ตอนที่ 1939 ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1939 ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?

ในเมื่อเจตนาการเชื้อเชิญของอีกฝ่ายยังไม่ชัดเจน เขาก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง

แม้จางเซวียนจะมั่นใจว่าไม่มีใครเหนือชั้นไปกว่าเขาได้ในหอนิรันดร์ แต่ในโลกของความเป็นจริง ตัวเขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติเท่านั้น แข็งแกร่งพอที่จะเป็นใหญ่ได้แค่ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองชวนเจียง หากเป็นเมืองแสงดาวและเมืองที่อยู่ในระดับขั้นสูงกว่า ก็น่าจะมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายที่ทรงพลังกว่าเขา

“ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรหรอก” การที่เจ้าโลกเลือกแนะนำตัวโดยใช้ฉายาแทนชื่อจริงทำให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้ว่าอีกฝ่ายยังระแวง

เขายิ้มอย่างสุภาพ “ผมได้ดูบันทึกภาพการดวลระหว่างคุณกับพวกเขาแล้ว ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของคุณจัดว่าไร้เทียมทานจริงๆ…แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังเข้าสู่ด่านคอขวดในศิลปะเพลงดาบ สำหรับผู้ที่มีความสามารถระดับคุณ การจะพัฒนาตัวเองให้เหนือชั้นไปกว่านี้ย่อมไม่ง่าย คุณต้องการทรัพยากรและคำชี้แนะ หากคุณยังคงเป็นนักรบพเนจรต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีวันก้าวข้ามด่านคอขวดไปได้…”

“ผมจึงอยากเชื้อเชิญด้วยความจริงใจให้คุณเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินของเรา!”

ศิลปะเพลงดาบของนักรบคนหนึ่งสะท้อนถึงบุคลิกของผู้นั้น ซึ่งสิ่งที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้สึกได้จากศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนคือความเด็ดเดี่ยว เขาจึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น

“คุณเชิญผมให้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินหรือ?” จางเซวียนเข้าใจว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเรียกตัวเขามาเพื่อคิดจะสั่งสอนบทเรียน จึงคลายความระแวดระวังลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากเชิญเขา

“หัวเจียงเหอกับเฉว่เหยาเทียบชั้นกับคุณไม่ได้เมื่อมีวรยุทธระดับเดียวกัน ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของคุณ คุณจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในทันทีที่เข้าสู่สำนักของเรา ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายใน คุณจะได้เล่าเรียนศิลปะเพลงดาบชั้นสูง อีกทั้งมีผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอีกมากมายให้คุณได้แลกเปลี่ยนความรู้และดวลกับพวกเขา ผมเชื่อว่าคุณจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้!”

การที่จางเซวียนเอาชนะศิษย์พี่หมายเลข 1 ของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอกได้อย่างง่ายดายก็หมายความว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน

“เอ่อ…ผมเกรงว่าคงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อน” จางเซวียนยังไม่ตอบรับ

สำนักดาบเมฆเหินคือหนึ่งในกลุ่มอำนาจหลักของมิติเบื้องบน ถ้าเขาสามารถใช้เส้นสายนี้เพื่อตามหาหลัวลั่วชิง อะไรๆก็จะสะดวกและง่ายกว่าเดิมมาก

แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน แม้สำนักดาบเมฆเหินจะมอบความปรารถนาดีให้ แต่เขาก็ต้องมีความจงรักภักดีเป็นการตอบแทน ซึ่งจางเซวียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองระหว่าง 6 สำนักใหญ่ และไม่อยากพัวพันกับกิจธุระของพวกนั้น มันจะเป็นปัญหายุ่งยากยืดเยื้อถ้าเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน

“ได้สิ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมก็ไม่คาดหวังให้คุณให้คำตอบตอนนี้หรอก” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า

“ผู้อาวุโสลู่ มีบางคำถามที่ผมอยากถามคุณ หวังว่าคงไม่เป็นการล่วงเกิน” จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโสลู่อวิ๋น

“ไม่อย่างแน่นอน พูดมาเลย!”

“ไม่ทราบว่า…คุณเคยได้ยินชื่อสถานที่ที่เรียกว่าตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณบ้างไหม?” จางเซวียนถามอย่างกระวนกระวาย

“ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นครุ่นคิดหนักก่อนจะส่ายหน้า “ผมไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แบบนั้น”

“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโสลู่อย่างตั้งใจขณะที่อีกฝ่ายพูด มีความผิดหวังเจืออยู่ในน้ำเสียงของเขา

“ผมเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน หน้าที่หลักของผมคือชี้แนะบรรดาศิษย์สายตรงรุ่นหลัง เกรงว่าผมจะมีความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของทวีปแห่งนี้ไม่มากพอ แต่สำนักของเรามีหนังสือมากมายที่อธิบายรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอำนาจอันหลากหลายในทวีปที่ถูกลืม ผมเชื่อว่าคุณจะได้พบสิ่งที่คุณต้องการจากที่นั่น” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นดูปั่นป่วนใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รีบตั้งตัวและตอบอย่างสุขุม

แม้ตัวเขาจะมีเกียรติในฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน แต่เรื่องจริงก็คือเขาอยู่ในระดับขั้นต่ำสุด ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับหรือได้รู้เห็นเรื่องเหล่านั้น

ในเมื่อตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่อีกฝ่ายพูดถึงมีคำว่า ‘เทพเจ้า’ อยู่ ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งคนระดับเขาไม่มีโอกาสรับรู้

“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า

อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่มีหน้าที่รับศิษย์สายตรงระดับล่างและศิษย์สายตรงฝ่ายนอก จึงไม่น่าจะมีความเข้าใจมากมายอะไรในความลับของบุคคลระดับสูงกว่า

“อ้อ ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่ผมอยากขอความรู้ ผมรู้ว่าระดับขั้นของวรยุทธแบ่งออกเป็นระดับเซียน ระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และระดับนักปราชญ์โบราณ แต่ผมอยากรู้ว่าที่สูงไปกว่านั้นคืออะไร?” จางเซวียนถาม

“วรยุทธขั้นสูงสุดของนักปราชญ์โบราณคือผู้ทำลายล้างมิติ ส่วนที่สูงไปกว่านั้นคือวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ นักรบขั้นเสมือนอมตะจะไม่สะทกสะท้านต่อเปลวไฟ จิตวิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์ราวกับทองคำ เพียงแค่ใช้ความคิด ก็สามารถทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ตัวผมในเวลานี้เป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้าเมืองของเมืองแสงดาว วรยุทธขั้นเสมือนอมตะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อย คือขั้นเสมือนอมตะระดับล่าง เสมือนอมตะระดับสูง เสมือนอมตะปฐพี และเสมือนอมตะสรวงสวรรค์…”

“…ที่สูงขึ้นไปกว่านักรบขั้นเสมือนอมตะคือนักรบอมตะตัวจริง นักรบอมตะตัวจริงคือผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในทวีปที่ถูกลืม ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ใน 6 สำนักใหญ่มีวรยุทธระดับนั้น ส่วนผู้ที่พัฒนาตัวเองไปได้ไกลกว่านั้นอีกเป็นที่รู้จักในชื่อนักรบอมตะขั้นสูง พวกเขาได้รับการขนานนามว่าราชาผู้เป็นอมตะ…มีแต่เหล่าผู้อาวุโสคนสำคัญของสำนักดาบเมฆเหินเท่านั้นที่สำเร็จวรยุทธระดับนี้!”

ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ นี่คือระดับขั้นของวรยุทธทั้งหมดเท่าที่ผมรู้ สรวงสวรรค์นั้นไร้ขอบเขต จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีวรยุทธที่สูงไปกว่านักรบอมตะขั้นสูง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมมีสิทธิ์จะได้รับรู้…การฝึกฝนวรยุทธนั้นไม่ง่าย ยากที่จะพัฒนาได้ไกลหากปราศจากกลุ่มอำนาจหนุนหลัง อีกทั้งทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธในโลกใบนี้ก็มีจำกัด ดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง คำถามที่คุณเพิ่งถามผมถือเป็นความรู้ทั่วไปในหมู่ศิษย์สายตรงธรรมดาสามัญ แต่คุณยังต้องมา เจาะจงถามผมเป็นพิเศษ!”

“นักปราชญ์โบราณ นักรบเสมือนอมตะ นักรบอมตะตัวจริง นักรบอมตะขั้นสูง” จางเซวียนพยักหน้าขณะบันทึกความรู้เหล่านั้นลงในหัวสมอง

“ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของคุณและการแนะนำจากผม คุณจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในอย่างง่ายดาย ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพักอยู่ที่ไหน? ถ้าเป็นไปได้ ผมคิดว่าน่าจะดีกว่าหากเราทั้งคู่ได้หารือเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง อีกอย่าง เรื่องนี้สำคัญมากต่ออนาคตของคุณ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด

ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะพูดอะไรกันที่นี่ ก็เป็นเพียงข้อตกลงเลื่อนลอย เขาอยากพบชายผู้นี้เป็นการส่วนตัวในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นมนุษย์หรืออสูรก็ตาม

“ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองชวนเจียง เชื่อว่าในที่สุดเราก็คงได้พบกัน แต่…ยังมีบางอย่างที่ผมต้องขอรบกวนศิษย์พี่หัว” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย

“คุณอยู่ที่เมืองชวนเจียงหรือ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสบตากับหัวเจียงเหอทันทีขณะเกิดความกังขาในใจ

มีนักรบที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในเมืองล้าหลังอย่างเมืองชวนเจียงด้วยหรือ?

