการเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริง

การที่ซูจิ้งไปในครั้งนี้เอาจริงๆแล้วกลุ่มทุนห้วงเวลาแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย รัฐบาลได้เชิญซูจิ้งให้เป็นที่ปรึกษากิติมาศักดิ์ให้กับรัฐบาลในด้านต่างๆ อย่างเช่นด้านการบินและการทหาร
และแน่นอนว่าหากมีการพัฒนาในด้านไหนก็ตามที่ซูจิ้งใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการพัฒนา รัฐบาลยินดีที่จะจ่ายเงินเป็นค่าธรรมเนียมพร้อมทั้งออกค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็น
เพียงแค่เงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษาในครั้งนี้สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้ซูจิ้ง และนี่ยังไม่รวมถึงว่าซูจิ้งไม่จำเป็นต้องส่งมอบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของเขาให้แต่อย่างใด หากว่าเขานั้นไม่อนุญาต

หวังซวนจี้ หวังจ้าว หวังเจิ้ง และหวังจุ่น ที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของซูจิ้งต่างก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้พวกเขานึกกันไม่ออกเลยจริงๆว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากมายขนาดไหนอยู่ในมือแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้นอกจากคนสำคัญของตระกูลหวังแล้วยังมีอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รู้เรื่องนี้ แม้แต่คนในสี่ตระกูลใหญ่เองก็ยังมีคนแค่นับหัวได้เท่านั้นที่รู้เรื่อง
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องลับสุดยอดของประเทศจริงๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ปัญหาอย่างได้คลี่คลายลงไปโดยปริยาย แต่กลับโลกภายนอกนั้นไม่มีใครเลยที่จะรู้ว่ามีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศมาก่อน

มีบางคนที่รู้เรื่องนี้ในตอนแรกนั่นต่างก็คิดว่าซูจิ้งต้องถูกภาครัฐเชิญไปดื่มชาเพื่อหาโอกาสตัดเนื้อเถือหนังเพื่อให้ส่งมอบทุกอย่างให้
ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเชิญดื่มชาเพื่อส่งมอบเงืนทองและประเทศให้แบบนี้

เมื่อซูจิ้งกลับไปถึงบ้าน เขาก็กลับเข้าไปคลุกอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาเพื่อกิจวัตรที่ห่างหายไปนานนั่นก็คือการจัดการขยะของเขา
อย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการเข้าไปตรวจสอบขยะฯกองกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเอาไว้ เขานั้นดึงข้อมูลทุกอย่างออกจากกระดาษจนกระทั่งเขาพบอะไรบางอย่างที่ทำให้ดวงตาของเขาต้องส่องประกาย

เขาคิดอะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พบเจอ เขาได้รีบออกไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาและตรงไปยังห้องวิจัยเครื่องยนต์ที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้
เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ได้ถามออกมาทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง”
การวิจัยเครื่องยนต์นี้แม้แต่หวังจ้าวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซูจิ้งมีข้อตกลงกับภาครัฐและการทหารแล้วยิ่งจะให้รู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่

เหตุผลนั่นก็คือเขานั้นมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าการเอาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์นี้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ แน่นอนว่าเขานั้นต้องการใช้เครื่องยนต์นี้ด้วยตัวเอง
“อย่าเรียกว่าคืบหน้าดีกว่าครับ เรายังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของมันสักเท่าไหร่เลย” เหล่านักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานต่างก็ต้องยอมแพ้และยอมรับความจริงกับซูจิ้ง
พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักวิจัยด้านพลังงานชั้นนำในสายพลังงานเรียกได้ว่าแค่เอ่ยชื่ออย่างน้อยคนในวงการต้องรู้จัก
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่การวิจัยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย
ในตอนแรกที่เห็นหากไม่มีใครมาทดสอบเครื่องยนต์นี้ให้พวกเขาดูล่ะก็ พวกเขานั้นคิดว่ามันเป็นแค่แท่นตีเหล็ก

