ตอนที่ 713 เป้าหมายคือต้นโพธิ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บุปผาแห่งความมืดเปลี่ยนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีความสูงหลายจั้งในขณะที่พลังความมืดของมันไม่เพียงแต่ห่อหุ้มอสูรทั้งสามเท่านั้นทว่ายังส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ โดยรอบอย่างถ้วนหน้า

ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายของตนถูกระงับไว้และไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ จอมยุทธ์จากเกาะวายุนิ่งก็ได้รับผลกระทบไปอย่างมากเช่นกัน เดิมทีที่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเหนือกว่า ทว่าพวกเขาก็ถูกควบคุมไว้อย่างรวดเร็วและกลับกลายเป็นสูสีเท่าเทียมกันอีกครั้ง

ในทางตรงกันข้าม สำหรับคนของฝ่ายมาร พลังความมืดจากบุปผาแห่งความมืดที่แผ่ออกมาก็ช่วยเสริมพลังความมืดให้กับพวกเขาและช่วยเติมเต็มพลังงานตลอดเวลา ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงฟื้นฟูกลับสู่ระดับสูงสุดและคลื่นพลังที่แผ่ออกมาก็แกร่งกล้ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“เหอะ ต้องยอมรับว่าบุปผาแห่งความมืดนั้นทรงพลังจริง ๆ แต่มันก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก !”

ไป๋ฉี่และอสูรทั้งสองหันมองหน้ากันขณะพลังวิญญาณเอ่อล้นออกมาจากปลายนิ้วมือและตรงเข้าโจมตีบุปผาแห่งความมืดอย่างไม่รีรอ

ไป๋ฉี่คือวิญญาณหอคอย หานอวี้ก็คือมังกรทองห้าเล็บและหยกขาวพันปีก็บ่มเพาะพลังนานนับพันปีจนจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เนื่องจากพวกมันทั้งสามเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่เรียกได้ว่าฟ้าประทานมา ทั้งสามจึงไม่ได้รับผลกระทบจากพลังความมืดมากนัก

ตูมมม !

พลังของทั้งสามชีวิตและพลังของบุปผาแห่งความมืดปะทะกันกลางอากาศอย่างรุนแรงและทำให้ทั่วบริเวณสั่นคลอนซึ่งเป็นสถานการณ์การต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“คิดว่ามันจะจบแค่นี้รึ ?”

เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งสามที่ต่อสู้กับบุปผาแห่งความมืดอย่างไม่เกรงกลัว ผู้นำฝ่ายมารก็แสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนโบกมือและอสูรร่างยักษ์ใหญ่ปรากฏตัวข้างหลังเขาทันที

“มังกรดึกดำบรรพ์ !”

ฉินอวี้โม่กำลังซ่อมแซมม่านป้องกันพร้อมทั้งเฝ้าสังเกตสถานการณ์การต่อสู้อย่างจดจ่อ ทว่าเมื่อเห็นอสูรขนาดมหึมาปรากฏตัวข้างหลังฮวาเฉิน สีหน้าของนางก็แสดงถึงความระแวดระวังขึ้นมา

ในยุคสมัยโบราณ มังกรดึกดำบรรพ์ถือเป็นมังกรที่ทรงพลังอย่างมากในเผ่าพันธุ์มังกร ทว่าพวกมันก็ถูกเรียกว่าเป็นขยะชั่วช้าของเผ่าพันธุ์มังกรเช่นกัน มังกรดึกดำบรรพ์เป็นมังกรที่โหดร้ายและเจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติ อีกทั้งพวกมันยังดุร้ายและกระหายสงคราม พวกมันทรงพลังอย่างมากและสิ่งที่โปรดปรานที่สุดคือการได้กินมนุษย์ เรียกได้ว่ามีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อยที่ต้องล้มตายภายใต้กรงเล็บของมัน ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งสมาชิกในเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมันเอง พวกมันก็ยังไม่เว้น

เมื่อพันปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์ความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นในเผ่ามังกร มังกรดึกดำบรรพ์กัดกินผู้อาวุโสสี่ตนของเผ่ามังกรไปและทำให้เทพมังกรบาดเจ็บสาหัสก่อนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มันไม่เคยปรากฏตัวในสงครามครั้งประวัติศาสตร์ครานั้นด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นกลายเป็นอสูรพันธสัญญาของฮวาเฉินผู้นี้ไปได้

“เจ้ากบฏทรยศของเผ่ามังกร !”