“หากเป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมจะทำอย่างดีที่สุด” หัวเจียงเหอประสานมือ

เขาดูออกว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตั้งใจจะนำเจ้าโลกเข้าสู่สำนัก ดังนั้น แม้จะไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่เท่าไหร่ แต่ก็ ‘อยู่เป็น’ เกินกว่าจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นออกไป

“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จางเซวียนส่งโทรจิตหาหัวเจียงเหอ เมื่อจบเรื่อง เขาประสานมือและโค้งคำนับ “ผมขอรบกวนศิษย์พี่หัวเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้ผมยังมีธุระอื่นที่ต้องจัดการ จึงไม่อยากรบกวนพวกคุณแล้ว ลาก่อน!”

หลังจากได้รู้ในสิ่งที่ต้องการ จางเซวียนก็ไม่อยากจะอยู่ในห้องลับแห่งนี้อีก

เขากลับไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าของหอนิรันดร์และสอบถาม “ไม่ทราบว่าที่นี่มีอะไรที่จะทำให้นักรบฟื้นฟูพละกำลังได้อย่างรวดเร็วไหม?”

“ถ้าคุณเป็นนักปราชญ์โบราณ ก็ควรจะทดลองยาเม็ดอมตะขั้นต่ำ ราคาเม็ดละ 100,000 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่ตอบ

“แม้แต่ขั้นต่ำก็ยังราคาสูงถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์หรือ?”

ดูเหมือนหอนิรันดร์จะทำให้จางเซวียนตกใจไม่หยุดไม่หย่อนกับราคาค่างวดของสินค้าแต่ละชิ้น เขารู้สึกเหมือนองค์กรแห่งนี้พยายามทุกวิถีทางที่จะปล้นทุกเหรียญนิรันดร์ที่เขาหามาได้

ด้วยความขี้เหนียว จางเซวียนพยายามสืบเสาะหาข้อมูล ซึ่งก็กลายเป็นว่าราคาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่

โดยทั่วไป ยาเม็ดอมตะจะถูกใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนในหมู่ชนชั้นสูงของมิติเบื้องบน ด้วยประโยชน์หลากหลายของมัน จึงไม่มีนักรบคนไหนไม่อยากได้ ความต้องการสินค้าชนิดนี้จึงมีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับหินวิเศษในทวีปแห่งปรมาจารย์

ยาเม็ดอมตะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อย คือยาเม็ดอมตะขั้นต้น ใช้กับนักรบขั้นเสมือนอมตะ, ยาเม็ดอมตะทั่วไป ใช้กับนักรบอมตะตัวจริง และยาเม็ดอมตะขั้นสูง ใช้กับนักรบอมตะขั้นสูง ส่วนยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษนั้นหายากถึงขนาดที่ต่อให้มีเงินก็แทบไม่อาจหาได้ในท้องตลาด มีผู้คนไม่มากนักที่มีโอกาสได้เห็นมัน

ในเมื่อยาเม็ดชนิดนี้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กันทั่วไปในหมู่ชนชั้นสูง อีกทั้งเป็นทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธที่สำคัญกับนักรบขั้นเสมือนอมตะ จึงพอเข้าใจได้ที่จะมีราคาสูง แต่ถ้าจางเซวียนต้องใช้เงินถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์ในการซื้อยาแต่ละเม็ด เงินน้อยนิดที่เขาเพิ่งหาได้ก็คงหมดเกลี้ยงในพริบตา

จางเซวียนใช้เงินที่เหลืออยู่ซื้อยาเม็ดอมตะขั้นต้นเม็ดหนึ่งก่อนจะมองหน้าเจ้าหน้าที่ด้วยความอยากรู้ “ผมถามหน่อยเถอะ ดูเหมือนหอนิรันดร์จะขายทุกอย่าง ไม่ทราบว่าขายหนังสือเทคนิควรยุทธหรืออะไรทำนองนั้นด้วยไหม?”

“ขายสิ” เจ้าหน้าที่พยักหน้า “แต่เทคนิควรยุทธที่เรามีคือเทคนิคที่ผู้คนฝึกฝนกันทั่วไป หากเป็นเทคนิควรยุทธเฉพาะของ 6 สำนักใหญ่ ผมเกรงว่าเราจะไม่มีขาย”

ไม่มีทางที่ 6 สำนักใหญ่จะปล่อยให้เทคนิควรยุทธของตัวเองรั่วไหล หากหอนิรันดร์ทำการลอกเลียนและนำมาขาย ก็คงต้องมีปัญหาเดือดร้อนเพราะความไม่พอใจของ 6 สำนักใหญ่นั้น

หากเป็นแค่การดวล, 6 สำนักใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหอนิรันดร์ เพราะไม่ขัดผลประโยชน์ของพวกเขา แต่ถ้าหอนิรันดร์กล้าสั่นคลอนรากฐานของคนเหล่านั้น ก็ย่อมกลายเป็นการระเบิดสงครามเต็มรูปแบบ

เพราะเหตุผลนี้ หอนิรันดร์จึงเติบโตมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและขยายสาขาออกไปทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม