อาศัยพลังฝึกปรือของจักรพรรดิดาวตก การคาดการณ์ของเขาที่ว่าหญิงสวมหน้ากากผู้นั้นน่าจะอยู่ระดับจิตวิญญาณอมตะหรือดาวพระเคราะห์เป็นต้นไปนั้น กลับคาดเดาผิดอย่างหาได้ยาก ผลปรากฏว่าแม่หญิงสวมหน้ากาก…ไม่ได้ลงมือตีครั้งที่เก้าต่อ
มิใช่ตัวนางเองไม่ปรารถนา นางถึงกับคิดจะใช้วิชาลับของตนด้วยซ้ำ ทว่าการตีครั้งที่เก้านั้นต่างจากครั้งที่หก เพราะเจ้าอ้วนน้อยสามารถใช้พลังเร้นลับตีกลองครั้งที่หกได้ แต่สำหรับนางไม่มีทางใช้พลังเร้นลับตีครั้งที่เก้าได้
เพราะความแตกต่างของครั้งที่เก้าและหกนี้ เป็นยิ่งกว่าระยะห่างของฟ้าดินที่ไม่อาจก้าวข้าม
แม้จะมีความเสียใจ แต่หญิงสวมหน้ากากก็ปลุกปลอบตนเอง สุดท้ายแล้วนางตัดสินใจเลือกเอาดวงดาวสีม่วงดวงหนึ่งจากดาวเคราะห์พิเศษทั้งสามดวงนั้นมาหลอมรวม จากนั้นร่างของนางก็หายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน และ…ปรากฏตัวบนดาวเคราะห์ที่นางเลือก
ลำดับต่อมา ก็จะเป็นการหลอมรวมและเลื่อนระดับ สำหรับการเลื่อนระดับในขั้นตอนนี้ ล้วนแต่ไม่เคยปรากฏปัญหา ซึ่งก็นับเป็นบททดสอบสุดท้ายจากจักรวรรดิแห่งดาวตก
หลังจากนั้น คนต่อๆ มาก็ทยอยกันขึ้นตีกลอง ลำดับนั้นมีสูงมีต่ำ ในบรรดาคนทั้งหลาย พี่ชายเกาผู้สูงส่งตีไปได้เจ็ดครั้ง และได้รับดาวเคราะห์พิเศษระดับเจ็ดดวงหนึ่ง นอกจากนี้แล้วอีกสองคนที่หวังเป่าเล่อไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวด้วยนัก ก็ล้วนคว้าได้ระดับประมาณหกถึงเจ็ดดวง แม้จะเป็นดาวเคราะห์พิเศษเช่นเดียวกัน แต่เป็นระดับต่ำทั้งคู่
หวังเป่าเล่อจับจ้องกระบวนการทั้งหมด ในเวลาเดียวกันก็ย้อนพิจารณาตนเอง เขาเฝ้าดูวิธีการตีกลองและข้อควรระวัง ระหว่างนี้ก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
ในเวลาเดียวกันที่ชายหนุ่มผู้สง่างาม ชายหนุ่มชุดดำ แม่สาวกระพรวน และแม่นางน้อยลงมือ หวังเป่าเล่อก็ยิ่งจับตาดูอย่างตั้งใจมากขึ้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ แม่นางน้อยนั้นทำสิ่งที่ยากจะคาดเดาที่สุด ในสถานการณ์ที่ร่างกายนางถึงขีดจำกัดแล้วแน่ๆ นางตีกลองไปแล้วแปดครั้ง จนชักนำดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบนมาได้ แต่นางกลับยอมทิ้งโอกาสทั้งหมด สุดท้ายไม่ได้เลือกดาวเคราะห์ดวงใดเป็นจิตวิญญาณดาวเคราะห์ของตนเลย
ฉากนี้ เมื่อจักรพรรดิดาวตกเห็นเข้า ดวงเนตรของเขาก็เผยประกายตรึกตรองลึกซึ้ง พลางหันไปมองนางเพิ่มอีกหลายครั้ง
เรื่องนี้หวังเป่าเล่อเองก็สงสัยอย่างมาก หากเป็นเวลาอื่น เขาก็คงต้องขบคิดหาเหตุผลสำหรับเรื่องนี้แน่ แต่ว่าจังหวะนี้กลับไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมจะมานั่งครุ่นคิด เพราะอีกสามคนถัดไปนั้น ต่างก็แสดงความสามารถได้น่าตื่นตะลึงยิ่ง ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเขาสั่น แต่ยังทำให้ทุกคนในจักรวรรดิดาวตกต้องสะท้านหัวใจไปด้วย
เริ่มจากชายหนุ่มผู้สง่างามที่มาจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เขาเป็นคนแรกในกลุ่มที่สามารถตีได้ถึงเก้าเสียงกลอง และดูเหมือนว่านี่คือขีดจำกัดของเขาแล้ว เขาไม่อาจตีครั้งที่สิบได้อีก อย่างไรก็ดี เขามีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ดังนั้นแม้การตีกลองจะทำให้เขาอ่อนแรง แต่บุคลิกยังคงเฉียบคมดุจเก่า เขาแหงนหน้ามองฟ้าพร่างพราวดวงดาว บนนั้นมีดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบนโผล่ออกมากลุ่มดาวหนึ่ง รวมถึงดวงดาวอีกสามดวง…ซึ่งส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดที่เหลือ!
