บทที่ 469.1 ขี่กระบี่ไปเยือนศาลบรรพจารย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มือกระบี่หนุ่มสวมชุดเขียวสะพายกระบี่เดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ยังคงเดินผ่านเทือกเขาเล็กเตี้ยที่คุ้นเคยแถบนั้น เมื่อเทียบกับการเดินทางพร้อมกับจางซานเฟิงในปีนั้น ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งภูตผีที่พลังชีวิตขาดสะบั้นแห่งนี้ ตอนนี้จะไม่เหลือกลิ่นอายของความอึมครึมน่าสะพรึงกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่พูดว่าเป็นสถานที่งดงามแห่งภูเขาสายน้ำที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอะไร แต่ถึงอย่างไรภูเขาก็เขียว สายน้ำก็ใส ดีกว่าในอดีตเยอะมาก เดินไปข้างหน้าโดยอาศัยความทรงจำมาตลอดทาง ในที่สุดท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่งก็มาถึงเรือนเก่าแก่ที่คุ้นเคย ยังคงมีสิงโตหินสองตัวทำหน้าที่เฝ้าประตู อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะตอนนี้มีกลอนคู่แขวนไว้ แล้วก็มีภาพเทพทวารบาลสีสันแปะอยู่

หลังจากเคาะประตูก็ยืนรอด้วยความอดทน

หญิงชราอายุมากคนหนึ่งเดินค้อมเอว ในมือถือโคมไฟดวงหนึ่งมาเปิดประตูใหญ่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะกินแรงอยู่มาก แล้วจึงได้เห็นคนหนุ่มที่ปลดงอบลง คลี่ยิ้มเจิดจ้าเต็มใบหน้า ตัวของเขาสูงมาก เพียงแต่ว่าค่อนข้างผอม อีกทั้งยังสะพายกระบี่ มองดูแล้วเหมือนจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวจนมาถึงที่นี่

หญิงชราสีหน้าซีดขาว กลางดึกแบบนี้ ใครเห็นเข้าก็น่าตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย

นางพยายามจะไม่ทำให้แขกผู้มาเยือนตกใจ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้จวนก็ไม่เพียงแต่ผ่านหายนะด่านยากมาได้แล้ว ยังได้รับโชคดีหลังจากโชคร้าย จึงไม่จำเป็นต้องจงใจทำให้คนธรรมดาตกใจกลัวจนเผ่นหนีไปอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย

หญิงชราเอ่ยถามเสียงเบา “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะมาค้างแรมหรือ?”

คนหนุ่มยิ้มตอบ “ไม่เพียงแต่จะมาค้างแรม ยังจะขอเหล้าดื่ม และขอเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวเป็นอาหารแกล้มเหล้าด้วย”

หญิงชราอึ้งตะลึง จากนั้นน้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตา ถามเสียงสั่นว่า “ใช่คุณชายเฉินหรือไม่?”

ผู้ที่มาเยือนก็คือเฉินผิงอันที่เดินทางลงใต้มาเพียงลำพัง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านยายยังสบายดีหรือไม่?”

หญิงชรารีบคว้ามือเฉินผิงอันมากุมไว้ ราวกับกลัวว่าผู้มีพระคุณใหญ่จะแค่มาให้เห็นหน้าแล้วก็จากไป มือข้างที่ถือโคมไฟยกขึ้นเบาๆ นางใช้หลังมือที่ผิวพรรณแห้งกร้านเช็ดน้ำตา พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ นี่ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของข้า หากคุณชายเฉินยังไม่มาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จะยังเข้าครัวทำอาหารให้ผู้มีพระคุณกินไหวได้อย่างไร เหล้า มี ล้วนเป็นเหล้าที่คุณชายเฉินเหลือทิ้งไว้ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็เหลือเอาไว้ทุกปี ไม่ว่าจะดื่มแค่ไหนก็ล้วนมีมากพอให้ดื่ม…”

เฉินผิงอันเอางอบหนีบไว้ใต้รักแร้ ใช้สองมือกุมมือของหญิงชราเบาๆ พูดอย่างละอายใจว่า “ท่านยาย เป็นข้าที่มาช้าไป”

