บทที่ 725 ลำแสงประทานพรสี่สาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ลำแสงสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากขอบฟ้าทางทิศเหนือ

เป็นประกายสว่างไสว

แผ่รัศมีศักดิ์สิทธิ์กว้างขวาง

ลำแสงสายนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากลำแสงของเทพีกระบี่

มันยิงตรงเข้ามาทางสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง

และเจาะจงครอบคลุมรูปปั้นของหลินเป่ยเฉิน

ตอนแรกหลินเป่ยเฉินไม่อยากออกหน้าออกตาอะไรมาก แต่เพราะทนกระแสเรียกร้องของผู้คนไม่ไหว สุดท้ายเขาก็ต้องสร้างรูปปั้นของตนเองมาตั้งไว้หน้าประตูสถานศึกษา

รูปปั้นตัวนี้เขาออกแบบด้วยตนเองทุกตารางนิ้ว

หลินเป่ยเฉินจำลองมันมาจากรูปถ่ายของตนเองในโทรศัพท์มือถือ

เขาตั้งชื่อมันว่ารูปปั้นลูกแกะผู้หลงทาง

ลำแสงสายใหม่นั้นยิงเข้ามาครอบคลุมรูปปั้นตัวนี้

เมื่อรูปปั้นของหลินเป่ยเฉินมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลซึมเข้าไป มันก็ระเบิดรัศมีสีขาวสว่างวาบแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกว่าสถานศึกษาแห่งนี้เป็นอาณาจักรของเทพเจ้าอย่างแท้จริง

“เอ๋ นี่มันการประทานพรครั้งที่สามแล้วนะ”

“มีใครเคยได้ยินไหมว่าเทพีกระบี่ประทานพรให้ใครมากมายขนาดนี้บ้าง?”

“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่? ครั้งนี้มันแสงสาดลงมาที่รูปปั้นของคุณชายหลิน นี่หมายความว่าอย่างไรกันนะ?”

“เจ้าว่ามันหมายความว่าอย่างไรล่ะ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

“พรืด…”

“อย่าหัวเราะนะ อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์แล้วว่าคุณชายหลินเป็นที่รักของเทพีกระบี่จริงๆ มิฉะนั้นแล้ว เทพีกระบี่จะสาดลำแสงมาบนรูปปั้นของเขาเพื่ออะไร? ขนาดองค์จักรพรรดิยังไม่เคยได้รับการอำนวยอวยพรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ”

“จริงด้วยสินะ”

กระแสแห่งความตกตะลึงแผ่ปกคลุมผู้คนที่รับชมพิธีเปิด

โดยเฉพาะกับพ่อบ้านหวังจงและบริวารซึ่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนดูตามพื้นที่ต่างๆ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิมหลายเท่า…

เมื่อเห็นดังนี้ ผู้คนจำนวนมากก็อยากจะส่งบุตรหลานของตนเองมาเข้าเรียนที่สถานศึกษาของหลินเป่ยเฉินแล้ว

บนเวทีขณะนี้

ปากที่อ้ากว้างของหลินเป่ยเฉินก็หุบลงอย่างช้าๆ

ใจเย็นก่อน

นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

หลินเป่ยเฉินพยายามเตือนตนเองไม่ให้ออกอาการมากเกินไป

เขาจะปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเขาเองก็กำลังตกใจเช่นกัน

แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ลำแสงแรกมาจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามบนดินแดนทวยเทพ

ลำแสงสายที่สองก็มาจาก ‘เยว่เว่ยหยาง’

ส่วนลำแสงที่สาม…

เอ่อ

มาจากไหนกันนะ?

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีระดับพลังต่ำต้อยอีกแล้ว แต่เขาก็สัมผัสอะไรไม่ได้เลย

ลำแสงประทานพรทั้งสามสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับพลัง หรือสีสัน รวมไปถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมา ต่างก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งสิ้น

ถ้าบอกว่าพวกมันเป็นการปล่อยพลังมาจากเทพีกระบี่เพียงผู้เดียว ก็คงไม่มีผู้ใดผิดสังเกต

เพราะฉะนั้น

นี่จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากจะบอกออกไปว่า ลำแสงสามสายเหล่านี้คือการประทานพรจากเทพีกระบี่ทั้งหมด

แต่ปัญหาที่หาคำตอบไม่ได้ในใจของหลินเป่ยเฉินก็คือ ในเมื่อลำแสงสองสายแรกเป็นฝีมือของพวกเทพีกระบี่ทั้งองค์เก่าและองค์ใหม่… ถ้าอย่างนั้น ลำแสงสายที่สามเป็นฝีมือของใครกันล่ะ?

