GGS:บทที่ 1028 เพียงก้อนกรวด

ฟูฮ่งซิ่วในตอนนี้นั้นโกรธจนตาแดงกล่ำ การที่ซูจิ้งกล้าที่จะกระชากเขาลงมากดไว้บนโต๊ะแบบนี้ทำให้เขาต้องพบกับความอับอายอย่างมาก เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“คุณซู ในฐานะที่คุณนั้นเป็นประชาชนคนหนึ่ง คุณไม่มีสิทธิในการก่อเรื่องแบบนี้นะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รีบเสนอตัวเองเข้ามาในทันที
เขานั้นเป็นคนของฟูฮงซิ่ว ถึงแม้เขาจะต่อสู้ไม่ได้ก็ตาม แต่เขาเองก็มีฝีปากชั้นเลิศจึงคิดจะใช้สิ่งนี้คลี่คลายสถานการณ์

“ประชาชนทั่วไปเหรอ ก็ไม่เชิงนะ ฉันว่าพวกแกน่าจะเหมาะกับคำว่าสัตว์ร้ายใส่เสื้อผ้ามากกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ซูจิ้ง อย่ามารังแกกันให้มากนัก” คนของฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“หึ….ถ้าพวกแกมีกึ๋นก็เข้ามา” ซูจิ้งสบถออกมา นี่ทำให้หลายๆคนต่างก็โกรธจนหน้าแดงแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร

พวกเขานั้นต่างก็เป็นเพียงลูกหลานของคนรวยเท่านั้น ถึงแม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนอื่นแต่ก็ไม่เคยลงมือเองจริงๆเลยสักครั้ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือคนตรงหน้าพวกเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเอาจำนวนเข้าว่า เขาตัวคนเดียวนั้นสามารถกวาดล้างคนมีฝีมือได้กว่าสามสิบสี่สิบคนราวกับไล่ตีหมา

ไหนจะบอดี้การ์ดที่สุดแสนจะทรงพลังนั่นอีก หากพวกเขากล้าที่จะไปเสนอหน้านั่นจะไม่ต่างจากเดินเข้าหาความตายเพียงเท่านั้น ขนาดผู้ติดตามของฟูฮงซิ่วยังไม่กล้าทำอะไรแล้วพวกเขาจะไปแส่หาเรื่องได้ยังไง
“เรียก รปภ.”
“เรียกตำรวจ”
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะทำอะไรซูจิ้งไม่ได้แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะปล่อยเรื่องนี้ไว้ได้โดยไม่ทำอะไร หากพวกเขาทำแบบนั้นจะไปกล้าสู้หน้าฟูฮงซิ่วทีหลังได้ยังไงกัน

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซูจิ้งจะไม่ได้ใส่ใจกับคำว่า รปภ. หรือแม้แต่ตำรวจเลยแม้แต่น้อย แถมเขานั้นยังเพิ่มแรงกดไปยังคอของฟูฮงซิ่วอย่างเห็นได้ชัด
นี่ทำให้ทั้งหนิงหยิงติง นาหลันเฟย และคนอื่นๆต่างก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ บางคนในตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองยังคุยกันอยู่ดีๆ ทำไมซูจิ้งถึงได้ทำอย่างนี้ขึ้นมากันล่ะ

ฟูฮงซิ่วเป็นคนแบบไหนกัน เขานั้นมีพ่อเป็นคนรวยคนหนึ่งของจีนก็แค่นั้น เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วเขานั้นดีกว่าฟูฮงซิ่วเป็นไหนๆ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามหากว่าเทียบกับเส้นสายของตระกูลฟูที่ลึกสุดหยั่งแล้ว ซูจิ้งก็อาจเทียบอะไรไม่ได้เลย หากว่าฟูฮงซิ่วเป็นอะไรไปแน่นอนว่าพ่อของเขาไม่ปล่อยเรื่องนี้อย่างแน่นอน นี่ซูจิ้งโกรธอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้เขานั้นโกรธมากมายขนาดนี้
อันจือฮ่าวเองที่อยู่ใกล้ๆก็ทำได้เพียงมองเฉยๆไม่กล้าจะทำอะไร เขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้จักซูจิ้งดีพอแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าซูจิ้งจะกล้ามีเรื่องกับฟูฮงซิ่วด้วยเรื่องนี้

ฟูฮงซิ่วก็คงจะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าจะมาตอแยซูจิ้งจนต้องมาตกอยู่ในสภาพอับอายแบบนี้
หรือว่าเขาต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้เพื่อที่จะทำให้ผู้คนโดยรอบเกลียดซูจิ้งกันแน่ กับผู้คนที่ไม่รู้ความจริงย่อมรังเกียจซูจิ้งอย่างแน่นอน
แต่กับอันจือฮ่าวที่ได้ยินทุกคำพูดแล้ว เขานั้นไม่เพียงจะไม่หวาดกลัวหรือเกลียดชังซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย แต่เขานั้นกลับเห็นด้วยกับสิ่งที่ซูจิ้งทำซะอย่างนั้น