หญิงชรารีบหันไปตะโกนเรียก “นายท่าน ฮูหยิน คุณชายเฉินมาแล้ว มาแล้วจริงๆ”

หยางหว่างสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บุรุษที่ปีนั้นยอมกลายเป็นผีชางโดยไม่เสียดายเพื่อต่อชีวิตให้ภรรยา กับสตรีแต่งงานแล้วที่สีหน้าสดใสคนหนึ่งพากันสาวเท้าเดินเร็วๆ มาที่หน้าประตู

สองสามีภรรยาพอพบเฉินผิงอันก็ทำท่าจะลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับ

ถ้อยคำนับพันนับหมื่น ล้วนไม่อาจตอบแทนพระคุณยิ่งใหญ่ของปีนั้นได้หมด

เฉินผิงอันคิดจะห้ามปรามคนทั้งสอง แต่กลับถูกหญิงชราจับมือไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เฉินผิงอันรับพิธียิ่งใหญ่นี้

เฉินผิงอันจึงได้แต่ปล่อยให้พวกเขาทำไป

หยางหว่างและอิงอิงผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นยืนแล้ว

หญิงชราถึงได้ยอมปล่อยมือ

หยางหว่างและภรรยาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

เด็กหนุ่มในอดีตผู้นั้น ดูเหมือนว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ได้กลายมาเป็นคุณชายหนุ่มคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่มองดูแล้วจะผอมและอิดโรยอยู่บ้าง ทว่ากลับเหมือนเซียนกระบี่สมชื่อมากกว่าเดิม ดีจริงๆ

คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในเรือน เฉินผิงอันย่อมช่วยปิดประตูใหญ่ให้หญิงชรา หยางหว่างและภรรยาก็ยิ่งยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ หญิงชราที่ถูกแย่งหน้าที่อดบ่นไม่ได้ บอกว่างานที่ใช้แรงไม่กี่ชั่งนี้ ไหนเลยต้องรบกวนคุณชายเฉินด้วย

หญิงชราบอกว่าจะไปก่อไฟทำอาหารมื้อดึกที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ทว่าหญิงชรากลับไม่ยอมตอบรับ สตรีแต่งงานแล้วจึงบอกว่านางเองก็จะไปทำกับแกล้มจานเล็กๆ ด้วยตัวเองเหมือนกัน ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับคุณชายเฉินอย่างถูไถไปก่อน

หยางหว่างพาเฉินผิงอันไปนั่งในห้องโถงที่คุ้นเคย ตลอดทางก็เล่าถึงเหตุการณ์ในปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันจากไป

ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

หยางหว่างที่ปีนั้นเกือบจะตกสู่วิถีมาร ตอนนี้ได้กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนอีกครั้ง แม้จะบอกว่าหลังจากถูกถ่วงรั้งอยู่บนมหามรรคาย่อมถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพร แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นที่เป็นผีชางซึ่งจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผีแล้ว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ ต้องรู้ว่าเดิมทีหยางหว่างที่อยู่ในสำนักโองการเทพเคยถูกมองเป็นว่าที่เซียนดินโอสถทอง ถูกสำนักอบรมปลูกฝังให้ความสำคัญ ภายหลังเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น เพื่อด่านความรัก เขาเป็นฝ่ายสละทิ้งมหามรรคา สิ่งที่ได้มาและสูญเสียไประหว่างเรื่องราวในครั้งนี้ จะหวานหรือขม หยางหว่างล้วนรู้ชัดเจนดีอยู่กับใจตัวเอง เพียงแต่เขาไม่เคยเสียใจภายหลังก็เท่านั้น

