บทที่ 2783 พบพาน
กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือในแขนเสื้อคล้ายจะจรดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “นามนี้ของเจ้าไม่ครบถ้วน ข้าจะตั้งแซ่ให้เจ้าสักแซ่หนึ่ง แซ่ฟั่นเป็นอย่างไร?”
ดวงตาของเชียนซื่อทอประกายกว่าเดิม “ขอบคุณอาจารย์! นับแต่วันนี้ไปเชียนซื่อก็มีนามว่าฟั่นเชียนซื่อแล้ว”
เจ้ารู้หรือไม่ว่าฟั่นมีความหมายเช่นใด?”
เชียนซื่อมองไปที่เธออย่างเงียบเชียบ “ขออาจารย์โปรดชี้แนะ”
“นิสัยเจ้าโลดโผนไม่แน่นอน ดีชั่วไม่แบ่งแยกชัดเจน กระทำการสุดโต่งอยู่บ่อยครั้ง พระพรหมเปี่ยมเมตตา หวังว่าวันหน้าเจ้าจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตา งดเว้นความชั่ว กระทำความดีเพื่อพันโลกา ปกปักษ์อำนวยสรรพสิ่งในพันโลกหล้า”
ฟั่นเชียนซื่อหลุบตาลง น้อมรับคำสั่งสอน “พึงจดจำคำสั่งสอนของท่านอาจารย์”
ถึงอย่างไรเขาก็ถือกำเนิดจากครรภ์เซียนแห่งฟ้าดิน จึงเติบใหญ่เร็วยิ่ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามปี รูปโฉมของเขาก็เหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบสองยี่สิบสามปีแล้ว พฤติกรรมก็มีความสง่างามเยี่ยงผู้ใหญ่แล้ว
….
ตี้เฮ่าที่อยู่นอกห้วงฝันทอดถอนใจ รับคนผู้นี้เป็นศิษย์จริงๆ ด้วย!
ตี้เฮ่ารู้จักนิสัยมารดาของตนดี แม้จะตั้งป้อมหวาดระแวงผู้อื่นอย่างลึกล้ำ แต่ทันทีที่ยอมรับใครสักคนแล้ว เช่นนั้นก็จะดีด้วยอย่างสุดจิตสุดใจ
ที่แท้นามฟั่นเชียนซื่อนี้ก็เป็นท่านแม่ที่ตั้งให้เขา เห็นทีว่ายามนี้ท่านแม่จะมีใจหมายให้เขาสืบทอดตำแหน่งต่อจริงๆ…
ตี้เฮ่าดูมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เลย
เขาใคร่ครวญอยู่เงียบๆ หรือว่าเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์จะยังไม่ปรากฏขึ้นในช่วงเวลานั้น?
คิดๆ ดูแล้วก็ถูก ลิขิตสวรรค์คือกฏเกณฑ์ของหกภพภูมิ ค่อยๆ บัญญัติแก้ไขจนสมบูรณ์
ส่วนในยุคนั้นของท่านแม่ หกภพภูมิไม่แบ่งแยกชัดเจน ปะปนอยู่รวมกัน ผู้คนในหกภพภูมิกระทำตามใจตน คิดเห็นไม่ตรงกันก็ต่อตีจนซากศพเกลื่อนไปทั่วทุกแห่งหน วุ่นวายอย่างยิ่ง คล้ายสภาวะอนาธิปไตยยิ่งนัก ดูเหมือนจะยังไม่มีการบัญญัติระเบียบกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ขึ้น ย่อมไม่ปรากฏเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ด้วยเช่นกัน…
หรือว่าในชาติก่อนของท่านแม่จะไม่มีการปรากฏขึ้นของท่านพ่อเลย?
ไม่รู้ว่าทำไม ตี้เฮ่าค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง สายตาของเขาร่อนลงบนหน้ากู้ซีจิ่ว ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็โคจรวิชาต่อไป เขาอยากเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วฟั่นเชียนซื่อแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายได้อย่างไร…
วิชาย้อนทวนบรรพกาลของตี้เฮ่าปรับช้าปรับเร็วได้ สามารถกรอเหตุการณ์แวบไปแวบมาได้ และดูซ้ำให้ละเอียดได้
….