ห่างเพ่งมองดีๆ แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าในดวงดาวที่กระจ่างที่สุดสามดวงนี้ เหมือนจะมีอสูรพิสดารซ่อนเร้นอยู่ด้วย ราวกับว่าพวกมันมิใช่เพียงดาวเคราะห์ธรรมดาอย่างเดียว แต่กลับเริ่มมีชีวิตจิตใจขึ้นมาแล้ว!
“จักรวรรดิดาวตกในตอนนี้ มีดาวเคราะห์พิเศษอันดับหนึ่งเพียงแค่สามสิบเจ็ดดวงเท่านั้น แต่ชายหนุ่มผู้นี้สามารถชักนำมาได้ถึงสามดวง ไม่ธรรมดา!” จักรพรรดิดาวตกเผยแววตาชื่นชม เขาเอ่ยปากช้าๆ ในขณะเดียวกัน ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ถูกดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้ดึงดูดไปสิ้น เพียงแต่ว่า…ต่อให้ดวงดาวทั้งสามจะประกายวาววามสักเท่าไหร่ ในเวลานี้กลับไม่อยู่ในสายตาชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นสักนิด!
เขายืนนิ่งมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มองเหล่าดาวเคราะห์ระดับหนึ่งทั้งสาม แต่กำลังหาดาวดวงนั้น…ดาวเคราะห์เต๋าที่เขาสัมผัสได้ถึงชะตาต้องกัน!
“ดาวเคราะห์เต๋า เหตุใดจึงไม่ปรากฏ…” ชายหนุ่มผู้สง่างามมีลมหายใจบีบรัด เขาเข้าใจดีว่าหากยามนี้ตนปรารถนาในหมู่ดวงดาวทั้งสามนั้น ตนก็จะสามารถเลือกได้ดวงหนึ่ง หากเป็นแต่ก่อน เขาจะต้องเลือกแน่ แต่ว่าในยามนี้…สายตาเขามีเพียงดาวเคราะห์เต๋า!
ในระหว่างที่กำลังกลุ้มอยู่นั้น สายตาของชายหนุ่มผู้สง่างามก็พลันทอประกายบ้าคลั่ง เขายกมือขวาขึ้นอีกครั้ง มิรู้ว่าใช้วิชาเทพอันใด ทำให้เลือดออกทั่วร่างเจ็ดทวาร โลหิตกองโตทะลักออกมาจากปาก เขาควงไม้กลองในมือ ทุ่มเทพลังทั้งหมดตีลงไปอีกครั้ง
เสียงกลองครั้งที่สิบ…พลันกังวานขึ้นมา ฟ้าดินสั่นสะเทือน ดวงดาวจำนวนมากพลันปรากฏร่าง เพียงแต่ไม้กลองในมือของผู้ฝึกตนผู้งามสง่านั้นได้แหลกสลายไปพร้อมกับเสียงกลองครั้งที่สิบ ร่างกายของเขาไม่เหลือพลังปราณอีกต่อไป เขาพลันร่วงลงไปอยู่บนพื้น ตัวเขาเองดิ้นรนที่จะลุกขึ้นดวงตาของเขาแดงฉาน มองเห็นท้องฟ้าสาดส่องด้วยแสงดาว ทว่าหลังพยายามมองแล้วแต่ก็ไม่พบดาวเคราะห์เต๋า เขาตัดสินใจฉีกยิ้มรันทดคราหนึ่ง ก่อนจะป้องปากตะโกนลั่น
“ข้าต้องการเพียงดาวเคราะห์เต๋า ส่วนดาวอื่นๆ มันก็แค่มดปลวก!”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป ฟ้าดินทอประกายรุนแรงยิ่ง ดวงดาวทั้งหมดที่ปรากฏในยามนี้พลันอึมทึบหม่นแสง ค่อยๆ กระจายหายไป รวมไปถึงดาวเคราะห์พิเศษทั้งสามดวงด้วย และก็เป็นเช่นนี้ ในพริบตาที่ท้องฟ้านั้นมืดสนิทลง พลันมีแสงเส้นหนึ่งพาดผ่านจากท้องฟ้า ในพริบตา แสงเหล่านั้นก็รวมอยู่บนร่างของชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น
ใจกลางท้องฟ้า พลันปรากฏดาวดวงหนึ่ง…ลำแสงเจิดจ้าเป็นที่สุด เจิดจ้าประหนึ่งดวงตะวัน ราวกับราชาแห่งท้องฟ้าก็ไม่ปาน มันยอมปรากฏร่างแต่กลับไม่ได้โผล่ออกมาทั้งหมด ยอมเผยเพียงแค่เงาเลือนรางเท่านั้น แถมการที่มันส่องแสงลงมานี้ก็มิใช่เพื่อยอมให้น้อมดารา แต่คล้ายกับว่า…กำลังทำเครื่องหมาย เลือกสรรคนผู้นี้ไว้เป็นตัวเลือก!