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

แต่เขาไม่แน่ใจ

“อะแฮ่ม…”

หลินเป่ยเฉินกระแอมไอและกล่าวต่อ “ทุกท่านคงเห็นแล้วสินะว่าเทพีกระบี่ให้ความสำคัญต่อสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งมากมายขนาดไหน มิฉะนั้นแล้ว พระองค์คงไม่มอบลำแสงประทานพรออกมาถึงสะ…”

เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ

วาบ!

ลำแสงศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งสายก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่เขตสี่ของนครเจาฮุย

มันแผ่รัศมีปกคลุมทั่วตัวเมืองพื้นที่เขตสี่

ก่อนที่ลำแสงเหล่านั้นจะรวมตัวกันพุ่งผ่านอากาศตรงมายังสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง

“ดูสิ มีลำแสงประทานพรอีกแล้ว”

“ให้ตายเถอะ นี่เท่ากับเป็นการประทานพรครั้งที่สี่แล้วนะ”

“ทำไมที่นี่ถึงได้รับพรเยอะขนาดนี้”

เห็นดังนั้น ผู้คนที่อยู่ร่วมพิธีเปิดสถานศึกษาต่างก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึงสุดขีด

ครั้งนี้ แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถปิดบังความตกตะลึงของตัวเองได้อีกแล้ว

เขาอ้าปากกว้างจนสามารถกลืนไข่เป็ดได้ทั้งใบ

ดวงตาเบิกโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

อีกแล้วหรือ?

สมองของเด็กหนุ่มพยายามหาคำตอบด้วยความสับสน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะพอเดาได้ว่าลำแสงสายที่สามมาจากไหน เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นฝีมือของไป๋ชินหยุนซึ่งขณะนี้น่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในนครเจาฮุยอย่างแน่นอน นางเคยขัดขวางเขาไม่ให้มาที่เมืองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง

และในอดีต นางก็เคยหนุนหลังพวกตระกูลเว่ย สร้างอภินิหารจอมปลอมแอบอ้างนามของเทพีกระบี่หลอกลวงผู้คนมาแล้ว

นี่จึงเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลมากที่สุด

แต่ลำแสงสายที่สี่… หลินเป่ยเฉินไม่สามารถหาคำตอบได้อีกแล้ว

หรือว่าจะมีปีศาจอีกตัวหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในนครเจาฮุย

แต่ถ้าอย่างนั้น ปีศาจตัวนั้นก็สมควรหลบซ่อนตัวให้แนบเนียนและเงียบสงบที่สุดไม่ใช่หรือ?

เหตุไฉนถึงได้แสดงอภินิหารของตนเองออกมาเช่นนี้เล่า?

หรือว่ามันอยากได้รับความสนใจ?

แต่คำถามสำคัญก็คือ ปีศาจตนนั้นสามารถเลียนแบบเทพีกระบี่ได้อย่างไร?

นี่เป็นเพราะว่าเทพีกระบี่อ่อนแอมากเกินไป

หรือพวกปีศาจมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกันแน่?

พรึบ!

ลำแสงสายที่สี่พุ่งเข้ามาสาดจับร่างของหลินเป่ยเฉิน

ยามที่ร่างของเด็กหนุ่มตกอยู่ภายใต้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ดูมีความสง่างามราวกับเป็นเทพเจ้าตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น

“ดูสิ ครั้งนี้ลำแสงส่องมาที่ร่างของคุณชายหลินแล้ว”

“โอ๊ะ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ เหตุผลสำคัญของเทพีกระบี่ก็คือคุณชายหลินนี่เอง”

“ใช่แล้ว ที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งได้รับการประทานพรอย่างมากมายถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะท่านเทพีกระบี่เมตตาและเอ็นดูคุณชายหลินนี่เอง”

ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงอุทานออกมาเสียงดังอึงอล

ในจังหวะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็รับทราบแล้วว่าลำแสงสายนี้ไม่ได้เป็นผลร้ายกับเขาเลย ถึงจะไม่ได้ทำให้พลังในร่างกายเพิ่มขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ดูดพลังไปจากร่างกายของเขาเช่นกัน เพียงแต่การสาดส่องมายังร่างของเขานั้นทำให้หลินเป่ยเฉินมีสง่าราศีเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ

และเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว

เพราะชีวิตคือการเล่นละคร อยู่ที่ว่าใครจะเล่นละครได้สมจริงมากกว่ากัน

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินหลับตาลง และยกมือขึ้นมาไขว้กันบนหน้าอก ก่อนจะลืมตาขึ้นมากวาดมองไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที

“ข้าคือเทพีกระบี่ผู้สูงส่ง”