“ซูจิ้ง แกรู้รึเปล่าว่าแกเล่นกับใครอยู่” ฟูฮงซิ่วที่ขยับไปไหนไม่ได้ก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงอันน่าเกลียดชังออกมา
“อ้าว นี่แกไม่รู้ว่าแกเป็นใครหรอกเหรอ แต่เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันนั้นมีวิธีดีๆที่จะทำให้แกจดจำได้ฝังใจเลย
ฉันจะทำให้แกจดจำไว้ขึ้นใจว่าสถานะที่แกคิดว่าสูงส่งนักหนานั่นมันใช้ไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ใครฟังแล้วก็ต้องขนลุก

“มันก็แค่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย แกจะเอาเรื่องแค่นี้มาถือสาทำซากอะไร” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันก็ไม่ว่าแกหรอกนะที่แกจะมีจิตใจที่สกปรกและหยาบช้าสามานย์ แต่ต่อหน้าฉัน แกมีหน้ามาพูดถึงผู้หญิงของฉัน ถ้าแกคิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องตลก ฉันก็จะทำเรื่องตลกสำหรับฉันกับแกเอง” ซูจิ้งสบถออกมา

ผู้คนที่ได้ยินเรื่องราวแล้วความคิดก็ได้กลับดำเป็นขาวในทันที ในตอนแรกพวกเขานั้นต่างก็รู้สึกเกลียดชังซูจิ้งอย่างลึกสุดใจ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่พูดคุยกันทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเกลียดซูจิ้งได้ลง
เป็นฟูฮงซิ่วที่กล้าไปแหย่ซูจิ้งเรื่องผู้หญิงของเขา แถมยังมีหน้ามาบอกว่าแค่ล้อเล่นซะอีก แต่พอมานึกถึงว่ากับเรื่องแค่นี้ซูจิ้งถึงกับลงมือด้วยตัวเองนี่เขาจะไม่ทำเกินไปรึเปล่า
กับเพียงเรื่องผู้หญิงกลับทำให้เขากล้าที่จะเล่นงานฟูฮงซิ่วซะขนาดนี้ นี่เขากล้าหรือบ้ากันแน่ นี่เขารู้รึเปล่าว่าตัวเองก็กำลังมีเรื่องอยู่กับลูกชายของผู้นำตระกูลฟู

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีความแข็งแกร่งและมีอำนาจอยู่ในมือ ไหนจะเรื่องที่ว่าเขานั้นเป็นที่หนึ่งของเหล่าคุณชายสี่ แต่ว่าเขานั้นเพิ่งจะเริ่มมีอำนาจไม่นานเมื่อต้องต่อกรกับตระกูลฟูที่ฝังลากลึกแบบนี้
ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาจะไปหาเรื่องตระกูลฟู ใครที่มีอำนาจกว่ากันก็เห็นๆกันอยู่
“ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แกอย่ามาทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า หากว่าแกปล่อยฉันและยอมกราบขอโทษฉันตอนนี้ฉันจะปล่อยเรื่องนี้ไป ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันให้แกยืมตัวอัจฉริยะจากกลุ่มบริษัทฉันออกไปให้แกแม้แต่คนเดียว นอกจากนั้นฉันจะทำทุกทางที่จะคัดขวางธุรกิจทางด้านเครื่องยนต์ของแกอย่างสุดกำลัง”
ฟูฮงซิ่วขมขู่ออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็ต้องมองหน้ากัน ซูจิ้งมาที่นี่เพียงเพราะต้องการยืมตัวอัจฉริยะไปพัฒนาธุรกิจด้านเครื่องยนต์ของเขา
แต่กลุ่มทุนฮงเหอนั้นเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของประเทศจีน การที่เขาอยู่ๆก็มาหาเรื่องบริษัทชั้นแนวหน้าแบบนี้นี่เขาไม่คิดอะไรเลยการก่อเรื่องรึไงกัน

“นี่แกคิดจริงๆเหรอว่าฉันจะเป็นต้องมาขอแกก่อนที่จะทำอะไรน่ะ คิดว่าฉันไม่มีปัญญาทำอะไรเรื่องนี้ถ้าไม่ได้ร่วมมือกับแก ถ้าแกไม่คิดจะให้ความร่วมมือกันดีๆฉันก็ไม่สนใจหรอก ฉันมีวิธีการตั้งเยอะที่จะได้สิ่งที่ต้องการมา” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์
“ถ้าแกยังไม่ปล่อยฉันล่ะก็แกต้องเห็นดีแน่” ฟูฮงซิ่วยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต
“เห็นดี อย่าคิดว่าตัวเองแน่นักสิ สำหรับฉันที่แกพูดมามันก็ไม่ต่างจากการผายลม วันนี้นี่จะเป็นเพียงแต่การเตือนเท่านั้น อย่าได้มาคิดจะมาตอแยผู้หญิงของฉันอีกเป็นอันขาด และอย่าได้เสนอหน้าต่อหน้าฉันอีก
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คราวหน้า ฉันจะทำให้แกต้องรู้สึกว่าตายเสียดีกว่าอยู่” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