แม้จะเป็นแค่ตัวเลือก แต่ก็ยังทำให้ชายหนุ่มผู้สง่างามร่างกายสั่นเทาได้ ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลานี้กลับทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของจักรวรรดิดาวตกหัวใจกระหน่ำระรัวคลั่ง พวกเขาล้วนพร้อมใจคำนับให้แก่ดาวเคราะห์เต๋าบนท้องฟ้า!
กระทั่งตัวจักรพรรดิดาวตกเอง ก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย แสดงท่าทีเคารพ ในส่วนของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ในใจเขาเหมือนมีคลื่นซัดโหม ดวงตาทอประกายปรารถนารุนแรง ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ คือความฝันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในดินแดนดาวตก!
เพียงแต่ว่าดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ทระนงยิ่งนัก หยิ่งยโสราวกับว่าตนเองเคยชินกับสายตาเคารพบูชาเจือปรารถนาของผู้คนไปแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มผู้สง่างามจะยอมแลกชีวิต ใช้พลังทั้งหมดที่มีตีกลองครั้งที่สิบ แต่มันก็ยอมเผยเพียงเงาเลือนราง ทำสัญญาณรับรู้คราหนึ่งเท่านั้น
ในตอนนี้ ราวกับมันไม่ยอมเหลือบแลหวังเป่าเล่อเสียด้วยซ้ำ แต่แสงดาวเคราะห์เต๋ากลับยอมสาดส่องผ่านชายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวน พาให้ทั้งสองคนจิตใจเค้นระรัว บีบให้พวกเขาพุ่งเข้าไปหากลองสู่สวรรค์ในทันทีโดยไม่สนใจลำดับ พวกเขาเล็งไปยังด้านข้างกลองสู่สวรรค์ที่สูงร้อยจั้งนี้ แล้วเข้าตีกลองพร้อมกัน!
ราวกับพวกเขากำลังแข่งประชันกัน ราวกับพวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงความสนใจจากดาวเคราะห์เต๋า อยากจะให้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้เลือกตน!
ถึงแม้ว่านี่จะผิดกฎ แต่ในเมื่อดาวเคราะห์เต๋าบนท้องฟ้าปรากฏร่างแล้ว จักรพรรดิแห่งดาวตกก็มิได้ปริปากอันใด คนอื่นๆ จึงทำตัวหลงลืมกฎนี้เสีย ดวงตาของพวกเขาจับจ้องที่ท้องฟ้า ต่างก็ดูดาวเคราะห์เต๋าที่เรืองรองหนึ่งเดียวนั้นด้วยกันทั้งสิ้น
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกายแสงวาบ เขาสัมผัสได้ว่าดาวเคราะห์เต๋าไม่สนใจตนเองที่อยู่ตรงนี้เลย เขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแค่สังหรณ์ที่ผิดไป ในเมื่อตอนนี้เห็นแม่สาวกระพรวนและชายหนุ่มชุดดำพุ่งไปตีกลองแล้ว เขาก็กัดฟัน กระโจนร่างขึ้นจากพื้น เหาะออกจากตำหนักหลัก และมุ่งไปยังกลองสู่สวรรค์ในทันที!
