บทที่ 496 ขาดแค่ทะเบียนสมรส

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 496 ขาดแค่ทะเบียนสมรส

เป็นธรรมดาที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้ให้ความสนใจกับหล่อนเลย

กระนั้นก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าทำไมจางเหมยเหอถึงได้ยอมละทิ้งชีวิตที่ดีและยังดึงดันไปตามเส้นทางสายนี้ต่อไป?

ไม่มีผู้ใดสนใจกับเรื่องในอดีตของหล่อน ต่อมาหล่อนได้แต่งงานไปกับพ่อม่ายที่มีลูกติด แต่หล่อนยังทำตัวเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกกำแพง(1) จนต้องจบลงด้วยการหย่า ตั้งแต่นั้นมาหล่อนก็ปล่อยมือจากหม้อแตก(2)

พูดได้เพียงว่า ข้าวชนิดเดียวกันสามารถเลี้ยงผู้คนได้นับร้อยประเภท(3)

อย่างไรก็ดี จางเหมยเหอได้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ในวันที่ 2 ของปีใหม่

หล่อนมารอครอบครัวของตนจนถึงตอนเที่ยง ก่อนที่จะเห็นจางเหมยเหลียนน้องสาวของตนกลับมา

สีหน้าท่าทางของจางเหมยเหลียนดูดีทีเดียว ไม่น่าแปลกอะไร ธุรกิจร้านค้าในตอนนี้ดีมาก ๆ แต่ละเดือนหล่อนจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่า 200 หยวน ซึ่งรายได้มากกว่าตอนที่หล่อนเป็นลูกจ้างมากนัก

“ทำไมเธอถึงเพิ่งกลับมาตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าฉันมารอเธออยู่นานแค่ไหนแล้ว?” จางเหมยเหอพูดอย่างโมโหเมื่อเห็นหล่อนกลับมา

“มารอฉันงั้นเหรอ?” จางเหมยเหลียนพูด

“วันปีใหม่เธอก็ไม่ได้อยู่บ้าน เธอไปไหนมา?” จางเหมยเหอถาม

จางเหมยเหลียนเลิกคิ้วและไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเห็นท่าทางของหล่อน จางเหมยเหอก็เข้าใจได้ทันทีว่าหล่อนกำลังคบหาอยู่กับผู้ชายนอกบ้าน

“ฉันว่าแล้วว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้” จางเหมยเหอแค่นเสียงออกมา แค่มองก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นสีหน้าท่าทางของผู้ที่ไม่ขาดแคลนผู้ชาย

“มีอะไรหรือคะ?” จางเหมยเหลียนถาม

จางเหมยเหอกลับเข้าเรื่องธุระของตน ตอนที่กลับมาบ้านหล่อนได้ยินว่าเด็กคนนี้เปิดร้านเสื้อผ้าของตัวเอง หล่อนจึงต้องการจะหุ้นด้วย

หล่อนอยู่ในธุรกิจนั้นมานานและมีเงินเก็บอยู่บ้าง อีกทั้งหล่อนก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถทำแบบนี้ไปได้ตลอด ดังนั้นหล่อนจึงต้องการจะเป็นหุ้นส่วนด้วย

จางเหมยเหลียนไม่เห็นด้วย ชื่อเสียงของพี่สาวตนเลวร้ายมาก หล่อนจะยอมให้พี่สาวไปที่นั่นได้อย่างไร?

หากมีคนเห็นหล่อนเข้า พวกเขายังจะสามารถทำธุรกิจได้อีกหรือ?

หล่อนต้องพึ่งร้านเสื้อผ้าแห่งนี้ ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธออกไปทันที “มาเข้าหุ้นด้วยไม่ได้หรอก ฉันร่วมหุ้นอยู่กับคนอื่น ตอนนี้ธุรกิจก็ดีมากด้วย อีกฝ่ายจะเต็มใจแบ่งส่วนแบ่งออกมาให้ได้ยังไงล่ะคะ?”

“เธอไม่ตกลงเหรอ?” จางเหมยเหอพูด

“มันไม่ได้อยู่ที่ฉันว่าจะตกลงหรือไม่ ฉันตัดสินใจเองไม่ได้ อีกอย่างพี่ก็มีชื่อเสียงแย่มาก อีกฝ่ายคงจะไม่เต็มใจร่วมหุ้นกับพี่หรอกค่ะ” จางเหมยเหลียนตอบ

“เธอก็ไม่ได้อยู่แถวนี้นี่ แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้ยังไง?” จางเหมยเหออดแย้งออกมาไม่ได้

“คนที่ฉันทำงานด้วยเขารู้จักพี่” จางเหมยเหลียนบอก

เมื่อสอบถามจนได้รู้ว่าฝ่ายนั้นคือสวี่เชิ่งเหม่ยหลานสาวของครอบครัวตระกูลโจว จางเหมยเหอก็รู้สึกหงุดหงิดและอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “แล้วหล่อนยอมมาร่วมหุ้นกับเธอได้ยังไงล่ะ?”

