GGS:บทที่ 1026 การสนทนา

“เขามาจริงๆ” หนิงหยิงติง ประธานของบริษัทไจหลันได้มองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
“ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” สาวสวยคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆหนิงหยิงติงบ่นออกมา เธอเป็นโฆษกให้กับหนิงหยิงติงและน้ำหอมยี่ห้อบลูของบริษัท
และเธอก็ยังถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของหนิงหยิงติง นี่ทำให้เธอได้ออกมางานเลี้ยงในนามบริษัทบ่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า สาวสวยอย่างหนิงและนาหลันยังสนใจกับเขาด้วยเหรอ” หญิงสาวคนหนึ่งได้แซวสาวสวยทั้งสองคน
“เพลงที่คู่หมั้นของฉันชอบมากที่สุดนั่นก็คือเพลงเต้นรำกับพระจันทร์ที่บรรเลงโดยซูจิ้ง แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่ฉันต้องสนใจเขาบ้าง

แต่กับพี่หนิงนี่ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารู้จักเขาด้วยเหตุผลอะไรเหมือนกันนะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
งานปาร์ตี้ถูกจัดขึ้นโดยหนิงหยิงติง แน่นอนว่าด้วยการที่เธอเป็นคนจัดทำให้ได้รับความสนใจจากใครหลายๆคน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสาวสวยจากบริษัทของเธอ
ถึงแม้เพียงมองแวบแรกนั้นจะเป็นปาร์ตี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนกันก็ตาม แต่ในอีกทางหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ต่างจากงานเลี้ยงหาคู่สักเท่าไหร่นัก

นั่นก็เพราะสาวสวยมักชายตาคนที่ประสบความสำเร็จ และเช่นเดียวกันคนที่ชอบความสำเร็จมักชอบสิ่งสวยงาม
เพราะฉะนั้นถึงแม้งานปาร์ตี้นี้จะมีคนที่มาเพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบเพื่อนฝูงก็ตาม
แต่อีกทางหนึ่ง ปาร์ตี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทของเธอกลับกลุ่มคนผู้มีอำนาจเป็นเป้าหมายหลัก
“ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรข้องเกี่ยวกับเขาหรอก แต่ตอนนี้ฉันมีแล้วน่ะ” หนิงหยิงติงพูดออกมาแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “เธอจำน้ำหอมที่ฉันเคยคุยให้ฟังได้ไหมล่ะ”
“ใช่ที่กลิ่นหอมๆนั่นรึเปล่า”
“ฉันเองก็ได้ใช้น้ำหอมมาเยอะแล้วนะแต่ทันทีที่ได้กลิ่นนั่นฉันก็ตกหลุมรักมันในทันที พี่หนิง น้ำหอมนั่นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพี่จริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่ไม่อยากจะให้พวกเราฟรีๆหรอกนะถึงได้บอกว่าไม่ใช่น่ะ”
“ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับซูจิ้งล่ะ”

“ก็ไม่เชิงล่ะนะ” หนิงหยิงติงพูดถึงระยะในขณะจ้องมองไปยังซูจิ้งจากที่ๆตัวเองอยู่ เธอพยายามจะคาดเดาอยู่ว่าซูจิ้งกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เมื่อเธอค่อนข้างมั่นใจว่านี่น่าจะเกี่ยวกับฉายาคุณชายสี่ นั่นเองทำให้เธอเผยรอยยิ้มราวกับนึกอะไรสนุกๆออกมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้พูดกับสาวๆในกลุ่มของเธอว่า
“น้ำหอมเทียนซินนั่นเป็นเขาที่พัฒนาและผลิตขึ้นมา และอีกไม่นาน น้ำหอมนั่นจะถูกขายในนามซือหยา”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าสาวๆในวงสนทนาต่างก็มีท่าทีไม่เชื่อคำพูดของหนิงหยิงติงกันออกมา สาวๆได้หันไปมองซูจิ้งด้วยท่าทีไม่เชื่อในทันที