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่รีบร้อนจากไปนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตจักรพรรดิดาวตกด้านหลังตนที่เผยสายตาเศร้าใจและทนไม่ไหว อีกฝ่ายคิดจะเอ่ยปากหยุดเขา แต่หวังเป่าเล่อไม่ทันฟังคำพูดพึมพำของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรวหว่างคิ้วเบื้องหลังตน
“มันไม่มีทางเลือกเจ้า…”
ในยามนี้หวังเป่าเล่อที่ดวงตาเปี่ยมด้วยปรารถนา ได้เคลื่อนกายด้วยความเร็วสูง พริบตาก็รุดมาถึงกลางลานแล้ว เกือบจะถึงพร้อมกับชายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวนด้วยซ้ำ ในยามที่สองคนนี้กำลังจะตีกลองนั้นเอง ไม้กลองก็ปรากฏในมือของหวังเป่าเล่อ เขาตีเข้าไปตรงใจกลางของกลองสู่สวรรค์ในทันใด!
เสียงแรก ฟ้าดินเปลี่ยนสี ดาวเคราะห์เต๋าผู้หยิ่งยโสคล้ายเหลือบดูฝูงชนแล้ว ก็หายไปในท้องฟ้าอีกครั้ง เพื่อให้ผู้เข้าทดสอบทั้งสามตีกลองแสดงฝีมือว่าตนมีคุณสมบัติมากพอหรือไม่!
เสียงที่สอง ท้องฟ้ามืดมิดเริ่มปรากฏดวงดาวขึ้นใหม่ คราวนี้แสงดาวมีจำนวนน้อยนัก แสงค่อนข้างอับทึบ กระทั่งว่าหากเป็นมนุษย์ ก็อาจจะเห็นพวกมันทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
เสียงที่สาม กระแสดาวค่อยๆ ขยายขอบเขต ดาวเคราะห์เผยออกมามากขึ้น แต่ก็ยังดูหดหู่เหมือนเก่า กระทั่งในตอนที่ทั้งสามคนตีกลองเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า พวกมันค่อยดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ในเวลาเดียวกันกับที่ธาราดวงดาวปรากฏ ทั้งดาวเคราะห์ธรรมดา ดาวเคราะห์วิญญาณ ดาวเคราะห์อมตะก็ค่อยๆ ทยอยเผยโฉม!
หลังจากนั้นก็เป็นครั้งที่หก ครั้งที่เจ็ดจนถึงครั้งที่แปด!
ฟ้าดินกังวานก้อง ดวงดาวนับไม่ถ้วนปรากฏเต็มแน่นกลางนภา ในเวลาเดียวกัน ดาวเคราะห์พิเศษก็ปรากฏตัวขึ้นจากการตีของทั้งสามคนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในบรรดานี้มีระดับล่างที่ไม่อาจคาดเดาจำนวนได้ถูก ระดับกลางจำนวนนับร้อย รวมถึงดาวเคราะห์พิเศษระดับที่สาม ระดับที่สองบน
ภาพฉากดวงดาวเกลื่อนนภาในยามนี้ จะหาคำพูดมาบรรยายนั้นคงยากนัก!
สำหรับขายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวนแล้ว การตีกลองแปดครั้งรวดเดียวนั้นไม่ยากเท่าไหร่ ทั้งนี้ก็เพราะแรงกดดันและแรงเย้ายวนเป็นเหตุ ทำให้ลมหายใจของพวกเขาระส่ำ สีหน้ามีความซีดขาวอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน สุดท้ายแล้วเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความลำบากแบบเดียวกับที่คนเหล่านี้ได้รับตอนตีกลอง
เพราะทุกครั้งที่ตีกลองนั้น เหมือนมีลมพายุกระหน่ำซัดร่างกายและจิตวิญญาณของตน ความรู้สึกนี้ ราวกับว่าไม่ได้ใช้ไม้กลองตี แต่เหมือนใช้ชีวิตของพวกเขาเข้าตีกลองนี้มากกว่า!
โดยเฉพาะหลังครั้งที่แปดเป็นต้นมา นับว่ากระเทือนวิญญาณอย่างมาก ทำให้ภาพเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อดูพร่าเลือน แม้การมองเห็นของเขาจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็รู้สึกว่าแม้ตนจะยังตีครั้งที่เก้าได้ ก็คงต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงล้ำแน่นอน
“จุดนี้ไม่ถือว่าเท่าไหร่หรอก ยังไงข้าก็จะตีจนผ่านครั้งที่สิบไปให้ได้!” หวังเป่าเล่อกัดฟัน สีหน้าดูจริงจังสุดๆ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด เขาโบกไม้กลองในมือ พร้อมกันนั้นชายหนุ่มชุดดำซึ่งกำลังเลือดพล่าน รวมถึงแม่สาวกระพรวนผู้มีนัยน์ตาคมปลาบ ก็ลงมือตีกลองครั้งที่เก้าพร้อมกัน!
……………………………