บทที่ 494 โคแก่กับหญ้าอ่อน

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 494 โคแก่กับหญ้าอ่อน

หลินชิงเหอวางแผนไว้ว่าจะเปิดเตาที่ร้านเกี๊ยวหากครอบครัวเวิงมาร่วมรับประทานอาหารเย็นในวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน แต่ในเมื่อพวกเขาไม่มา หลินชิงเหอจึงเรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวเพื่อร่วมรับประทานอาหารและฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน

หลัก ๆ แล้วลูกหลานของครอบครัวตระกูลโจวทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันที่นี่

แม้แต่เฉินซานซานก็ถูกตามตัวให้มารับประทานอาหารเย็นในวันส่งท้ายปีเก่าร่วมกับพวกเขาด้วย ซึ่งทางครอบครัวเฉินก็ไม่ได้คัดค้านอะไร อย่างไรเสียพวกเขาก็กำลังคบหากันและจะแต่งงานกันอยู่แล้ว

ดังนั้นหากในปีนี้จะชวนหู่จือให้ไปรับประทานอาหารเย็นในวันส่งท้ายปีเก่าด้วยก็ไม่เป็นไร

โจวชิงไป๋ได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับคนกลุ่มใหญ่เช่นนี้ เขาสั่งทำโต๊ะกลมขนาดใหญ่ขึ้น 2 ตัว ซึ่งทั้งสองโต๊ะก็มีที่ให้นั่งได้อย่างเพียงพอ

“ปีใหม่ปีนี้มีชีวิตชีวายิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีกนะ” เฒ่าหวังเอ่ย

“ใช่ไหมล่ะคะ ถ้าเป็นแบบนี้ได้ทุกปีก็คงจะดีมากเลย” ท่านแม่โจวกล่าวอย่างรื่นเริง

ท่านพ่อโจวก็มีความสุขมากเช่นกัน “ครอบครัวที่อยู่กันอย่างปรองดองจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มาทุกคน มาดื่มฉลองด้วยกัน”

จากนั้นผู้ที่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ก็ลุกขึ้นยืนดื่ม และคนที่ดื่มไม่ได้ก็ดื่มเครื่องดื่มประเภทอื่นไป มีอาหารอยู่เต็มโต๊ะทั้ง 2 โต๊ะ นับว่าเป็นอาหารเฉลิมฉลองมื้อใหญ่มากทีเดียว

ทุกคนต่างกินอาหารวันส่งท้ายปีเก่ากันอย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีรายการพิเศษเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนให้ดูทางทีวีอีกด้วย ซึ่งก็ค่อนข้างสนุกสนาน

หลังจากกินเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็พากันออกไปเดินเล่นข้างนอก พี่น้องโจวและคนอื่นก็ออกไปเที่ยวเล่นด้วยเหมือนกัน ไม่มีความเงียบสงบภายนอกบ้านสำหรับค่ำคืนนี้

“ปีนี้ช่างเป็นปีที่ดีจังเลยนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยตั้งข้อสังเกตด้วยรอยยิ้ม

“ใช่จ้ะ ดีมากจริง ๆ ที่บ้านเก่าของพวกเรา พี่สะใภ้ใหญ่กับคนอื่นต่างก็สุขสบายดี” หลินชิงเหอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส

“ภรรยาอาสี่ หวังหยวนคุ้นเคยกับที่บ้านนั่นหรือยัง? เธอได้โทรกลับไปถามบ้างหรือเปล่า?” ท่านแม่โจวถาม

“ฉันเพิ่งโทรกลับไปวันนี้เองค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนมารับโทรศัพท์” หลินชิงเหอตอบ

ตั้งแต่หวังหยวนกลับไปกับเอ้อร์นี พี่สะใภ้ใหญ่และพี่ชายใหญ่ได้เห็นลูกเขยคนรองด้วยตนเอง รูปถ่ายที่เคยส่งไปตั้งแต่แรกก็ทำให้พวกเขารู้สึกพอใจแล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ ทั้งคู่ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีลูกเขยเช่นนี้ได้?

โดยเฉพาะหวังหยวนเป็นคนที่สุขสงบอย่างแท้จริง แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขายินดีที่จะทำตัวสุขสงบด้วย หากไม่เต็มใจเขาก็สามารถทำตัวเย่อหยิ่งและร้ายกาจได้เช่นกัน เขาเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของครอบครัวที่มีอำนาจในปักกิ่งแถมยังเป็นคนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยความสามารถของตนเอง เขาจะไม่เย่อหยิ่งได้อย่างไร?