เมื่อหานอวี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมังกรดึกดำบรรพ์ ความโกรธแค้นอย่างที่สุดก็ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าเล็ก ๆ ของมัน เรียกได้ว่ามังกรทองห้าเล็บมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ของเทพมังกรอยู่และมีความอาฆาตแค้นที่ไร้ที่สิ้นสุดกับมังกรดึกดำบรรพ์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เผ่ามังกรได้พยายามตามหาเบาะแสของมังกรดึกดำบรรพ์มาตลอด ทว่าไม่ได้รับเบาะแสใด ๆ จนต่างก็คิดกันไปว่ามังกรดึกดำบรรพ์สูญพันธุ์ไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีบางตนที่เหลือรอดอยู่

“หึ ก็แค่มังกรทองห้าเล็บตัวเล็ก ๆ หากข้าได้กินเจ้า ความแข็งแกร่งของข้าจะพัฒนาเป็นอย่างมาก”

มังกรดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ยักษ์มองตรงไปที่หานอวี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงแววตาดุร้าย

“มังกรทองห้าเล็บ เมื่อเจ้ากลายเป็นอาหารของข้าผู้นี้ ข้าจะเดินทางไปที่เผ่ามังกรด้วยตัวเอง พวกมังกรทองห้าเล็บของเจ้าหยิ่งผยองมานานเกินไปและถึงเวลาต้องกำจัดพวกเจ้าออกไปเสียที”

มันกล่าววาจาอย่างเย่อหยิ่งและไม่เห็นหานอวี้อยู่ในสายตาเลยสักนิด

“เจ้าฝันไปเถอะ ! ก่อนที่จะได้กินนายน้อยผู้นี้ เกรงว่าซี่ฟันของเจ้าคงต้องร่วงหมดปากไปเสียก่อน !”

หานอวี้ไม่มีท่าทางหวั่นเกรงใด ๆ แต่ก็ไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน ความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ยังเทียบชั้นมังกรดึกดำบรรพ์ตรงหน้าไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ซิวอยู่ไม่ไกลและมันก็ถือว่าเป็นมังกรเช่นกัน เพราะเหตุนั้นซิวจะไม่อยู่เฉยและทนต่อความโอหังของอสูรยักษ์ใหญ่ตัวนี้แน่

“ได้ยินมาว่าเทพอสูรกลับมาแล้ว น่าขันจริงเชียว นอกจากข้าผู้นี้ยังมีใครหน้าไหนที่คู่ควรกับตำแหน่งเทพอสูรอีกรึ !”

มังกรดึกดำบรรพ์แค่นเสียงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมถากถาง อย่างไรก็ตาม สำหรับสายพันธุ์มังกรดึกดำบรรพ์ หากพวกมันมีพลังอำนาจอยู่ในระดับสูงสุดนั้น ต้องยอมรับว่าพวกมันก็มีพลังมากพอที่จะประจันหน้ากับเทพอสูรได้จริง ๆ

“ฝีมือมีไม่มาก ทว่ากลับมีฝีปากที่ยโสโอหังยิ่งนัก ! แมลงตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเทียบชั้นกับเทพอสูรผู้นี้เลยสักนิด !”

เสียงของซิวดังขึ้นในหูของทุกคนซึ่งยังคงทรงพลังและน่าเกรงขามเช่นเคย

โครมมม !

ทันใดนั้น มังกรดึกดำบรรพ์กลางอากาศก็รู้สึกราวกับถูกเตะอย่างแรงจนร่วงลงกระแทกพื้นดินจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีสภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย

“บัดซบ เจ้าเป็นใครกัน ?!”