เมื่อนึกถึงว่าคนที่มีเรื่องยุ่งให้ต้องบริหารมากมายไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล ร้านอาหาร หรือแม้แต่งานวิจัย คนที่ใหญ่โตแบบนี้จะไปรู้จักวิธีทำน้ำหอมชั้นยอดแบบนี้ได้ยังไงกัน
“งั้น เราก็ไปหาเขากันดีกว่า” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา
“รอเดี๋ยวก่อนสิ เธอไม่เห็นเหรอว่าซูจิ้งมาที่นี่เพื่อคุยกับฟูฮงซิ่ว ฉันว่าเรารอให้เขาคุยกับจบก่อนดีกว่า” หนิงหยิงติงได้พูดออกมา ความจริงเธอนั้นก็ยังเคืองๆซูจิ้งอยู่เหมือนกันแล้วอยากจะคุยกับซูจิ้งในสิ่งที่เขาได้ทำกับเธอให้มันจบๆไป นั่นก็เพราะเธอไม่ชอบที่จะเป็นฝ่ายถูกเล่นตลกแบบนี้
เธอนั้นนอกจากจะเป็นคนรวยแล้วก็ยังมีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน แต่เธอก็รู้ดีว่าระดับของเธอนั้นไม่มีทางแม้กระทั่งก่อกวนซูจิ้งได้ด้วยซ้ำ

อีกอย่างซูจิ้งเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันดูเกินเลยไปแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ส่งน้ำหอมมาให้เธอเพื่อลองใช้ดูเท่านั้น
เธอจึงคิดจะใช้เรื่องนี้ในการเย้าแหย่เขาเล่นเสียหน่อย และด้วยวิธีการเช่นนี้ เธอได้ชนะใจเหล่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมานักต่อนักแล้ว
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ซูจิ้งได้เข้าไปหาฟูฮงซิ่วทันทีที่มาถึง ดูเหมือนว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
ไหนจะมีคนที่มาด้วยกันกับเขาที่อยู่ข้างกายไม่ห่างไม่ยอมเข้าไปร่วมสนุกในงานปาร์ตี้นั่นอีก นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่ได้ทำไว้กับหนิงหยิงติงเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเธอแล้วรอให้เขาเสร็จเรื่องซะก่อนค่อยคุยกันก็ไม่ได้ช้าเกินไปอย่างแน่นอน

“คุณซู ได้ยินเรื่องราวของคุณมาก็ตั้งมากมาย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบคุณที่นี่แบบนี้ น่าประหลาดใจจริงๆ” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาพร้อมทั้งรินไวน์ลงไปในแก้วให้ซูจิ้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเท่ทำให้เขานั้นดูดีอยู่ตลอดเวลา
“คุณฟูก็พูดเล่นเกินไปแล้ว ผมเองก็ได้ยินเรื่องราวของคุณมาไม่น้อยเลยเหมือนกัน คุณนั้นได้มีชื่อเสียงมานานหลายปีก่อนหน้าผมซะอีก ผมเองก็เพิ่งจะมีชื่อเสียงเพียงช่วงสองปีที่ผ่านมานี่เอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน

“ผมจะไปเทียบอะไรกับคุณซูได้ล่ะ คุณซูนั้นไต่เต้ามาจากธุลีดิน แต่แค่เพียงสองปี คุณก็ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมนั้นเทียบกับคุณไม่ได้เลยจริงๆ”
ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทีเคารพ แต่คำพูดที่ใช้นั้นกลับเฉือดเฉือนอย่างเห็นได้ชัด
นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกที่จะเป็นมิตรกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ชายหนุ่มที่นั่งถัดจากเขาและชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน

ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้มองไปยังคนที่อยู่รอบๆฟูฮงซิ่วในทันที เขานั้นได้นิ่งไปพักหนึ่งเมื่อได้พบกับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขานั้นมีหน้าที่ใหญ่และฟันที่เหลือง
ซูจิ้งได้จ้องมองชายคนนี้แบบจ้องเขม็งจนทำให้ชายคนนี้รู้สึกประหม่าไม่กล้าสบตาในทันที จนในที่สุดเมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาก็หันไปสบหน้าซูจิ้งอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะเลี่ยงสายตาไปมองจมูกของซูจิ้งแทน เพราะว่าเขาไม่อยากจะใส่ใจกับการมองจากซูจิ้ง
ซูจิ้งที่จ้องมองชายวัยกลางคนคนนี้แบบตาไม่กระพริบนั้นเป็นเพราะเขานั้นรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับชายคนนี้ หลังจากเขานิ่งคิดไปสักพักหนึ่งเขาก็จำชื่อชายคนนี้ได้ในที่สุด

ชายคนนี้มีชื่อว่าหม่าเต๋า เขาเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และเคยไปที่เมืองฉิงหยุนเพื่อจะพัฒนาที่นั่นให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว
เขานั้นเคยยุยงให้ผู้ว่าการเมืองคอยตอแยฉือชิงที่ตอนนั้นยังเป็นไกด์นำเที่ยวอยู่ เขายังเคยทำเรื่องน่ารังเกียจกับฉือชิงจนทำให้เธอจิตตกไปนาน
มาตอนหลังเป็นหวังจ้าวที่ตอนนั้นไปกินอาหารทะเลที่ภัตตาคารเจิ้งฮงและจ้าวจุ่นที่หมอนี่เข้าผิดว่าเป็นบริกรเล่นงานจนไม่กล้าจะอยู่ที่นั่นต่ออีก
ไม่คิดว่าจะมาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ ดูเหมือนหมอนี่เองจะเป็นลูกน้องของฟูฮงซิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อซูจิ้งนึกเรื่องราวของหม่าเต๋อออกแต่เขาก็ไม่ไดพูดอะไรออกมา เขาหันกลับมามองยังฟูฮงซิ่ว “คุณฟู ความจริงแล้วที่ผมมาที่นี่เพราะมีเหตุผล ผมมีเรื่องที่ต้องการจะคุยกับคุณ”
“ว่ามา” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“ตอนนี้ผมนั้นกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องยนต์และรถยนต์ แต่ด้วยการที่เป็นมือใหม่ทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก
ในฐานะที่กลุ่มทุนฟูเจี่ยฮงเหอเป็นสุดยอดบริษัทรถยนต์ของจีน ทางคุณเองก็น่าจะหัวกระทิมากมายอย่างแน่นอน จะว่ายังไงรึเปล่าหากผมจะขอคนเหล่านี้มาสักคนสองคนน่ะ”

“ผมจะไปกล้าว่าอะไรกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองผมบอกได้เลยว่าได้อย่างไม่มีปัญหา” ฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาเชิงหัวเราะ แต่น้ำหนักเสียงของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันนะว่าข้าวฟรีนั้นไม่มีในโลก หากว่าคุณอยากได้ คุณก็คงต้องเสนอราคามาก่อน สำหรับนักธุรกิจอย่างผมแล้ว ผมไม่ยอมเสียแต่ไม่ได้อะไรเลยอย่างแน่นอน”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าการใช้เงินพูดคุยนั้นจะทำให้อะไรอะไรก็ง่ายขึ้น” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ไม่ ไม่ ในเมื่อเพวกเราเองก็เป็นสองในสี่คุณชายสี่เลยนะ ทำไมเราต้องมาใช้ของเล็กน้อยในการพูดคุยกันแหล่ะ”
“โอ้…แล้วคุณฟูหมายถึงอะไรล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็หมายถึงว่า ถ้าเราจะคุยกันเรื่องนี้จริง ทำไมเราไม่ใช้อะไรที่ใหญ่กว่านี้มาคุยกันอย่าง……ส่วนแบ่งจากระบบปัญญาประดิษฐ์….ใช่ๆ อันนี้ก็น่าสนใจนะ”
“แหม่ หากว่าคุณฟูพูดแบบนี้มาแต่แรกก็จบแล้ว แต่เรื่องนี้อาจจะยุ่งยากหน่อยนะ เพราะว่าผมนั้นไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องภายในของบริษัทสักเท่าไหร่
พูดตรงๆเลยนะผมเองไม่ได้รู้เรื่องธุรกิจอะไรสักเท่าไหร่นักหรอก ผมยกเรื่องนี้ให้กับบอร์ดบริหารและผู้จัดทั่วไปของบริษัทจัดการน่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรผมคงจะต้องให้คุณเสียเวลาไปคุยกันคนพวกนั้นก่อนแล้วกัน”