ส่วนภรรยาที่เดิมทีถูก ‘กักขัง’ ไว้บนหอซิ่วโหลวก็ยิ่งได้กลับคืนมามีรูปโฉมเดิม อีกทั้งบนเส้นทางของการฝึกตนยังโชคดีกว่าสามีอย่างหยางหว่าง นางยังฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกหนึ่งขั้น ดังนั้นตอนนี้จึงสามารถนำร่างเดิมทิ้งไว้ในหอซิ่วโหลวของเรือนด้านหลัง แล้วใช้จิตหยินออกมาท่องยามราตรี หรือต่อให้ออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่เป็นปัญหา แทบไม่แตกต่างอะไรไปจากสตรีแต่งงานแล้วทั่วไปในโลกมนุษย์ ไม่ต้องถูกพายุลมกรดในฟ้าดินพัดกัดกินอยู่ทุกค่ำเช้า ไม่ต้องทนทรมานกับจิตวิญญาณที่กระเพื่อมสั่นสะเทือนอีกต่อไป

หยางหว่างถามถึงนักพรตหนุ่มจางซานเฟิงและมือดาบเคราดกสวีหย่วนเสีย เฉินผิงอันก็เล่าให้เขาฟังไปทีละเรื่อง

เฉินผิงอันเองก็ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเจ้าเมืองแยนจือและทายาทขุนนางอย่างหลิวเกาหวา หยางหว่างจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ฟัง บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นจึงไปรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการมณฑลชิงโจวแคว้นไฉ่อี กลายไปเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน นอกจากนี้บุตรสาวของเขาก็กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพแล้ว การที่เจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการมณฑลก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย

ส่วนหลิวเกาหวานั้น หลายปีมานี้ยังเคยมาเยี่ยมที่จวนอยู่สองครั้ง เมื่อเทียบกับความเสเพลในอดีต ชอบอาศัยข้ออ้างว่าอยากจะท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสวยน้ำใส ไม่ยินดีจะไปสอบชิงตำแหน่งขุนนางแล้ว ทุกวันนี้ก็ถือว่าสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ เพียงแต่ว่าผลการสอบระดับแคว้นก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก จึงยังมีสถานะเป็นแค่จวี่เหริน ดังนั้นครั้งที่สองที่มาเยือนจวนจึงดื่มเหล้าดับทุกข์ไปไม่น้อย บ่นให้ฟังว่า บิดาของเขายื่นคำขาดแล้วว่า หากยังสอบไม่ติดจิ้นซื่อจะให้เขาแต่งภรรยาเข้าบ้านก็พอ

เฉินผิงอันยังถามถึงเรื่องของผู้ฝึกตนอย่างอวี๋เวิงเซียนเซิง หยางหว่างบอกว่าบังเอิญยิ่งนัก อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง ตอนนี้อยู่ในเมืองแยนจือ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเขารับลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวหลวนมา พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยม แต่ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ท่านผู้เฒ่าก็มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจเหมือนกัน ว่ากันว่าแคว้นแยนจือมีผู้นำเซียนซือบนภูเขาท่านหนึ่งที่ถูกชะตากับจ้าวหลวน หวังว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะมอบศิษย์ของตนไปให้เขา หากตกลงจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ และยังยินดีจะเชื้อเชิญอวี๋เวิงเซียนเซิงให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักด้วย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้ตอบรับ

เฉินผิงอันฟังเงียบๆ มาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เซียนซือท่านนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แล้วมีขอบเขตอะไร?”

แม้หยางหว่างจะเป็นผีชางมานานหลายปี รากฐานจิตวิญญาณและรากฐานในการฝึกตนล้วนถูกทำร้าย แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักโองการเทพ บวกกับที่ทุกวันนี้ไม่มีภาระใดๆ อีกแล้ว จึงเป็นเหตุให้ยามที่พูดถึงเหล่าผู้นำเซียนซือของแคว้นไฉ่อี ยังคงสามารถพูดคุยได้อย่างผ่อนคลายไร้ความยำเกรง เขายิ้มตอบว่า “คงเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนได้เลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร ดังนั้นจึงหลงระเริงลำพองใจ ทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ร้อนเป็นไฟกันไปหมด อีกทั้งยังรับลูกศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนักมาอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งดีและไม่ดี สำนักที่เดิมทียังถือว่ามีชื่อเสียงไม่เลว กลับสู้ในอดีตไม่ได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปลองสืบหาข่าวเพิ่มอีกสักหน่อย”