แต่กับพ่อตาและแม่ยายของตน เขาเป็นกันเองเข้าถึงได้ และด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นเขา เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเขามากขึ้น

ในตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับสะใภ้ใหญ่ ฝ่ายนั้นมีความสุขมากจนจะล้นปรี่ออกมาเลยทีเดียว

“หวังหยวนเด็กคนนี้เป็นของจริง ฉันสามารถวางใจมอบเอ้อร์นีให้กับเขาได้” ท่านแม่โจวมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นนางก็มองไปที่หลินชิงเหอด้วยสายตาอันอ่อนโยน “ต้องขอบใจภรรยาอาสี่ด้วยนะที่เต็มใจฝึกฝนเอ้อร์นีและเลี้ยงดูหล่อนมาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นผู้อื่นอาจจะไม่ได้หันมามองที่หล่อนเลยก็ได้”

หลินชิงเหอไม่สามารถทนต่อสายตาเช่นนี้ของแม่สามีได้จึงกล่าวว่า “ฉันรับความดีความชอบไว้ไม่ได้หรอกค่ะ เอ้อร์นีขยันเรียนและเต็มใจที่จะเรียนรู้ ยิ่งกว่านั้นหล่อนก็ยังเชื่อฟังด้วย เพราะเรื่องนี้ฉันถึงสอนหล่อนได้ ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟัง ถึงแม้แม่อยากให้ฉันสอน ฉันก็จะไม่สอนหรอกค่ะ”

ท่านแม่โจวรู้สึกละอายใจ นางมองตรงมาพร้อมกับยอมรับอย่างซื่อตรง “ตอนแรกฉันอยากให้เธอช่วยสั่งสอนเฉียงจือให้”

“ทั้งหมดนั่นเป็นอดีตไปหมดแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยก้มศีรษะลงอย่างนับถือแม่ของตน

ตอนนี้หลินชิงเหอมีอายุมากขึ้นแล้ว และก็มีความคิดจิตใจที่เปลี่ยนไปด้วย อีกทั้งแม่สามีของเธอก็อายุไม่น้อยแล้วจริง ๆ ดังนั้นหลินชิงเหอย่อมไม่อยากจะจิ้มเข็มลงไปที่ปลายคมของรวงข้าวสาลี(1) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ซึ่งยังเป็นช่วงปีใหม่อยู่

“พวกเขาจะแต่งงานกันในปีหน้าและอนาคตเอ้อร์นีก็จะย้ายออกไปค่ะ” หลินชิงเหอรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง เธอไม่มีลูกสาวจึงทุ่มเทใจสอนเอ้อร์นีจนแทบเหมือนเป็นลูกสาวของตนเอง

“บ้านที่หวังหยวนซื้อเอาไว้อยู่ตรงนั้นเองค่ะ ไม่ไกล ห่างไปประมาณ 10 นาทีเท่านั้น” โจวเสี่ยวเหมยบอก

“ในอนาคตไปอยู่ที่นั่นก็ดี พวกเขาไม่ต้องทำอาหารกันเองหรอก แค่ 2 คนมันจะยุ่งยากใช่ไหมล่ะ? มากินด้วยกันกับพวกเราที่นี่นั่นแหละ” ท่านแม่โจวตอบ

โจวเสี่ยวเหมยเองก็เต็มใจเช่นกัน “พอถึงเวลานั้นก็ค่อยถามพวกเขาดูแล้วกันนะคะว่าพวกเขาอยากจะมากินที่นี่หรือเปล่า เพิ่มอาหารขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้นเองละค่ะ”

หลินชิงเหอมองไปที่โจวซานนี ซึ่งกำลังนั่งดูรายการพิเศษงานฉลองเทศกาลตรุษจีนอยู่ เธอส่งส้มไปให้หล่อน 2 ลูก “ซานนี หนูกินอาหารได้บ้างหรือเปล่าจ๊ะ?”

“หนูกินได้มากเลยล่ะค่ะ” โจวซานนียิ้มกว้าง

หลี่อ้ายกั๋วอยู่กับโจวชิงไป๋ ซูต้าหลินและคนอื่น พวกเขายังนั่งดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มกันอยู่ พวกผู้หญิงจึงปล่อยตามใจพวกเขา มันเกิดขึ้นแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง

“ดีมากเลยนะที่หนูกินอะไรได้ กินส้มกับแอปเปิลให้เยอะ ๆ นะจ๊ะ ตอนนั้นที่ป้าสะใภ้ใหญ่กับอาสะใภ้สามของหนูท้อง อาบอกให้พวกเขากินแอปเปิลกันให้มาก ๆ แล้วดูถู่โต้วกับตงจื้อสิ พวกเขาโตมาหล่อเหลาทั้งคู่เลย” หลินชิงเหอพูด

“กินของพวกนี้แล้วมีประโยชน์จริงหรือ?” ท่านแม่โจวถาม

“มันได้ผลจริง ๆ ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยสนับสนุน ตอนที่หล่อนตั้งท้อง พี่สะใภ้สี่ก็บอกให้หล่อนซื้อผลไม้มากิน ซึ่งในแต่ละวันหล่อนไม่ได้กินมากมายนักแต่ก็ไม่เคยขาด