พวกเขาในตอนนี้รู้เพียงว่าเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นคือสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำยุคเพียงเท่านั้น
ตอนที่ซูจิ้งชวนเขาให้มาทำงานด้วยนั้น พวกเขาได้ลองเสนอเงินเดือนที่สูงกว่าเดิมสองสามเท่าเพื่อจะเปลี่ยนงานแต่ซูจิ้งกลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ด้วยเครื่องยนต์ที่อยู่ต่อหน้าของพวกเขานี้ พวกเขารู้สึกละอายจริงๆที่ในตอนนั้นกล้าเรียกเงินเดือนแพงไปขนาดนั้น
“ลองดูนี่หน่อยสิว่าพอจะทำความเข้าใจได้รึเปล่า” ซูจิ้งได้ส่งกระดาษชุดหนึ่งให้นักวิจัย
“นี่…” เหล่านักวิจัยได้เห็นต่างก็ถึงกับชะงักงัน พวกเขาค่อยๆเปิดดูภาพวาดที่ถูกวาดเอาไว้ในกระดาษอย่างช้าๆและละเอียดละออ
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็หรี่ตามองและมีสายตาที่เบิกกว้าง หลังจากนั้นก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรแต่ก็แสดงความตื่นเต้นออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
หนึ่งในนั้นได้หันมาพูดกับซูจิ้งว่า “นี่เครื่องภาพวาดเครื่องยนต์”

“อืม ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกับเครื่องยนต์ตัวนี้น่ะฉันเลยไม่แน่ใจ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ผมบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีที่ใช้นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นเทคโนโลยีเดียวกันอย่างแน่นอน”
“สุดยอด รีบศึกษาภาพวาดนี่เร็ว หัวหน้า ถ้าหัวหน้ามีเจ้านี่ล่ะก็น่าจะรีบเอาออกมานะครับ” ซูจิ้งก็ทำได้เพียงยิ้มรับออกมา เขาเองก็อยากจะบอกออกมาจริงๆว่าถ้ารู้ว่ามีก็คงรีบเอามาให้แล้ว

ในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบนั้น หุ่นยนต์เกราะเบาแต่ละรุ่นนั้นมีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะที่แตกต่างกันไป
และแน่นอนว่าเครื่องยนต์ที่มาจากตัวกำเนิดพลังงานระดับต่ำนั้นไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนหุ่นยนต์เกราะเบาได้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นรุ่นที่ต่ำที่สุด พลังงานที่ต้องใช้ในหุ่นยนต์ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน
แต่กับเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้ถือได้ว่าโชคดีอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่เขาได้มานั้นเป็นเครื่องยนต์ที่เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญอย่างมากในห้วงเวลาฯนั้น
ดีที่ภาพวาดที่เขาได้มาเองก็มีความคล้ายคลึงกับเครื่องยนต์เช่นนี้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาเองก็คิดว่าต่อให้ได้ภาพวาดเครื่องยนต์มาก็คงจะเปล่าประโยชน์อยู่ดี

“เอาล่ะ ในเมื่อได้ตัวช่วยแล้วผมก็คงต้องให้พวกคุณทำงานหนักกันหน่อยล่ะนะ อ้อ บอกไว้ก่อนนะว่าหากพวกคุณพัฒนาและทำการผลิตเครื่องยนต์นี้จนขายได้ล่ะก็
พวกคุณเองก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งด้วยเช่นเดียวกับนักวิจัยในกลุ่มอวัยวะเทียมและระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อยู่ห้องข้างๆเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขานั้นมีเงินมากจนมีแต่คนอิจฉาไปหมดแล้ว
แต่ผมก็ว่าพวกคุณน่าจะพอได้ยินมาบ้างตอนที่พวกนั้นมาขิงให้พวกคุณฟังแล้วล่ะนะ”ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงครับหัวหน้า พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” เหล่าสมาชิกนักวิจัยด้านพลังงานในตอนนี้ต่างก็หึกเหิม ดวงตาเปล่งประกาย และมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด
ที่พวกเขานั้นมีความรู้สึกแบบนี้แล้วไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องเงินแต่อย่างใด พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ภูมิใจที่ตัวเองจะได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการผลักดันงานวิจัยเทคโนโลยีล้ำยุคที่จะขับเคลื่อนโลกได้แบบนี้