หยางหว่างยิ้มกล่าว “คำพูดเหล่านี้ของข้า เดิมทีก็ได้ยินจากคนอื่นมาอีกที ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้”

สุราและกับแกล้มถูกยกขึ้นโต๊ะ

สุราคือสุราหมักเองที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจไปมาก อาหารก็ครบทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ

สตรีแต่งงานแล้วและหญิงชราต่างก็พากันนั่งลง ในจวนแห่งนี้ไม่มีระเบียบที่คร่ำครึอะไรมากมาย

บางทีอาจเป็นเพราะอยากให้เฉินผิงอันดื่มเยอะๆ หน่อย หญิงชราจึงเอาจอกเหล้าพิเศษของแคว้นไฉ่อีให้กับนายท่านและฮูหยินของตัวเอง มีเพียงของเฉินผิงอันเท่านั้นที่ใช้ถ้วยเหล้าใบใหญ่

หยางหว่างลุกขึ้นยืนดื่มคารวะเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมอีกครั้ง อิงอิงภรรยาของเขาและหญิงชราก็ลุกขึ้นตามไปด้วย

เฉินผิงอันที่มือหนึ่งถือถ้วยเหล้าจึงได้แต่ลุกขึ้นตาม กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำแบบนี้อีก คราวหน้าข้าคงไม่กล้ามาเป็นแขกแล้วจริงๆ”

หลังจากกระดกเหล้าดื่มจนหมด หยางหว่างก็พูดหยอกล้อว่า “รอให้คุณชายเฉินมาคราวหน้าค่อยว่ากัน”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าในถ้วยรวดเดียวหมด หญิงชราร้อนใจขึ้นมาทันที กลัวว่าเขาดื่มเร็วไปแล้วจะทำร้ายร่างกาย จึงรีบพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ค่อยๆ ดื่ม ค่อยๆ ดื่ม เหล้าไม่วิ่งหนีออกจากถ้วยหรอก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านยาย ตอนนี้ข้าคอแข็งแล้ว วันนี้อารมณ์ดี ดื่มให้มากสักหน่อย อย่างมากก็แค่เมาหลับไปเท่านั้น”

หญิงชรารินเหล้าใส่ถ้วยให้เฉินผิงอันพลางบ่นต่อ “ต่อให้คอแข็งแค่ไหนก็ยังต้องค่อยๆ ดื่ม ดื่มช้าหน่อยก็จะได้ดื่มได้เยอะหน่อยอย่างไรล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะดื่มช้าๆ ข้าเชื่อฟังท่านยาย”

เฉินผิงอันเล่าเรื่องการเดินทางไกลของตัวเองให้พวกเขาฟังคร่าวๆ บอกว่าหลังจากไปจากแคว้นไฉ่อีก็ไปที่แคว้นซูสุ่ย จากนั้นก็นั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนเลียบไปตามเส้นทางมังกรเดินสายนั้นไปยังนครมังกรเฒ่า จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากไปที่ภูเขาห้อยหัวมารอบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้กลับมาที่แจกันสมบัติทวีปทันที แต่ไปที่ใบถงทวีปก่อน แล้วค่อยกลับมานครมังกรเฒ่าอีกครั้ง พอไปถึงแคว้นชิงหลวนแล้วถึงค่อยกลับบ้านเกิด ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่และทะเลสาบซูเจี่ยนนั้น เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถึง ระหว่างนี้เขาก็เลือกยกเอาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้พวกเขาฟัง หยางหว่างกับสตรีแต่งงานแล้วฟังอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะหยางหว่างที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักที่มีอักษรคำว่าจงที่ยิ่งรู้ว่าการเดินทางไกลข้ามทวีปนั้นไม่ง่ายเลย ส่วนหญิงชรานั้น นางอาจไม่สนด้วยซ้ำว่าเฉินผิงอันพูดถึงความมหัศจรรย์มากมายที่มีอยู่บนโลกกว้างหรือพูดถึงเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในหมู่ชาวบ้าน นางล้วนชอบฟังทั้งสิ้น

ตลอดคืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปมากถึงสองจินกว่า ไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ และครั้งนี้เขาก็ยังคงนอนพักในห้องที่เคยมาพักค้างแรมเมื่อคราวก่อน

