บทที่ 1456 หน้าใหญ่ใจโต Ink Stone_Fantasy
คนขับเรือไม่ได้พูดอะไรอีก วางกาน้ำชาแล้วถอยออกไปอย่างสุภาพ พอออกจากห้องโดยสารเรือเรือแล้วก็ยืนขับเรือที่หัวเรือต่อไป
หลังจากเรือเข้าใกล้ฝั่ง ก็มาเฝ้าอยู่ที่แคมเรือเพื่อส่งให้ชายชราชุดเขียวลงเรือ
ส่วน ‘งาน’ ของเหมียวอี้ก็ทำให้ประมุขเวินหวนเจินแห่งปราสาทดำเนินนภาต้องปวดหัวไปพักใหญ่ ถ้าจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ห้าร้านก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าทำสำเร็จได้ง่ายอย่างนั้นจริงๆ ตลาดสวรรค์ก็คงจะวุ่นวายไปนานแลว ตำหนักสวรรค์จะต้องวางกำลังพลที่แข็งแกร่งเอาไว้ที่ตลาดสวรรค์ทุกแห่งแน่นอน ถ้ากำลังพลที่แข็งแกร่งประจำอยู่ในตลาดสวรรค์เกือบหมื่นแห่ง แบบนั้นต้องควบคุมกำลังพลตำหนักสวรรค์เท่าไรกัน? คงจะไม่มีตลาดสวรรค์อยู่เยอะขนาดนี้หรอก
และแน่นอน กับร้านค้าเล็กๆ แค่ไม่กี่ร้าน ถ้าอาศัยกำลังของปราสาทดำเนินนภาไปล้างเลือดสักครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ประเด็นสำคัญคือจะต้องถอยกลับมาให้หมด ถ้าสะเทือนไปถึงกำลังพลท้องถิ่นจนต้องรีบปิดล้อมอาณาเขตดาว นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว และต่อให้ถอยกลับมาได้ทั้งหมด ก็ต้องรับประกันได้ด้วยว่าจะไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาโดนเปิดโปง ไม่อย่างนั้นถ้าเผยพิรุธเพียงนิดเดียวก็จะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้
ถ้ารับมือกับแห่งเดียวก็ว่าไปอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องรับมือกับห้าแห่งพร้อมกัน แบบนี้ก็หมายความว่ามีอัตราการโดนเปิดโปงเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ดังนั้นปัญหาแท้จริงที่ทำให้เวินหวนเจินกังวลก็คือ เวินหวนเจินจำเป็นต้องเรียกผู้อาวุโสหลายคนของปราสาทดำเนินนภาที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลานานออกมา พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน จำเป็นต้องเรียกออกมาเพื่อปรึกษากันเรื่องนี้
ตอนนี้ยังมีเวลาปรึกษากันอย่างช้าๆ เพราะทางฝั่งเหมียวอี้บอกว่าเขายังต้องเตรียมตัวอีกหน่อย เวินหวนเจินก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาต้องการเตรียมตัวอะไร
ในตำหนักนภาคราม บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์นั่งขัดสมาธิ กำลังครุ่นคิดและปรึกษากัน เวินหวนเจินที่นั่งสมาธิกำลังตั้งใจฟังแผนที่ผ่านการคิดทบทวนของพวกลูกศิษย์
ในขณะนี้เอง ในดวงตาเวินหวนเจินพลันฉายแววตกตะลึง แล้วก็กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว อย่างนั้นลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมองลูกศิษย์ทุกคนพร้อมบอกว่า “พวกเจ้าปรึกษากันไปก่อน” พูดจบก็หันตัวเดินไปหลังตำหนัก
กลุ่มลูกศิษย์ที่กำลังนั่งขัดสมาธิกุมหมัดคารวะส่งพร้อมกัน