ยกตัวอย่างเห็นในช่วงหลัง เขามองวันเวลาไหลผ่านปลายนิ้วไปดุจสายน้ำ
พริบตาเดียว ฟั่นเชียนซื่อกับอูอู๋เหยียนก็อยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วมาสิบปีแล้ว
สิบปีมานี้กู้ซีจิ่วทำตัวลึกลับอยู่ตลอด ติดดินอย่างยิ่ง ไม่พบหน้าผู้นำใดๆ ของทั้งหกภพภูมิเลย ต่อให้เธอออกไปข้างนอกก็จะเร้นกายหรือไม่ก็แปลงโฉมออกไป ทำให้คนจดจำไม่ได้
แต่เขตแดนที่เธอติดตั้งไว้ในหุบเขากลับยิ่งเปี่ยมด้วยรัศมีแห่งเทพ ทำให้คนไม่กล้าหมิ่นหยาม
ตี้เฮ่ามองออกแล้ว สิบปีมานี้วรยุทธ์ของกู้ซีจิ่วไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยสักนิด ตรงกันข้าม ยังคงถดถอยลงไปมากนัก
เดิมทีคือพลังยุทธฺสองส่วน ตอนนี้เหลือเพียงส่วนเดียวแล้ว แค่พอฝืนคงสถานะเทพของนางไว้ ไม่ให้นางถึงขั้นต้องขายหน้าผู้อื่น
และเนื่องจากความลึกลับซับซ้อนของเธอ จึงทำให้ผู้คนหยั่งตื้นลึกหนาบางของเธอได้ไม่กระจ่าง ผู้คนเหล่านั้นของภพภูมิอื่นจึงไม่กล้าผลีผลามส่งเดช
ยามที่ประมุขและราชันเหล่านั้นของหกภพภูมิมาหมอบกราบคารวะเทพผู้สร้างโลกองค์นี้บ้างก็ไม่สนใจ บ้างก็ส่งฟั่นเชียนซื่อออกมาเจรจาสัมพันธ์เล็กน้อย
ในเมื่อกู้ซีจิ่วรับเขาเป็นศิษย์แล้ว ก็ถ่ายทอดทักษะแทบทุกอย่างของตนเองให้ ดังนั้นฟั่นเชียนซื่อจึงก้าวหน้าไปรวดเร็วยิ่ง
ระยะเวลาไม่ถึงสิบปี วรยุทธ์ของฟั่นเชียนซื่อก็เทียบเท่าการบำเพ็ญนับพันปีของเซียนบ้านอื่นแล้ว
ยามที่เขาเพิ่งปรากฏตัวขึ้น พลังยุทธ์เป็นเพียงขั้นจินเซียน สิบปีให้หลัง ไม่น่าเชื่อว่าพลังยุทธ์ของเขาจะใกล้ถึงขั้นซ่างเสินแล้ว! นี่แทบจะเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!
เมื่อผู้นำของทั้งหกภพภูมิได้เห็นว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ เทพผู้สร้างโลกก็สามารถทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเติบใหญ่มาถึงขั้นนี้ได้แล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2784 พบพาน 2
เมื่อผู้นำของทั้งภพภูมิได้เห็นว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ เทพผู้สร้างโลกก็สามารถทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเติบใหญ่มาถึงขั้นนี้ได้แล้ว แม้ว่าเดิมทีเด็กน้อยคนนี้ก็เป็นเด็กที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อยู่แล้ว แต่การอบรบสั่งสอนแบบพิเศษของเทพผู้สร้างโลกก็เป็นสาเหตุหลักเช่นกัน
และเนื่องจากเหตุนี้ คนของหกภพภูมิจึงยำเกรงกู้ซีจิ่วยิ่งขึ้นไปอีก ไม่กล้าหาเรื่องขึ้นมาส่งเดชแล้ว
สิบปีมานี้เป็นสิบปีที่หกภพภูมิสงบสุขอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก ราษฎรของแต่ละภพได้พักหายใจ สงครามก็ลดน้อยลงมากนัก
หากคำนวณอายุตามปีเกิด ฟั่นเชียนซื่อก็อายุแค่สิบหกปีเท่านั้น แต่รูปโฉมของเขาเป็นรูปโฉมของผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว รูปโฉมหล่อเหลาเลิศล้ำขึ้นเรื่อยๆ วรยุทธ์ก็ลึกล้ำเกินหยั่งขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนอูเชียนเหยียนตอนที่มาอายุได้แปดปี ตอนนี้ก็เติบใหญ่เป็นสาวงามสะโอดสะองแล้ว ทุกอากัปกริยาล้วนเปี่ยมเสน่ห์ยิ่ง
อูเชียนเหยียนแม้นจะมิใช่เด็กอัจฉริยะ แต่อย่างไรก็เติบโตขึ้นข้างกายเทพผู้สร้างโลก ต่อให้กู้ซีจิ่วไม่ได้รับนางเป็นศิษย์ เพียงชี้แนะนางในยามว่างสองสามประโยค ก็ทำให้นางได้ประโยชน์มหาศาลแล้ว นางก็ฝึกฝนบำเพ็ญจนถึงขั้นจินเซียนแล้ว ต่อให้ออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ก็หาคู่ต่อสู้ได้น้อยนิดยิ่ง
ประกอบกับผู้คนของหกภพภูมิล้วนทราบกันดีว่านางเป็นสาวใช้ของเทพผู้สร้างโลก จึงไม่มีใครกล้ามาล่วงเกินนางจริงๆ เลี่ยงไม่ให้เป็นการชักนำหายนะมา
ดังนั้นเมื่อต้องออกไปจัดการธุระยิบย่อยบางอย่างที่ไม่สลักสำคัญ ให้อูเชียนเหยียนออกไปทำก็พอแล้ว
….