เช้าวันที่สองเฉินผิงอันก็มานั่งอาบแดด คุยเล่นเป็นเพื่อนหญิงชราให้นานสักหน่อย เฉินผิงอันที่เดิมทีควรต้องออกเดินทางในวันที่สามถูกหญิงชรารั้งไว้อย่างสุดชีวิต จึงอยู่ต่ออีกวันหนึ่ง

รุ่งอรุณมาถึง ฝนฤดูใบไม้ร่วงพรำลงมาเป็นสาย

เฉินผิงอันสวมงอบอีกครั้ง ยืนอำลากับคนทั้งสามที่หน้าประตูของจวนโบราณ

ด้วยห้ามปรามหญิงชราที่บอกว่าแม้ฝนฤดูใบไม้ร่วงจะตกไม่แรง แต่อันที่จริงก็ทำร้ายร่างกายไม่ได้ นางยืนกรานจะให้เฉินผิงอันสวมชุดกันฝน เฉินผิงอันจึงได้แต่สวมใส่ไว้ ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ปีนั้นเป็นตัวเปิดเผยสถานะ ‘เซียนกระบี่’ ก็ถูกหญิงชรารินเหล้าที่หมักเองใส่ไว้จนเต็ม

ก่อนจะจากลากัน หญิงชราที่ยืนอยู่ใต้ชายคาก็กุมมือเฉินผิงอันอีกครั้ง “อย่ารังเกียจที่ยายพูดมากแล้ววันหน้าจะไม่อยากมาอีกล่ะ”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าทั้งชอบดื่มเหล้าทั้งตะกละ ท่านยายไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้ข้าคิดถึงอาหารและสุราของที่นี่ตั้งกี่ครั้ง”

หญิงชราก้มหน้าเช็ดน้ำตา “แบบนี้ก็ดี แบบนี้ก็ดี”

เฉินผิงอันประคองงอบบนศีรษะ เอ่ยอำลาเบาๆ แล้วสาวเท้าจากไปอย่างเชื่องช้า

หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง มือกระบี่หนุ่มพลันหันตัวกลับ เดินถอยหลัง โบกมืออำลาหญิงชราและสามีภรรยาคู่นั้น

หญิงชราตะโกน “คุณชายเฉิน คราวหน้าอย่าลืมพาแม่นางหนิงคนนั้นมาเป็นแขกของที่นี่ด้วยกันล่ะ!”

เฉินผิงอันหน้าแดงน้อยๆ ตะโกนตอบเสียงดัง “ได้เลย!”

ท่ามกลางม่านฝน แผ่นหลังของคนหนุ่มที่สวมงอบสานจากไม้ไผ่ สวมชุดกันฝนค่อยๆ จากไปไกล

หญิงชราเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง หยางหว่างกังวลว่านางจะทนรับไอเย็นจากฝนฤดูใบไม้ร่วงไม้ไหว จึงบอกให้หญิงชรากลับไปก่อน หญิงชรารอจนเงาร่างของคนหนุ่มผู้นั้นหายลับไปแล้วถึงกลับเข้าเรือน

อิงอิงสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่?”

จากนั้นนางก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงไม่ได้พูดประโยคที่อยากจะพูดต่อ เพียงเอ่ยขออภัยว่า “สามีอย่าได้ตำหนิที่อิงอิงทำตัวหน้าเลือดไร้รสนิยมเลย”

ความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของนางพลันหายวับไป เอ่ยพึมพำว่า “ไหนเลยจะควรให้คุณชายเฉินต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ท่านพี่ทำได้ดีแล้ว ไม่พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ และพวกเราก็ไม่ควรไม่รู้จักพอเช่นนั้นจริงๆ”

หยางหว่างกุมมือข้างหนึ่งของนาง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเองก็หวังดีกับข้า”

สตรีแต่งงานแล้วพลันอารมณ์ดีขึ้นมา นางคลี่ยิ้ม “ท่านพี่ คนดีต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน ใช่ไหม?”