“ฉันคือฉัน พี่คือพี่ พวกเราเป็นคนละคนกันนี่คะ” จางเหมยเหลียนพูด

หล่อนก็ไม่ได้พักอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน หลังมื้ออาหารแล้วหล่อนก็หิ้วกระเป๋าตรงกลับไปที่หอพักของสวี่เชิ่งเฉียงทันที

ตอนนี้หล่อนพักอยู่ที่นี่ เป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว

“เหมยเหลียน ผมคิดว่าวันนี้คุณจะไปพักอยู่ที่บ้านเสียอีก” สวี่เชิ่งเฉียงโอบตัวหล่อนเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันอยากจะใช้เวลาในช่วงปีใหม่อยู่กับคุณน่ะค่ะ” จางเหมยเหลียนยกมุมปากยิ้ม

สวี่เชิ่งเฉียงย่อมรู้สึกมีความสุข เขาไม่คิดเลยว่าสาวปักกิ่งหน้าตาสะสวยเช่นนี้จะเต็มใจมาคบกับเขา

“พี่สาวคุณจะมาที่นี่หรือเปล่าคะ?” จางเหมยเหลียนเอ่ยต่อ

“ถ้าพี่สาวผมจะมา ก็ให้มาเถอะครับ ถึงหล่อนรู้เรื่องของเราก็ไม่เป็นไรหรอก” สวี่เชิ่งเฉียงพูดด้วยหน้าตาเฉยเมย

“คุณไม่รู้อะไร ฉันเคยถูกผู้ชายคนอื่นหลอกมาก่อนเลยมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักในละแวกบ้านของคุณน้าคุณน่ะค่ะ พี่สาวคุณก็รู้เรื่องนี้ด้วย แถมฉันยังอายุมากกว่าคุณ 2-3 ปี ตอนนี้พี่สาวของคุณได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีแล้ว หล่อนคงจะไม่หมายตาคนอย่างฉันเป็นน้องสะใภ้หรอกค่ะ” จางเหมยเหลียนตอบ

“ทีตัวหล่อนแต่งเข้ามาอยู่ในปักกิ่งได้ หล่อนจะกล้าไม่อนุญาตให้ผมแต่งงานกับสาวจากปักกิ่งได้บ้างเหรอ? อีกอย่างเรื่องในอดีตคุณก็ถูกหลอกนี่ครับ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการสักหน่อย ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอกครับ” สวี่เชิ่งเฉียงกล่าว

จางเหมยเหลียนมองทางเขาพลางพูดว่า “เฉียงจือ ฉันเชื่อใจคุณค่ะ ฉันเต็มใจจะอยู่กับคุณ ฉันไม่สนใจหรอกแม้คุณจะมีทะเบียนบ้านในชนบท แต่คุณต้องพยายามให้มากเข้าใจไหมคะ? คุณต้องทำงานให้หนักเพื่อให้ฉันได้มีชีวิตที่ดีนะคะ”

“หลังปีใหม่ผมจะไปตั้งแผงขายของ ผมจะต้องทำให้คุณมีชีวิตที่ดีได้อย่างแน่นอนครับ” สวี่เชิ่งเฉียงพยักหน้า

“การตั้งแผงไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาวเลยนะคะ” จางเหมยเหลียนไม่พอใจ

การตั้งแผงขายของจะถือว่าประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ผู้คนต่างก็ดูถูกในเรื่องนี้

สวี่เชิ่งเฉียงยืนยัน “ตั้งแผงขายของมีกำไรดีมากนะครับ ผมสามารถทำเงินได้มากกว่า 100 หยวนต่อเดือนเลย!” เขาออกไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าและหาเงินได้มากกว่า 100 หยวนต่อเดือน ซึ่งนี่ดีกว่าทำงานอยู่ที่โรงงานของครอบครัวจ้าวมากมายนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนออกไปตั้งแผงขายของ เขาไม่ต้องคอยมาดูสีหน้าของผู้อื่น นี่มันดีขนาดไหนล่ะ? สวี่เชิ่งเฉียงรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบันของตนเองมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เขาตามจีบจางเหมยเหลียน และทั้งคู่ก็มาใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยากันจริง ๆ ในหอพักแห่งนี้ ขาดแค่ทะเบียนสมรสเท่านั้นเอง

จะได้หน้ามากสักแค่ไหนหากได้แต่งงานกับหญิงสาวจากปักกิ่งและพาหล่อนกลับไปด้วย? ถ้าเกิดขึ้นจริงจะมีใครในหมู่บ้านที่จะไม่อิจฉาเขาบ้าง?