“ข้ามาที่นี่เพื่อประทานพรให้สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง กลายเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่”

“พวกเจ้าจะต้องจดจำการประทานพรครั้งนี้ไปตลอดชีวิต”

“ผู้ใดที่กล้าลบหลู่ดูหมิ่นสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง จะมีความผิดไม่แพ้พวกสาวกปีศาจ ถือเป็นการทำบาปที่ให้อภัยไม่ได้ และข้าไม่เคยเมตตาต่อผู้ทรยศแม้แต่ครั้งเดียว”

“แต่สำหรับผู้ที่ภักดีต่อสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง พวกเจ้าจะเป็นคนที่ข้าคอยปกป้องอยู่เสมอ…”

แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ตนเองสามารถเลียนแบบเสียงของเทพีกระบี่ได้เหมือนจริงขนาดนี้

บรรดาผู้อพยพส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

เหลียงหยวนเตากับเกาเฉิงฮั่นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ สามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านตกตะลึงได้จริงๆ

นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป

พวกเขารู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้ ดังนั้น ก่อนหน้านี้จึงพอเดาได้อยู่บ้างว่าอะไรเป็นอะไร แต่การได้รับลำแสงประทานพรจากเทพีกระบี่ถึงสี่ครั้งซ้อน นับเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ

เกาเฉิงฮั่นหันไปพูดคุยกับนายทหารผู้ใต้บังคับบัญชาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

“พิธีเปิดสถานศึกษาจบลงแล้ว พวกเจ้าสามารถลงทะเบียนได้ตามอัธยาศัย และข้าจะขอบอกข่าวดีให้พวกเจ้าได้รู้ หากพวกเจ้าลงทะเบียนให้แก่ลูกหลานของตนเองในเวลาหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ พวกเจ้าก็จะได้รับส่วนลดค่าลงทะเบียนเป็นพิเศษ…”

หลินเป่ยเฉินเห็นทุกคนกำลังแสดงแววตาเลื่อมใสอย่างเต็มที่ ก็ไม่ลืมฉวยโอกาสขายของด้วยทันที

หลังจากนั้น ผู้คนจำนวนมากก็ไปรวมตัวกันอยู่บริเวณจุดลงทะเบียนศิษย์ใหม่ ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานศึกษาถึง 30 จุดอย่างแน่นขนัด

นายทหารจากหน่วยคนงานขุดเหมืองรอคอยอยู่ถึง 500 คนเพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบผู้ลงทะเบียน

เมื่อดูจากแถวอันยาวเหยียดของผู้ที่ทำเรื่องลงทะเบียนขณะนี้ ก็กล่าวได้ว่าพิธีเปิดสถานศึกษาในวันนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีตามที่หลินเป่ยเฉินวางแผนเอาไว้

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะขอรับ คุณชายหลิน”

“นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเรา ขอเชิญคุณชายหลินรับไป”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อจากนี้ข้าคงต้องเรียกท่านว่าอาจารย์ใหญ่หลินแล้วสินะ พวกเรายังไม่รีบทำความเคารพอาจารย์ใหญ่หลินอีก โฮะโฮะโฮะ”

บรรดาขุนนางและเศรษฐีใหญ่จากตัวเมืองเขตสามและเขตสี่ พากันเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินพร้อมกับแสดงความยินดีต่อเขาด้วยความมีไมตรีจิต

ไมตรีจิตที่มาในรูปแบบของซองสีแดงใส่เหรียญทองจำนวนไม่ใช่น้อย

แม้แต่แม่ทัพใหญ่โค้วจง ซึ่งเคยต้องเสียเงินให้หลินเป่ยเฉินมาแล้วถึงห้าล้านเหรียญ ก็ยังต้องส่งมอบซองแดงบรรจุเงินอีก 1,000 เหรียญทองคำเพื่อเป็นของขวัญให้แก่เด็กหนุ่มอีกด้วย

บัดนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าคุณชายหลินชื่นชอบเงินขนาดไหน

นี่เรียกว่าการหว่านพืชหวังผล

ต่อให้ไม่สามารถตีสนิทหลินเป่ยเฉินได้จนเป็นคนใกล้ชิด แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน ซึ่งในภายภาคหน้าอาจจะมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงก็เป็นได้

แน่นอนว่ารอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน

เขาจับไม้จับมือพลางพูดคุยกับเหล่าขุนนางและเศรษฐีใหญ่เหล่านี้เป็นอย่างดี

สุดท้าย แค่เงินของขวัญที่ได้จากซองแดงเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินคืนมาแล้วเกือบหนึ่งล้านเหรียญ

เด็กหนุ่มมีความสุขยิ่งนัก

สมแล้วที่ขุนนางและเศรษฐีใหญ่เหล่านี้มาจากเขตตัวเมืองที่สามและที่สี่

ช่างร่ำรวยกันเสียจริง

ให้ตายเถอะ…

เขาหันไปเอาดีทางด้านเป็นจอมโจรปล้นคนรวยช่วยคนจนดีไหมเนี่ย?