หยางหว่างกล่าว “คนดีคนอื่น ข้าไม่กล้ายืนยัน แต่ข้าหวังว่าเฉินผิงอันจะต้องเป็นเช่นนี้”

สตรีแต่งงานแล้วคลี่ยิ้มหวาน “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแค่คุณชายเฉินมาดื่มเหล้า มาเป็นแขกที่จวนก็ดีใจมากแล้ว”

หยางหว่างอืมรับหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู”

ท่ามกลางม่านฝน

เฉินผิงอันเดินอ้อมเส้นทางมาถึงนอกศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่แล้วถูกรับเข้าสู่ทำเนียบภูเขาแม่น้ำของราชวงศ์แคว้นไฉ่อี เขาเดินก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน

ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังเป็นเช้าตรู่ ในศาลเทพภูเขาที่ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักของศาลเถื่อนจึงยังไม่มีผู้มีจิตศรัทธาคนใดมาเยือน

เฉินผิงอันปลดงอบลง สะบัดน้ำฝนทิ้ง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป

ไม่ได้จงใจอำพรางปณิธานหมัดและลมปราณของตัวเองอีก

เทพภูเขาในพื้นที่รีบเผยกายด้วยร่างทองทันที เขาคือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะที่เรือนกายกำยำคนหนึ่ง เดินออกมาจากเทวรูปหลากสีสันด้วยความกระวนกระวายใจ กุมหมัดคารวะพลางเอ่ยว่า “เทพน้อยคารวะเซียนซือ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “รบกวนท่านแล้ว ข้ามาที่นี่เพราะอยากจะถามสักหน่อยว่าภูเขาตระกูลเซียนในแถบนี้มีผู้ฝึกตนคนใดละโมบอยากได้ปราณวิญญาณของจวนหลังนั้นหรือไม่”

ทั้งไม่ใช่ภาษาทางการของแคว้นไฉ่อี แล้วก็ไม่ใช่ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป แต่ใช้ภาษาทางการของต้าหลี

ตอนนี้การพูดภาษาทางการต้าหลีได้อย่างคล่องแคล่วล้วนเป็นสิ่งที่องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดสมควรมี เทพภูเขายิ้มกระอักกระอ่วน กำลังจะใคร่ครวญหาคำพูดที่เหมาะสม คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มีพลังอำนาจน่าตะลึงผู้นั้นจะสวมงอบใหม่อีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านเทพภูเขาช่วยดูแลให้ด้วย”

เทพภูเขาท่านนี้รู้สึกเพียงว่าตัวเองไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง จึงรีบกล่าวเสียงหนักทันที “ไม่กล้าพูดว่าจะดูแลอะไร แต่ขอให้เซียนซือโปรดวางใจ เทพน้อยก็เป็นเหมือนเพื่อนบ้านของสองสามีภรรยาหยางหว่าง ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เทพน้อยรู้ดีว่าควรทำเช่นไร”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ ก่อนจะจากไปเขาได้เอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “ถือซะว่าข้าไม่เคยมา”

องค์เทพภูเขาท่านใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบพิธีการของราชสำนักแคว้นไฉ่อีซึ่งรับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์พื้นที่ฮวงจุ้ยแถบนี้รีบพยักหน้ารับ ในใจพลันกระจ่างแจ้ง

หากไม่ฉลาดมากพอ ลำพังแค่อาศัยคุณความชอบตอนยังมีชีวิตอยู่กับผลบุญที่สะสมมาหลังจากตายไปก็ไม่มีปัญญาจะช่วงชิงของว่างหอมกรุ่นชิ้นนี้มาครองได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกครองดูแลภูเขาแม่น้ำของพื้นที่หนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ต่างจากการปีนป่ายอยู่ในวงการขุนนางเลย

เฉินผิงอันออกมาจากศาลเทพภูเขา

ส่วนเทพภูเขาก็เดินวนเวียนอยู่ในตำหนักใหญ่ช้าๆ สุดท้ายตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ไปตอแยจวนแห่งนั้นอีก ต่อให้ปราณวิญญาณจะมีมากแค่ไหนก็ไม่ใช่น้ำแกงที่เขาจะแบ่งเอามาได้

—–