แสงตะวันอบอุ่น สาดส่องลงบนร่าง
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไผ่สานตัวหนึ่ง หลับตาบำเพ็ญจิต พลันสัมผัสถึงอะไรได้ จึงลืมตาขึ้นมา
มองเห็นฟั่นเชียนซื่อเดินเข้ามาใกล้ด้านหน้าโต๊ะตัวที่เธอพิงอยู่อย่างเงียบเชียบ วางโจ๊กที่มีควันร้อนกรุ่นชามหนึ่งลง
โจ๊กชามนั้นเขียวใสหอมหวน ใบหน้าหล่อเหลาของฟั่นเชียนซื่อแดงเรื่อนิดๆ หลุบตาลง “อาจารย์ นี่คือโจ๊กน้ำแกงมรกตที่ศิษย์ทำ ท่านลองชิมรสดูเถิด”
กู้ซีจิ่วตะแคงพิงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ขนงเนตรดูเยือกเย็นอยู่บ้าง “เจ้าทำของพวกนี้อีกแล้ว มิใช่ว่าในระยะสองสามปีนี้อาจารย์ให้เจ้าทุ่มเทสมาธิเพื่อฝึกฝนฝนวิชายุทธ์หรอกหรือ? ไยต้องทำเรื่องจิปาถะเช่นนี้อีก?”
ฟั่นเชียนซื่อก้มหน้าลงต่ำ “อาจารย์ ระยะนี้ท่านน่าจะหักโหมเกินไป สีหน้าไม่ค่อยดี โจ๊กน้ำแกงมรกตนี้สามารถบำรุงเลือดลมได้ ศิษย์ทำสิ่งนี้ก็เสียเวลาไม่เท่าไหร่หรอกขอรับ เมื่ออาจารย์รับโจ๊กชามนี้ไป ศิษย์ก็จะไปฝึกฝนวิชายุทธ์เลย”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากบางนิดๆ “ต่อไปอย่าทำอีก!” สุดท้ายก็ยกโจ๊กชามนั้นขึ้นมา ค่อยๆ ดื่มลงไป
ดวงตาฟั่นเชียนซื่อส่องประกายนิดๆ เห็นนางดื่มแล้วก็วางใจ รีบไปฝึกฝนเลย
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับมองเงาหลังของเขาอย่างใจลอยอยู่บ้าง
เป็นเธอรู้สึกหลอนไปเองหรือ? คล้ายว่าความรู้สึกที่ศิษย์คนนี้มีต่อเธอดูจะไม่ถูกต้องอยู่บ้าง…
เธอย่อมรู้ดีว่าสีหน้าของตัวเองไม่ค่อยดี แต่มิใช่สิ่งที่บำรุงรักษาแล้วจะปรับแก้ได้ กล่าวอีกอย่างคือยาบำรุงอันใดก็ไม่อาจระงับการทรุดโทรมเสื่อมถอยของเธอได้…
สัญญาณสิ้นบุญห้าประการ
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะยังดูเหมือนเด็กสาวๆ อยู่ แต่ในใจของเธอรู้ดี เธอเริ่มมีสัญญาณหนึ่งของการสิ้นบุญห้าประการแล้ว อายุขัยของเธอน่าจะไม่ถึงร้อยปีแล้ว
นิ้วมือเธอเคาะขอบโต๊ะเบาๆ คล้ายกำลังใคร่ครวญสิ่งใดอยู่
วันต่อมา ฟั่นเชียนซื่อยกโจ๊กชามหนึ่งมาให้เธออีกครั้ง ครั้งนี้เป็นโจ๊กข้าวก่ำ ในโจ๊กยังเติมสมุนไพรที่มีคุณค่าทางโภชนาการไว้มากมายด้วย การทำโจ๊กชนิดนี้ แค่รวบรวมวัตถุดิบก็กินเวลาไปครึ่งวันแล้ว ประกอบกับต้องปรุงด้วยวิธีการพิเศษ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าค่อนวัน
ฟั่นเชียนซื่อยกมาให้เธออย่างแช่มชื่นปรีดา วางไว้ตรงหน้าเธอ กู้ซีจิ่วกำลังเขียนตำราอันใดอยู่ มองดูโจ๊กชามนั้น จากนั้นก็มองฟั่นเชียนซื่อ “อาจารย์บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าทำอีก?”
ฟั่นเชียนซื่อชะงักไปแวบหนึ่ง “อาจารย์ ข้าวก่ำนี้เป็นของดีจากภพปีศาจ มันบำรุงเลือดลมได้เลิศล้ำ ถ้าอาจารย์ดื่มแล้ว สุขภาพจะได้ดีขึ้นบ้าง…”
————————————————————————————-