เวินหวนเจินที่มาถึงห้องสมาธิด้านหลังพลิกฝ่ามือ ระฆังดาราอันหนึ่งลอยช้าๆ ขึ้นมาจากฝ่ามือเขา ราวกับมีต้นอ่อนงอกออกมาจากมือเขา จากนั้นก็สั่นอยู่กลางอากาศเหนือฝ่ามือ
ในดวงตาเวินหวนเจินฉายแววเหลือเชื่อ หลังจากระฆังดาราอันนี้มาอยู่ที่มือเขาในปีนั้น เขาก็ไม่เคยใช้มันเลย เก็บแยกไว้ที่มุมเดียวตลอด และไม่เคยมีเสียงดังเลยเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะมีปฏิกิริยาแล้ว ทั้งยังบังเอิญที่หนิวโหย่วเต๋อนำ ‘งาน’ มาให้ถึงที่พอดี เขาแทบจะทำนายได้โดยไม่ต้องคิดมากว่าเกี่ยวข้องกับ ‘งาน’ ของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นทำไมของที่อยู่แน่นิ่งมาหลายปีถึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นอย่างกะทันหัน
เวินหวนเจินถึงขั้นรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจนิดหน่อย อารมณ์ที่สงบนิ่งมาหลายปีเริ่มกังวลนิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าคนที่มอบระฆังดาราอันนี้ให้เขานีนั้นเพื่อเตรียมไว้ให้ติดต่อใครกันแน่ รู้เพียงว่าคนที่ติดต่อด้วยชื่อ ‘ดาวโดดเดี่ยว’ เขาเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่ชื่อที่แท้จริง บุคคลที่สำคัญขนาดนี้คงไม่ทิ้งชื่อจริงไว้ทั่ว แบบนั้นเป็นการรนหาที่ตาย นี่น่าจะเป็นรหัสประจำตัว
เวินหวนเจินทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งเฝ้าคอยบุคคลลึกลับคนนี้ เขาควบคุมระฆังดาราพร้อมถามว่า : เจ้าคือดาวโดดเดี่ยวเหรอ?
อีกฝ่ายไม่ได้เปลืองคำพูด และไม่ได้บ่นอะไรมากเช่นกัน เข้าประเด็นหลักเลยว่า : ข้าเอง! เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อจะล้างเลือดห้าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์อันตรายเกินไป จะทำให้พวกเจ้าโดนเปิดโปงได้ง่าย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่คุ้มค่าที่พวกเจ้าจะไปเสี่ยงอันตรายมากขนาดนั้น หยุดปฏิบัติการแผนการนี้เดี๋ยวนี้!
เวินหวนเจินตกใจไม่เบา เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้บอกเรื่องนี้กับใครไว้มากเท่าไรกันแน่ ตามหลักการแล้วไม่น่าจะประกาศเรื่องแบบนี้สิ แต่ ‘ดาวโดดเดี่ยว’ คนนี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เหมือนจะรู้แบบละเอียดมากด้วย อย่าบอกนะว่าเป็นคนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ? ไม่ถูกสิ หนิวโหย่วเต๋อถูกปล่อยเข้าไปในแดนมรณะอเวจีคนเดียว รู้ผ่านคนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าที่จริงแล้วเป้นหนึ่งในคนลงมือในแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ?
ในหัวมีความคิดแวบผ่านเข้ามา เวินหวนเจินถามว่า : หยุดแผนนี้เหรอ แล้วจะบอกกับหนิวโหย่วเต๋อยังไง? พวกเราตอบตกลงเขาไปแล้ว
ดาวโดดเดี่ยว : เปลี่ยนเป็นอีกแผนการหนึ่ง ไปทำตามที่ข้าบอก เขาจะตอบตกลง และรับประกันได้ด้วยว่าพวกเจ้าจะไม่โดนเปิดโปง
เวินหวนเจิน : ยินดีฟังรายละเอียด!