คำพูดที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นแม้จะฟังดูเรียบง่ายแต่หากฟังดีๆแล้วช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระแบบสุดๆ
มีหรือที่คำพูดเหล่านี้จะรอดพ้นไปจากการจับสังเกตของฟูฮงซิ่ว เขาเองก็ได้ลอบสบถออกมาแต่ก็ได้รีบคืนท่าทางง่ายๆของเขาด้วยการยิ้มเท่ๆในทันที
ด้วยในตอนนี้สมาร์ทโฟนกาลเวลาของซูจิ้งนั้นได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่ายอดขายเพียงหนึ่งวันก็เท่ากับยอดขายของแอปเปิ้ลในหนึ่งปีแล้ว

นี่แสดงให้เห็นว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั้นได้รับความนิยมจนถล่มทลาย แน่นอนว่าระบบนี้ไม่เพียงจะใช้กับสมาร์ทโฟนได้เท่านั้น
ความจริงแล้วมันสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมากมายและหลาดหลาย เรียกได้ว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯในตอนนี้สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้อย่างดีเลยทีเดียว
ฟูฮงซิ่วก็รู้เรื่องนี้ดีว่าไม่มีทางเลยที่กลุ่มทุนห้วงเวลาจะยอมปล่อยหุ้นหรือส่วนแบ่งให้คนนอก ที่ซูจิ้งบอกเขาว่าให้ไปลองคุยดูนั้นแสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังมีอะไรดีๆมากกว่านั้น แค่นี้ก็ถือได้ว่าซูจิ้งยอมเขามากเกินพอแล้ว

“งั้น…ผมมีข้อเสนอเล็กน้อย…” ฟูฮงซิ่วเองในตอนนี้เขาก็ได้ยอมรับในตัวของซูจิ้งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขาก็ยังคิดจะเล่นงานซูจิ้งอยู่ดี ในที่สุดเขาก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงเบาๆว่า
“ใช่ว่าผมจะกลัวคุณซูเล่นตลกหรอกนะ แต่ว่าผมเองก็สนใจที่จะรู้จักกับหยินหนิงหนิงมานานแล้ว ถ้าไม่ว่าอะไรทำไมคุณซูไม่ลองชวนเธอให้ผมได้ทำความรู้จักหน่อยได้รึเปล่า”
ตอนที่ฟูฮงซิ่วพูดออกมานี้เขานั้นมีท่าทีสบายๆแบบสุด ความจริงแล้วกับเรื่องแบบนี้เขานั้นไม่เคยพูดอะไรกับใครออกมาแบบนี้มาก่อน
นั่นก็เพราะว่าด้วยสถานะของเขานั้นเป็นอะไรที่ผู้หญิงมากมายต่างก็ถวิลหา แม้แต่ดาราดังก็ยังยอมเขาอย่างง่ายๆโดยแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อซูจิ้งได้ยินสิ่งที่ฟูฮงซิ่วพูดไม่ทันจะจบประโยคดี ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขาก็หายวับไปในบัดดล