จางเหมยเหลียนไม่ได้พูดอะไร การได้เงินมากกว่า 100 หยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย

“เงินที่คุณหามาได้ไม่ได้เอามาให้ฉันเลยค่ะ” จางเหมยเหลียนจ้องหน้าเขา

“ผมจะจัดการเรื่องเงินของผมเอง” สวี่เชิ่งเฉียงบอก เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่พอใจ เขาจึงเปลี่ยนท่าทีพลางเอ่ยว่า “พอคุณแต่งงานกับผมแล้ว ผมจะเอาเงินไปให้คุณเป็นคนดูแล”

แบบนี้จึงจะไม่แข็งกร้าวเกินไป

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่รู้ว่าเลยว่าหุ้นส่วนของหล่อนได้มาพัวพันกับน้องชายของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังวางแผนไว้ว่าจะกลับไปที่ชนบทด้วยกันในปีนี้เพื่อจัดการเรื่องพิธีการแต่งงาน

ครอบครัวจ้าวมีญาติพี่น้องอยู่มากมาย ท้ายที่สุดแล้วครอบครัวที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้จะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเพียงน้อยนิดได้อย่างไร?

ด้วยเหตุที่สวี่เชิ่งเหม่ยทำเงินได้ในปีนี้ หล่อนจึงมีเงินเก็บอยู่บ้างเล็กน้อยและทำให้มีความมั่นใจสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หล่อนยังคงอ่อนน้อมถ่อมตัวดั่งที่เคยเป็น อย่างน้อย ๆ ก็ต่อหน้าเหล่าญาติพี่น้องของครอบครัวจ้าว

ทว่าสิ่งที่ทำให้สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกเหนื่อยล้าคือ ผู้คนไม่ได้ปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนเป็นต้นหอม(4)เลย ในทางกลับกัน พวกเขาปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ที่อยู่ว่าง ๆ ทั้ง 2 คนของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นั่นเป็นเพราะครอบครัวของพวกหล่อนในปักกิ่งไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ ต่างกับหล่อนซึ่งไม่มีรากฐานใด ๆ เลย

ไม่ว่าหล่อนจะมีท่าทางโอบอ้อมอารีหรือสุภาพเรียบร้อยสักแค่ไหน ผู้คนก็ยังไม่ให้ความสนใจต่อหล่อนอยู่ดี

เปลือกนอกของสวี่เชิ่งเหม่ยนั้นดูเงียบสงบ ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าจริง ๆ แล้วหล่อนกำลังโกรธมาก อย่างไรก็ตามผู้คนก็ไม่ได้สนใจอยู่ดีว่าหล่อนจะโกรธหรือไม่

หลังจากกลับไปที่ห้องแล้ว สวี่เชิ่งเหม่ยก็บอกเรื่องนี้กับจ้าวจวิน

“แล้วเธอต้องการอะไรล่ะ? พวกเขาก็เป็นแบบนี้ ครอบครัวของพวกเขาต่างก็ร่ำรวย พวกเขาจะต้องแสดงท่าทางดี ๆ อะไรกับเธอเล่า?” จ้าวจวินกล่าว

สรุปแล้วประเด็นก็คือหล่อนเป็นคนไม่มีเงิน ต่อให้หล่อนแต่งงานกับจ้าวจวินก็ตาม!

ผู้คนก็ยังดูถูกหล่อนอยู่ดี นี่ไม่ใช่ปัญหาของจ้าวจวินหรอกหรือ!

“พรุ่งนี้ฉันตั้งใจจะไปหาคุณตาคุณยายค่ะ แล้วก็จะแวะไปสวัสดีปีใหม่คุณน้าสี่ด้วย คุณไปกับฉันนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

หล่อนไม่ได้อยากจะไปที่นั่นนักหรอก แต่การที่ได้เห็นทัศนคติของครอบครัวจ้าวในตอนนี้ หล่อนไม่ไปไม่ได้เด็ดขาด

หล่อนยังต้องการความสนับสนุนจากครอบครัวที่ดีเยี่ยมทางบ้านแม่อยู่ ไม่เช่นนั้นจะมีใครในครอบครัวจ้าวเห็นหล่อนอยู่ในสายตาบ้างเล่า

แม้ว่าร้านเสื้อผ้าของหล่อนจะทำเงินได้ แต่เงินจำนวนนี้สำหรับครอบครัวจ้าวแล้วเป็นเพียงเศษเงินเท่านั้น

จ้างจวินไม่ต้องการจะไป “ถ้าเธออยากจะไป ก็ไปคนเดียว ฉันจะไม่ไปที่นั่นเพื่ออดทนข่มโทสะอีกแล้ว!”

…………………………………………………………………………………………….

(1) หมายถึง หญิงที่นอกใจ / คบชู้สู่ชาย

(2) หมายถึง เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็ปล่อยเลยตามเลยโดยไม่ยอมแก้ไขหรือแม้กระทั่งตั้งใจทำให้มันแย่ลงไปอีก

(3) เปรียบได้กับ แต่ละคนย่อมมีความคิดและพฤติกรรมที่แตกต่างกันแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน

ข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงผู้คนได้นับร้อยประเภทในบริบทของตอนนี้ก็คือการเปรียบจางเหมยเหอเป็นผู้หญิงสาธารณะที่ผู้ชายมากหน้าหลายตาผลัดกันมาใช้บริการ

(4) เปรียบกับ คนที่มีความสามารถ / คนสำคัญ