ดาวโดดเดี่ยว : เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยตามสถานการณ์…
กลุ่มลูกศิษย์ที่นั่งปรึกษากันอยู่ในตำหนักนภาครามพากันหันกลับไปมองท่านอาจารย์ที่เดินออกมาจากหลังตำหนัก
เวินหวนเจินนั่งขัดสมาธิอย่างช้าๆ กวาดสายตามองทุกคน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เรื่องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์พวกเราไม่ต้องยุ่งแล้ว ตอนนี้พวกเราแค่ต้องรวบรวมกำลังรับมือกับจุดเดียว การรักษาความลับนั้นสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้รวดเร็วด้วย ต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วฉับไว แสดงพลังอันน่าหวาดกลัว…”
เมื่อมีเป้าหมายออกมาแล้ว กลุ่มลูกศิษย์ก็โล่งใจมาก แผนการที่เปลี่ยนแปลงหลักๆ ก็แค่ต้องแสดงกำลังอันป่าเถื่อน ขอเพียงฝั่งนี้รักษาความลับได้ดี ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ แล้วก็ไม่ต้องสู้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ด้วย แบบนี้จัดการง่ายขึ้นเยอะเลย
ส่วนฝั่งเหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าพวกเขาต้องล้างเลือดห้าร้านค้า ตอนนี้ยังไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะต้องโจมตีร้านค้าไหน ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจมาก แต่ครั้งนี้กำหนดเป้าหมายที่จะลงมือแล้ว ทั้งยังบอกสถานการณ์อย่างละเอียดอีกด้วย สามารถเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่
ปรึกษากันเสร็จอย่างรวดเร็วว่าควรจะทำอย่างไร ติดแค่ปัญหาว่าจะส่งใครไปปฏิบัติการนี้
เมื่อกำหนดเรื่องนี้เสร็จแล้ว เหยียนเกอลูกศิษย์ใหญ่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างก็กุมหมัดคารวะ “ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าจะลงมือเมื่อไร?”
“ไม่รีบ รออีกหน่อย!” เวินหวนเจินส่ายหน้าเบาๆ
กลุ่มลูกศิษย์มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ทว่าเวินหวนเจินรักษาความลับเข้มงวดมาก ไม่ยอมคายความจริงออกมา ที่จริงแม้แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ เขาก็พยายามรักษาความลับไว้ด้วย บอกลูกศิษย์เพียงว่าต้องทำอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับใคร
วังสวรรค์ การประชุมในตำหนักฟ้าดิน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงกวาดสายตามองกลุ่มคนด้านล่าง แสยะยิ้มพักหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไป๋เฟิ่งหวงช่างไม่กลัวตายจริงๆ ขนาดข้าเห็นแก่ไมตรีเก่าปล่อยนางไปครั้งหนึ่ง แต่นางกลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า! ทุกคนลองว่ามาซิ ว่าควรทำอย่างไร?”
บุรุษจัญไรหกเนตรตายไป กำลังพลหลายร้อยของกองทัพองครักษ์ตายไป ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไป๋เฟิ่งหวงเป็นคนทำ เช่นนั้นการที่พายุสีขาวเกิดขึ้นที่ทะเลดาวสับสนอีกครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับการชี้ชัดแล้วว่าตัวการใหญ่คือใคร
อิ๋งจิ่วกวงเป็นคนแรกที่ก้าวออกมา เขากุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ควรจะรวบรวมนักพรตทุกคนในใต้หล้าที่มีวิชาตาทิพย์ ให้ร่วมมือกับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์เข้าไปล้อมปราบที่ทะเลดาวสับสน ขอเพียงฝ่าบาทอนุญาต เดี๋ยวกลับไปข้าน้อยจะออกคำสั่งค้นหานักพรตประเภทนี้ในอาณาเขตทันทีขอรับ”
หลานสาวกลายเป็นสนมสวรรค์แล้ว เขาก็ต้องแสดงผลงานกันบ้าง เรียกได้ว่าเป็นคนแรกที่แสดงท่าที แสดงออกว่าเขาต้องการจะออกแรงช่วย