ในเวลานั้นทั้งหล่อนและซูต้าหลินยังมีงานทำและมีรายได้เข้ามาจากทั้งคู่ ฐานะความเป็นอยู่ถือว่าดีเยี่ยม พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน ดังนั้นจึงซื้อมันมากิน

ตอนที่ลูกเกิดมา ผิวพรรณของเขาดีมาก และไม่เป็นผดผื่นคันเพราะอากาศร้อนหรืออะไรง่าย ๆ เลย

โจวเสี่ยวเหมยเคยเห็นผื่นร้อนบนตัวหลานชายและหลานสาวที่บ้านครอบครัวทางแม่ของหล่อน มันไม่ใช่แค่ผื่นคันเท่านั้นแต่มันยังเป็นตุ่มพองอีกด้วย เป็นแบบที่ต้องใช้ยาสีแดงทาเพื่อรักษา

เด็ก ๆ ในชนบทมักจะต้องโกนศีรษะและใช้ยาทาไปทั่วศีรษะของพวกเขา

ในขณะที่ลูก ๆ ของหล่อนไม่มีเรื่องพวกนี้เลย ทุกคนมีผิวที่ดีมาก ๆ

“ถ้าอย่างนั้นหนูต้องกินให้มากขึ้นนะ ตอนนี้พวกเธอก็ไม่ได้มีชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะจ๊ะ” ท่านแม่โจวพูดกับโจวซานนี

นางรู้ว่าภรรยาของอาสี่ให้เงินเดือนคนทั้งคู่ไม่ใช่น้อย ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ๆ แต่แอปเปิลไม่ได้มีราคาสูงมากนัก พวกเขายังพอจะซื้อกินไหว

“พวกเรามีค่ะ อ้ายกั๋วซื้อแอปเปิล ส้มและกล้วยมาไว้เยอะแยะเลยค่ะ เก็บเอาไว้ให้หนูกิน” โจวซานนีโค้งริมฝีปากขึ้นแล้วยิ้มออกมา

หลินชิงหอพอใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้

“ดีจริงที่อ้ายกั๋วรู้จักเอ็นดูเอาใจใส่หนู” ท่านแม่โจวกล่าว

โจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วขอตัวกลับบ้านไปก่อน พวกเขาเดินกลับ ซึ่งก็ทำราวกับว่ากำลังออกไปเดินเล่นกัน

โจวเสี่ยวเหมยพูดว่า “ชีวิตแต่งงานของซานนีไม่ได้แย่เลยนะเนี่ย ถึงอ้ายกั๋วจะอายุมากไปสักหน่อย แต่เขาก็รักซานนีจริง ๆ”

ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ค่อยพอใจมากนักกับความจริงที่ว่าหลี่อ้ายกั๋วอายุมากกว่าซานนีถึง 10 ปี แต่ตอนนี้เมื่อหลี่อ้ายกั๋วรักใคร่ทะนุถนอมซานนี ส่วนซานนีเองก็มองโลกในแง่ดีและร่าเริงมากขึ้น ไม่มีท่าทางที่เคร่งขรึมอยู่อีกแล้วใช่ไหมล่ะ?

เมื่อมองในแง่นี้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรเลย

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าครอบครัวตระกูลโจวของพวกเราถึงมีคู่โคแก่กับหญ้าอ่อนเต็มไปหมดเลยล่ะ?” หลินชิงเหอมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเรื่องนี้

ชิงไป๋ของเธอแก่กว่าเธอมาก ซูต้าหลินอายุมากกว่าโจวเสี่ยวเหมยหลายปี หวังหยวนอายุมากกว่าเอ้อร์นี 6 ปี แล้วยังมีหลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนี…

โจวเสี่ยวเหมยหัวเราะขำ ท่านแม่โจวก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ตราบใดที่ห่างกันไม่เกิน 10 ปีก็ไม่เป็นไรหรอก”

หลังจากที่นั่งอยู่ที่นี่จึงถึงเวลา 22.00 นาฬิกา หลินชิงเหอก็กลับบ้านพร้อมกับโจวชิงไป๋ โจวกุยหลายไปส่งเฒ่าหวังและยังนอนค้างที่บ้านคุณปู่ทูนหัวของตนเพื่อใช้เวลาในวันส่งท้ายปีเก่าร่วมกันด้วย

เฒ่าหวังรักใคร่เอ็นดูหลานชายทูนหัวทั้ง 3 คนของตน ซึ่งพวกเขาก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีเวลาพวกเขามักจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ทูนหัวของพวกตนอย่างเต็มใจเสมอ

เมื่อใดก็ตามที่โจวข่ายกลับมาในระหว่างช่วงวันหยุดฤดูร้อน เขาจะต้องมาพักค้างคืนอยู่กับคุณปู่ทูนหัวที่หอพักด้วย

………………………………………………………………………………………………..

(1) เป็นสำนวนหมายถึง ไม่ลดราวาศอกให้แก่กัน / ขิงก็รา ข่าก็แรง