มันบินขึ้นบนอากาศอีกครั้งขณะสายตาจับจ้องอยู่ที่ซิวผู้ซึ่งยืนผงาดอยู่กลางอากาศ

“ไม่คิดเลยว่านอกจากสมองจะไม่ดีแล้ว หูของเจ้าก็จะไม่ดีด้วยเช่นกัน”

ซิวแสยะยิ้มและพุ่งตรงเข้าไปอยู่ตรงหน้ามังกรดึกดำบรรพ์อย่างรวดเร็วก่อนปล่อยหมัดเข้าใส่อย่างแรง

“อ๊ากกก !”

มังกรดึกดำบรรพ์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและร่างของมันที่เพิ่งทรงตัวได้กลางอากาศก็ร่วงกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเกิดเป็นหลุมที่มีความลึกยิ่งกว่าเดิม

“ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ !”

ทันทีที่สิ้นเสียงโกรธแค้นนี้ พื้นดินโดยรอบก็เปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่านและจมฮวบลงไปเล็กน้อย น่านน้ำนอกเกาะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่อาจควบคุมและท่วมร่างของมังกรดึกดำบรรพ์อย่างรวดเร็ว

“กรรรร !”

ด้วยเสียงคำรามดัง น้ำทะเลก็เปลี่ยนกลายเป็นน้ำพุขนาดใหญ่และพุ่งตรงเข้าโจมตีซิวอย่างรวดเร็ว

“ไม่รู้จักประมาณตน !”

ซิวแสยะยิ้มและเพลิงแห่งชีวิตของมันก็ก่อตัวกลายเป็นกระบี่เล่มยาวที่ฟาดฟันออกไปตรงกลางน้ำพุขนาดใหญ่ตรงหน้า

โครมมม !

กระบวนท่าโจมตีของมังกรดึกดำบรรพ์ถูกทำลายไปในชั่วพริบตาและสายน้ำเหล่านั้นก็สาดกระเซ็นไปทั่วเหนือศีรษะของทุกคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่

“ไปลงนรกซะ !”

แม้มีขนาดใหญ่มหึมา มังกรดึกดำบรรพ์ก็มีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวเป็นอย่างมาก มันพุ่งไปอยู่ตรงหน้าซิวได้อย่างรวดเร็วและกรงเล็บขนาดใหญ่ขย้ำออกไปหมายจะปลิดชีวิตอีกฝ่ายให้จงได้

ตูมมม !

ซิวสะบัดมือเบา ๆ เพื่อป้องกันการโจมตีนั้นและผลักมังกรดึกดำบรรพ์ออกไปโดยที่ร่างของมันก็ถอยหลังไปประมาณห้าก้าว

ร่างใหญ่ยักษ์ของมังกรดึกดำบรรพ์ก็กระเด็นถอยหลังไปถึงหลายสิบก้าวก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง ทว่าคนของฝ่ายมารจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นก็ถูกร่างใหญ่ของมันกระแทกจนกระเด็นตกลงน้ำทะเลไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เหอะ !”

ขณะพยายามควบคุมพลังความมืดของตนเพื่อทำลายม่านป้องกัน ฮวาเฉินก็มองเห็นมังกรดึกดำบรรพ์ของตนเองที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบและอดแค่นเสียงออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็แผ่แรงกดดันตรงไปที่ซิวทันที

ฮวาเฉินทราบถึงความแข็งแกร่งของซิวดีกว่าใครและมันในตอนนี้แกร่งกล้ายิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก แม้มังกรดึกดำบรรพ์จะทะนงในฝีมือของตนเพียงใด มันก็มิอาจเทียบชั้นกับซิวได้เลย

สีหน้าของซิวไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและมันแผ่พลังออกไปเพื่อขัดขวางแรงกดดันของผู้นำฝ่ายมาร อย่างไรก็ตาม ร่างของมันก็ถอยพรืดไปนับสิบก้าวอย่างรวดเร็ว ต้องยอมรับว่าฮวาเฉินที่ถือครองบุปผาแห่งความมืดแข็งแกร่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเป็นอย่างมาก