“พวกข้าน้อยเห็นด้วย!” บรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ในเครือจ่ายของอิ๋งจิ่วกวงสนับสนุนทั้งหมด
พออำนาจกลุ่มนี้แสดงท่าที ก็เท่ากับแสดงออกแล้วว่าเบื้องหลังของสนมสวรรค์ท่านนั้นมีอำนาจมหาศาล เป็นความมั่นใจว่าจะสามารถช่วยจ้านหรูอี้สู้กับราชินีสวรรค์ที่วังหลังได้
ส่วนอิ๋งจิ่วกวงก็เอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อส่งสายตาให้พวกโค่วหลิงซวี
โค่ว ฮ่าว ก่วง อ๋องสวรรค์ทั้งสามรู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าอยากยื่นมือเข้าไปแทรกแซงอำนาจใต้ดิน ก็ต้องข่มตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ พวกเขาแอบปรึกษากันไว้แล้ว ว่าอำนาจในวังหลังจะต้องร่วมกันสนับสนุนให้จ้านหรูอี้คานกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ดูว่าจะสามารถหาทางแย่งอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์มาจากมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้หรือไม่ ถ้าอยากจะงัดข้อกับตระกูลเซี่ยโห้ว แล้วจะปล่อยให้แหล่งเงินทองอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างไร
อ๋องสวรรค์อีกสามคนเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ทยอยกันออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง
พอสามท่านนี้ออกมา ขุนนางใหญ่ส่วนใหญ่ในตำหนักก็พากันยืนแสดงท่าทีสนับสนุน
บนใบหน้าประมุขชิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ราชสำนักที่ไม่มีการถ่วงความเจริญก้าวหน้าแบบนี้ทำให้สบายกายสบายใจ ถ้าอำนาจทั้งตำหนักสวรรค์บิดกลายเป็นเชือก เวลาใต้หล้ามีเรื่องอะไรก็จัดการไม่สะดวก เขาชำเลืองมองเซี่ยโห้วท่าที่ยืนอยู่ตำแหน่งแรกเบื้องล่างอย่างแนบเนียน
ส่วนเซี่ยโห้วท่าก็หันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในตำหนักใหญ่ที่มีต่อเขา และรู้สึกได้ถึงเจตนาตักเตือนที่ประมุขชิงมีต่อตระกูลเซี่ยโห้ว สุดท้ายเขาก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าน้อยเห็นด้วยขอรับ!”
ถ้าเขาไม่ตอบตกลงก็เท่ากับต่อต้านทั้งตำหนักสวรรค์แล้ว
“ข้าน้อยเห็นด้วย!” บรรดาขุนนางใหญ่ในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วก็แสดงท่าทีเช่นกัน
เพียงแต่เซี่ยโห้วท่าพูดเสริมอีกว่า “เพียงแต่ข้าน้อยกังวลว่าการปราบแบบนี้อาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดี ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์โจมตีเข้าไปแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็อาศัยสภาพพื้นที่ของทะเลดาวสับสนหลบหนีได้ รอให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ถอนทัพออกไป นางก็จะกลับมาอีก การทำซ้ำอีกรอบก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี! ไป๋เฟิ่งหวงได้ประโยชน์จากพื้นที่ทะเลดาวสับสน เกรงว่าจะจัดการได้ค่อนข้างยาก”
ประมุขชิงพยักหน้า “สิ่งที่ท่านปู่สวรรค์กังวล ข้าเองก็กังวลเช่นกัน ดังนั้นต้องให้ทุกคนปรึกษากัน ดูว่าจะสามารถหาวิธีการที่เหมาะสมได้หรือไม่” สายตาชำเลืองไปหาอิ๋งจิ่วกวง
อิ๋งจิ่วกวงกล่าวด้วยท่าทางดุดันทันทีว่า “เช่นนั้นก็ตัดขาดต้นตอหายนะ! ข้าน้อยแนะนำให้รวบรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปสูบหมอกหนาที่ทะเลดาวสับสนให้หมดสิ้น กำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักรให้หมด ดูซิว่าไป๋เฟิ่งหวงยังจะสร้างปัญหาอะไรได้อีก! จากนั้นค่อยออกหมายจับโดยตั้งรางวัล ดูซิว่านางยังจะหนีไปไหนได้! ถ้าฝ่าบาทรู้สึกว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์ทางทะเลดาวสับสนมีไม่พอ ข้าน้อยก็ยินดีจะคิดหาทางดึงทัพใหญ่สิบล้านออกมาให้ความร่วมมืออีกขอรับ!”