เมื่อพูดจบ เขาก็ได้หยิบขวดไวน์ขึ้นมาและค่อยๆเทไวน์ให้ไหลลงบนหัวของฟูฮงซิ่วอย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็ลอบใช้พลังจากเหรียญตรายมฑูตที่เก็บไว้ในกระเป๋ามิติ นั่นทำให้ทุกคำพูดและทุกการกระทำของซูจิ้งดูน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นราวกับถูกสิงสู่ด้วยปีศาจร้าย
ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่โดยรอบหรือแม้แต่อันจือฮ่าว หม่าเต๋า หนิงหยิงติง และนาหลันเฟยต่างก็เกรงกลัวกันไปหมด แม้แต่คนของฟูฮงซิ่วเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
ขนาดรปภ.ของโรงแรมที่มาถึงและได้เห็นฉากนี้ในทันที พวกเขาก็ยังทำได้เพียงนิ่งอึ้งไม่กล้าเข้าใกล้หรือไหวติงแต่อย่างใด

ฟูฮงซิ่วที่เป็นเป้าหมายของคำพูดของซูจิ้งนี้เขานั้นสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของซูจิ้งได้มากกว่าใคร ใบหน้าของเขาสีซีดจนเซียวราวกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง
ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกได้ทันทีว่ามือที่จับคอของเขาในตอนนี้ไม่ใช่มืออีกต่อไป ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ามือของซูจิ้งคือเคียวของยมฑูตที่พร้อมจะบั่นคอเพื่อเก็บเกี่ยวชีวิตของเขาได้ตลอดเวลา
ตัวเขานั้นได้พบผู้คนมามากมายแม้แต่คนที่ฆ่าคนได้เพียงชั่วพริบตาเขาก็เคยเจอมาแล้ว แต่ในหมู่คนเหล่านั้น ไม่เคยมีคนไหนเลยที่ทำให้เขาได้รู้สึกถึงความตายมาเยือนตรงหน้าขนาดนี้มาก่อน
ซูจิ้งได้หันหน้าตัวเองไปมองหม่าเต๋าอย่างช้าๆ หม่าเต๋าที่เห็นดังนั้นก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นในทันทีอย่างไม่อิดออด

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะว่าซูจิ้งในตอนนี้น่ากลัวเกินไปเท่านั้น แต่ว่าเป็นเพราะเขานั้นกล้าจองหองเพียงเพราะมีฟูฮงซิ่วให้ท้าย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ซูจิ้งจะไม่ได้สนใจอะไร แต่ในเมื่อเขาเองก็ได้แตแยซูจิ้งมีหรือที่เขาจะปล่อยให้มันเลยผ่าน ไม่ต้องพูดถึงว่าฟูฮงซิ่วจะมาปกป้องเขา หมอนี่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
“คุณซู ผมรู้แล้วว่าตัวเองนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตัวผมที่เคยทำเรื่องไม่ดีเอาไว้กับคุณฉือชิงในตอนนั้นยังติดค้างคำขอโทษเอาไว้ มาในวันนี้ก็ยังก่อเรื่องน่ารังเกลียดเข้าไปอีก ถึงตอนนี้คุณจะเหนือล้ำผมในทุกสิ่งจนไม่มีทางไหนเลยที่จะทำให้คุณยอมยกโทษให้ผม แต่ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะ” หม่าเต๋าร้องขาชีวิตออกมาด้วยความสะพรึงกลัว เขานั้นทั้งหมอบกราบจนแทบเท้าซูจิ้ง

ผู้คนที่เห็นนั้นต่างก็ไม่รู้ว่าหม่าเต๋านั้นเคยทำอะไรซูจิ้งเอาไว้มาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือซูจิ้งนั้นมีออร่าแห่งการฆ่าฟันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
มันราวกับว่าหากตอนนี้เขาอยากจะเห็นเลือด ก็ไม่มีใครกล้าพอจะปริปากร้องขอชีวิตเลยสักคำ หากเขาต้องการจริงๆก็คงจะง่ายดายราวกับใช้เคียวเกี่ยวฟางข้าวโดยไม่ต้องออกท่าทางอะไร
ตอนนี้ทุกคนในงานนั้นต่างรู้ในทันทีเลยว่าในสายตาของซูจิ้งแล้ว ฟูฮงซิ่วนั้นหาใช่ศัตรูหรือคู่แข่งแต่อย่างใด แถมยังแย่ยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก
นั่นก็คือฟูฮงซิ่วไม่ได้ต่างไปจากก้อนกรวดที่ให้เขาเหยียบย่ำเล่นจนพอใจเท่านั้น