“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหลินด้วยนะขอรับ หุหุ”

ขันทีเฒ่าเดินเข้ามาประสานมือคำนับพร้อมกับส่งยิ้มประจบประแจง “รบกวนขอเวลาทุกท่านสักครู่ พอดีท่านเจ้าเมืองมีธุระเรื่องเก่าต้องหารือกับคุณชายหลินสักเล็กน้อย หวังว่าทุกท่านคงไม่ถือสา”

แน่นอนว่าในขณะนี้ ท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนกำลังยืนรออยู่ข้างรถม้าคันใหญ่ในจุดที่ห่างไกลออกไป

หลินเป่ยเฉินประสานมืออำลาแขกผู้ร่ำรวยทุกท่าน

“โอ้โห ขนาดท่านเจ้าเมืองยังต้องเป็นมิตรกับเขาเลยหรือนี่”

“เท่าที่พวกเรารับทราบมา ท่านเจ้าเมืองไม่เคยเป็นมิตรกับผู้ใดมาก่อนเลยนะ”

“แล้วท่านก็อย่าลืมสิว่าวันนี้เกาเฉิงฮั่นก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน”

ระหว่างที่จ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินเดินขึ้นรถม้าหายลับไปจากสายตา กลุ่มขุนนางใหญ่และมหาเศรษฐีก็ยืนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

นี่จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์อีกหนึ่งชนิดก็ว่าได้

เวลาเพียงเดือนเดียว เด็กหนุ่มสามารถได้รับความไว้วางใจจากคนใหญ่คนโตประจำนครเจาฮุยถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?

ในห้องโดยสารของรถม้าที่กำลังแล่นไปบนถนน

เหลียงหยวนเตากำลังนั่งแทะหัวหมูอย่างมูมมาม

คราบไขมันติดตามใบหน้า สองมือและลำตัวของเขาเป็นเงาวับ

“เหตุไฉนเจ้าถึงยังไม่ลงมืออีก?”

ชายอ้วนถามออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย

หลินเป่ยเฉินยกนิ้วกลางขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน “วันนี้ไม่เหมาะที่จะสังหารเกาเฉิงฮั่น มีผู้คนรวมตัวอยู่มากมายเกินไป และอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เกาเฉิงฮั่นมีองครักษ์อยู่รอบกาย คงยากที่จะบุกเข้าไปลงมือต่อเขาได้”

“ความอดทนของข้ามีไม่มาก”

เหลียงหยวนเตาว่า “หนุ่มน้อย เจ้าคงต้องรีบเร่งมือสักหน่อยแล้ว”

พูดจบ ขันทีเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยื่นส่งกล่องสีทองมาให้

เมื่อหลินเป่ยเฉินเปิดออกดู กลิ่นคาวเลือดก็ลอยขึ้นมาเตะจมูกทันที

มีมือคนอยู่ในกล่องสีทอง

มือที่เปื้อนเลือดของคนผู้หนึ่ง

นี่คือมือของ ‘ไต้จือฉุน’

“ภายในสามวันหลังจากนี้ ข้าต้องได้เห็นศีรษะของเกาเฉิงฮั่น มิเช่นนั้น จะเป็นฝ่ายของเจ้าที่ได้เห็นศีรษะของไต้จือฉุน”

เหลียงหยวนเตากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หลังจากนิ่งงันไปเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น “นี่เจ้า… ตัดมือท่านพี่ไต้มาแล้วหรือ ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเขาเด็ดขาด…”

“ข้าอดทนรอให้เจ้าลงมือนานนับเดือน”

เหลียงหยวนเตาโยนหัวกะโหลกหมูสีขาวโพลนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “แต่ที่สำคัญก็คือข้าเปลี่ยนใจแล้ว และข้าต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าสามารถทำให้เจ้ามีวันนี้ได้ ข้าก็สามารถทำลายเจ้าได้เช่นกัน และเจ้าอย่าเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของไต้จือฉุนเท่านั้นเลย ต่อจากนี้ไป เจ้าสมควรห่วงความปลอดภัยของผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านผู้อพยพจะดีกว่า เจ้าคิดหรือว่าตนเองจะสามารถดูแลปกป้องพวกเขาได้?”