ในตำหนักใหญ่มีเสียงกระซิบกระซาบกันทันที ต่างก็ตกตะลึงในความหน้าใหญ่ใจโตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะลบทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักร ช่างมีความกล้าหาญที่จะหนุนหลังสนมสวรรค์ที่วังหลังจริงๆ!
โค่วหลิงซวีและคนอื่นๆ พูดไม่ออก ทั้งหมดเข้าใจแล้วว่าที่อิ๋งจิ่วกวงอยากจะจับไป๋เฟิ่งหวงนั้นกลายเป็นเรื่องรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ยื่นมือเข้ามาในราชสำนักเพื่อช่วยจ้านหรูอี้ เรียกได้ว่าต้องสร้างบทบาทที่โด่งดังขึ้นมา ที่ต้องใจกว้างขนาดนี้ก็เพื่อจะให้จ้านหรูอี้มีหน้ามีตาที่วังหลัง ต้องการให้จ้านหรูอี้สยบทั้งวังหลังได้ ต้องสร้างจุดยืนที่มั่นคงที่วังหลังให้จ้านหรูอี้ ในภายหลังถ้าใครคิดจะแตะต้องจ้านหรูอี้ที่วังหลังก็จะต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย
ส่วนพวกโค่วหลิงซวีก็เรียกได้ว่าไว้หน้าอิ๋งจิ่วกวงเต็มที่ อ๋องสวรรค์อีกสามคนแสดงท่าทีเช่นกันว่าจะแต่ละคนจะดึงกำลังพลสิบล้านมาช่วยกองทัพองครักษ์กำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักร และแน่นอน จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมแรงกันช่วยจ้านหรูอี้กดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอาไว้ ช่วยให้จ้านหรูอี้แย่งอำนาจคุมตลาดสวรรค์มาไว้ในมือตัวเอง แล้วลับหลังค่อยไปแบ่งผลประโยชน์กันเป็นการส่วนตัว
แบบนี้เท่ากับใช้งานกำลังพลห้าสิบล้านกว่าในรวดเดียว!
พอเห็นความเคลื่อนไหวนี้ เซี่ยโห้วท่าก็สีหน้าเครียดนิดหน่อย เขารู้ว่าจุดสำคัญของเป้าหมายเปลี่ยนจากไป๋เฟิ่งหวงเป็นเขาแล้ว
แต่ประมุขชิงกลับได้ยินแล้วดีใจมาก นี่เป็นการให้เกียรติเขา ต้องการจะทำให้ใต้หล้าได้เห็นถึงกำลังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของตำหนักสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือต้องการให้คนในใต้หล้าได้เห็นความสามารถของราชันสวรรค์ในการออกคำสั่งกับใต้หล้า เป็นเพราะเงียบสงบมานานเกินไปแล้ว จ้องการจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ให้ใต้หล้าหวาดกลัวสักหน่อย แต่เบื้องล่างกลับมีเหตุผลต่างๆ มาขัดขวางไว้เสมอ ตอนนี้…อนุมัติในทันทีแล้ว!
เบื้องล่างยินดีเป็นฝ่ายกระตือรือร้นจัดการเรื่องนี้ ทั้งยังไม่ชักช้าอืดอาด ปฏิบัติการอย่างรวดเร็วที่สุด พอการประชุมจบลง คำสั่งจากเบื้องบนก็ถ่ายทอดลงไปแล้ว กำลังพลแต่ละแห่งรีบระดมพลอย่างรวดเร็ว…
…………………………