ภายในม่านป้องกันของเกาะไร้กังวล ม่านที่เคยอ่อนแอก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวและแข็งแกร่งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป อู๋ฉงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ดูเหมือนว่าภายในเวลาเพียงสองก้านธูป ม่านป้องกันรอบเกาะก็จะได้รับการซ่อมแซมจนสมบูรณ์

แน่นอนว่าฮวาเฉินซึ่งอยู่ด้านนอกและจดจ่อกับการทำลายมันย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นกัน เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและกระบี่เล่มยาวปรากฏขึ้นในมือ กลุ่มอากาศสีดำทะมึนได้ก่อตัวรวมกันรอบกระบี่เล่มนั้นจนทำให้มันดูน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

“ทำลายม่านป้องกันนี่ให้ข้าซะ !”

หลังเสียงตะโกนอย่างเด็ดขาด ร่างของเขาก็เหาะขึ้นกลางอากาศและกระบี่ยาวในมือของเขาก็ยืดขยายออกไปจนมีความยาวหลายสิบจั้งโดยที่ผสมผสานเข้ากับพลังความมืดที่มหาศาล จากนั้นการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็พุ่งตรงไปยังม่านป้องกันข้างหน้า

“ฝันไปเถอะ !”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันขณะพลังวิญญาณแผ่ออกจากมือของทั้งสองก่อนก่อตัวกลายเป็นเกราะป้องกันกลางอากาศซึ่งขวางกั้นกระบี่ยาวของอีกฝ่ายโดยตรง

โครมมม !

ด้วยเสียงดังสนั่น กระบี่ยาวที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลก็กระแทกเข้ากับเกราะป้องกันขนาดใหญ่และพลังงานจากการปะทะนี้ก็กวาดออกไปโดยรอบและส่งผลกระทบกับทุกคนที่กำลังต่อสู้

บรรดาจอมยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับต่ำต่างก็ได้รับแรงกระแทกอย่างแรงจนกระอักเลือดและล้มลง ในขณะที่คนที่แข็งแกร่งกว่ารู้สึกได้ถึงเลือดที่พลุ่งพล่านในร่างกายจนแทบไม่สามารถควบคุมความเสถียรของพลังในร่างกายได้

ซิวและมังกรดึกดำบรรพ์โฉบออกไปได้ทันเวลาจึงไม่ได้รับผลกระทบใดจากการปะทะนี้

กลุ่มเด็กสามชีวิตที่นำโดยไป๋ฉี่ซึ่งกำลังติดพันอยู่กับการประจันหน้ากับบุปผาแห่งความมืดก็ไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากนัก

ต้องกล่าวเลยว่าบุปผาแห่งความมืดน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ไป๋ฉี่ หานอวี้และหยกขาวพันปีที่จัดว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังและแกร่งกล้าในดินแดนนั้น ทว่าแม้รวมพลังกันต่อสู้ พวกมันก็แทบจะรับมือกับบุปผาแห่งความมืดไว้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น บุปผาแห่งความมืดในตอนนี้ก็ยังมิใช่สภาวะโตเต็มวัยด้วยซ้ำ เมื่อมันโตเต็มวัยเมื่อไหร่ พลังของมันคงจะเหนือชั้นจนเกินจินตนาการ

“เสี่ยวโพธิ์ เจ้าไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องเอาชนะมัน เพียงถ่วงเวลาให้ได้สักสองก้านธูปก็พอ”

ฉินอวี้โม่ถ่ายทอดคำพูดตรงไปยังเสี่ยวโพธิ์ที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ มันจะมิใช่เรื่องดีแน่ และนางก็เชื่อว่าฮวาเฉินไม่ได้มีพลังเพียงเท่านี้ เขาคงจะมีไพ่ตายอื่นที่ซ่อนเอาไว้อีกโดยที่ยังไม่ได้แสดงออกมา

“ได้เลย”

เสี่ยวโพธิ์กล่าวตอบรับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนพุ่งตรงออกไปปรากฏตัวข้างกลุ่มของไป๋ฉี่ ในตอนนี้มันไม่ได้จำแลงร่างมนุษย์เป็นเด็กหนุ่มเช่นเดิมทว่าเป็นต้นโพธิ์ขนาดเล็ก ต้นไม้ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือลอยกลางอากาศตรงหน้าบุปผาแห่งความมืดทว่านั่นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลในทันที

“ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ !”

สีหน้าของฮวาเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยและมิอาจล่วงรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด อย่างไรก็ตาม สีหน้าประหลาดดังกล่าวก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

กระบี่ยาวในมือของเขาฟาดตรงไปที่ม่านป้องกันรอบเกาะไร้กังวลอีกครั้งเพื่อก่อกวนมิให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซ่อมแซมมันได้สำเร็จ

ทั้งสองก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยขณะแบ่งพลังส่วนหนึ่งของตนออกไปเพื่อรับมือกับผู้นำฝ่ายมารในขณะที่พลังส่วนที่เหลือยังคงจดจ่อกับการซ่อมแซมม่านป้องกัน ในตอนนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็กำลังสูญเสียพลังงานในร่างกายไปอย่างรวดเร็ว

“เหอะ คิดว่าแค่นี้จะหยุดข้าได้งั้นรึ !”

ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชา ด้วยความช่วยเหลือของบุปผาแห่งความมืด เรียกได้ว่าพลังของเขาแทบที่จะเติมเต็มได้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าหากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ เขาจะเป็นฝ่ายชนะและทำลายม่านป้องกันรอบเกาะได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วและม่านพลังที่อ่อนแออย่างมากในตอนแรกก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแรงกดดันที่ฮวาเฉินแผ่ตรงมายังฉินอวี้โม่และทุกคนจึงค่อย ๆ ลดน้อยลงไปโดยปริยาย

ในการต่อสู้ระหว่างซิวและมังกรดึกดำบรรพ์ ซิวก็รักษาความได้เปรียบของตนเองไว้ได้ตลอด ทว่ามันก็ยังสังหารอีกฝ่ายไม่ได้ ส่วนเสี่ยวโพธิ์และอสูรทั้งสามก็ยังคงประจันหน้ากับบุปผาแห่งความมืดเช่นกันทว่ายังไม่มีหนทางเอาชนะได้

คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็หยุดต่อสู้กันแล้วและเพียงเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ถึงอย่างไรการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมเท่าใดนักและกุญแจสำคัญในการนำไปสู่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ทั้งสามจุดที่ยังคงดำเนินไป

ชิ้งงง !

เสียงประหลาดดังขึ้นขณะม่านป้องกันเปล่งแสงสว่างจ้า ในที่สุดม่านป้องกันก็ได้รับการซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ ด้วยความแข็งแกร่งของฮวาเฉินในตอนนี้ ต่อให้มีบุปผาแห่งความมืดที่ทรงพลังก็ไม่มีทางที่จะฝ่าทะลวงผ่านม่านดังกล่าวได้

อู๋ฉงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ม่านป้องกันได้รับการซ่อมแซมแล้ว และนั่นหมายความว่าจะไม่มีเรื่องร้ายใดที่สามารถย่างกรายเข้ามาในเกาะไร้กังวลได้อีก

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือวางมือลงพร้อม ๆ กัน เรียกได้ว่าพลังวิญญาณของทั้งสองถูกใช้ไปจนเกือบหมด หากมิใช่เพราะการซ่อมแซมที่เสร็จสมบูรณ์ได้ทันท่วงที เกรงว่ามันอาจไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีเต็มกำลังของฮวาเฉินได้

“เหอะ คิดว่าพวกเจ้าชนะแล้วอย่างนั้นรึ ?”

ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชาและจู่ ๆ ก็ถอนพลังกลับไป ทันใดนั้นเขาก็พุ่งตรงไปหมายจะคว้าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาครอบครอง

ฮวาเฉินเชื่อว่าตราบใดที่เขาฉกฉวยเอาต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปได้ ต่อให้ฉินอวี้โม่จะได้บุปผาแห่งแสงมาครอง นางก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้ !