ตอนที่ 1853 ท้าประลอง

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“ไม่นึกเลยว่าน้องชิวหลิงจะกลับมาพูดเข้าข้างเราในวินาทีสุดท้ายเช่นนั้น เมื่อสักครู่นี้ข้าล่ะกังวลใจหนักจริงๆ เรื่องใดๆ จะเกิดกับข้ามันไม่สำคัญ แต่หากมันจะลากเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยชาตินี้ข้าคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้”

เมื่อกลับมาจากสวนกลางเล้งซู่ก็เริ่มบ่นออกมาถึงความกังวลเมื่อสักครู่นี้

ตอนที่เขายืนอยู่บนสังเวียนในเวลานั้นมันเป็นช่วงที่เขารู้สึกราวกับว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ

ต่อให้เย่หยวนจะรู้วิชาเคลื่อนย้ายมิติแต่การจะหนีจากเทพถ่องแท้นั้นมันก็คงมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พวกเขาไม่ทำอะไรข้าหรอก”

เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ ของเย่หยวนเช่นนั้นเล้งซู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ “เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริงๆ! ท่านลุงนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้! แต่จะว่าไปมันก็แปลก ความสัมพันธ์ของข้ากับน้องชิวหลิงนั้นมันก็ไม่ได้นับว่าสนิทใดๆ กัน ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมนางถึงได้ลุกขึ้นมาพูดขัดพ่อของตนต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น?”

ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันไปก็มีคนใช้เข้ามารายงานว่าเล้งชิวหลิงเดินทางมาเพื่อขอพบ เรื่องนี้ทำให้เล้งซู่สั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง

เล้งชิวหลิงนั้นเดินเข้ามาภายในที่พักด้วยท่าทางสบายๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่าทั้งแต่หัวจรดเท้า

ไม่ได้เจอกันมาหลายร้อยปีนี้เล้งชิวหลิงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างมากมาย

มันมิใช่เพียงแค่พลังฝีมือการบ่มเพาะเท่านั้นที่เพิ่มพูน แต่รวมไปถึงสีหน้าท่าทางของนางด้วยที่เปลี่ยนแปลง

เล้งชิวหลิงในตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

แต่ตอนนี้นางได้แสดงสีหน้าท่าทางเหมือนผู้เป็นใหญ่อย่างแท้จริง

เรื่องนี้มันแสดงออกมาไม่น้อยแล้วตั้งแต่ตอนที่กำลังประลองชิงตำแหน่งนายน้อยกัน

เพราะคำพูดสั้นๆ ของนางนั้นกลับไม่มีใครกล้าขัดมัน

เมื่อเล้งซู่เห็นเล้งชิวหลิงเขาก็รีบลุกขึ้นกล่าวทักทายทันที “ขอบคุณน้องชิวหลิงมากที่ช่วยเราออกมาในยามคับขัน ไม่เช่นนั้นตัวข้าและเย่หยวนคงต้องพบเจอความลำบากแน่นอน”

แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าทำไมเล้งชิวหลิงถึงได้ลุกขึ้นมาพูดปกป้องแต่แน่นอนว่าคำขอบคุณมันต้องมาก่อน

เพราะแม้มันจะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ ของเล้งชิวหลิง แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นการช่วยชีวิต

เมื่อได้รับคำขอบคุณของเล้งซู่ เล้งชิวหลิงก็กลับกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่คิดสนใจ “พี่ซู่ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ข้าแค่พูดออกมาเพื่อปกป้องความยุติธรรมเท่านั้น”

แต่ตอนนี้สายตาของนางนั้นเหลือบไปมองดูที่เย่หยวนด้านหลังเล้งซู่ก่อนแล้ว

เล้งซู่สัมผัสได้ถึงสายตานั้นของเล้งชิวหลิงจนต้องผงะ ก่อนที่ตัวเขาเองก็จะหันหน้ากลับไปหาเย่หยวนด้วยเช่นกัน

เย่หยวนยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานปี แม่นางเล้งกลับดูสง่างามขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย!”

เล้งชิวหลิงเองก็ยิ้มตอบกลับไป “บัณฑิตไม่ได้พบพานกันสามวันย่อมกลับมาพบกันด้วยความรู้ใหม่ๆ วันนี้คุณชายเย่ได้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ! วันนี้ข้าอยากจะขอโทษเรื่องที่เคยว่ากล่าวคุณชายเย่ไปเมื่อคราวก่อนหน้านั้น”

เย่หยวนยิ้มตอบ “เรื่องทั้งหมดมันแล้วไปแล้ว จะพูดถึงมันทำไมอีก? วันนี้เย่ผู้นี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่นางเล้งที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้!”

เล้งชิวหลิงส่ายหัวออกมา “ต่อให้ข้าไม่ต้องช่วยเหลือว่ากล่าวใดๆ คุณชายเย่ก็น่าจะมีวิธีทางรับมือเอาตัวรอดของตนอยู่แล้ว”

แม้ว่านางนั้นจะไม่ทราบว่าเย่หยวนจะใช้วิธีการใด แต่หากพ่อของนางคิดอยากจับตัวเย่หยวนไว้มันคงมิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

เย่หยวนนั้นไม่ได้เป็นคนบ้าบิ่นมากมาย เมื่อเขากล้าจะเข้ามายุ่งกับเรื่องตระกูลเล้ง เขาย่อมมีวิธีทางที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดได้

เย่หยวนหัวเราะออกมา “แม้ว่าข้าจะเคยได้พบกับแม่นางเล้งแค่ครั้งเดียวแต่ดูแม่นางเล้งจะมองเย่คนนี้เหมือนเป็นสหายเก่าแก่ รู้จักหน้าหลังข้าเป็นอย่างดี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเย่คนนี้ก็ยังต้องขอขอบคุณท่าน”

ที่ด้านข้างเล้งซู่นั้นได้แต่ยืนฟังอย่างมึนงง

ที่แท้แล้วเล้งชิวหลิงและเย่หยวนนั้นเป็นคนรู้จักกันมาก่อน

เพียงแค่ว่าเขานั้นสงสัยมาก ฟังจากที่ทั้งสองพูดนั้นมันเป็นคำที่ฟังดูเหมือนจะสนิทสนมกัน แต่มันกลับให้ความรู้สึกห่างเหินไปด้วยพร้อมๆ กันในคราเดียว

เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองนั้นจะได้เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว

แต่การพบกันแค่ครั้งเดียวนี้มันจะทำให้เล้งชิวหลิงทำตัวไม่เหมือนปกติและถึงขั้นพูดจาขัดพ่อของตนเลยหรือ?

ที่สำคัญตอนนี้เล้งชิวหลิงยังยิ้มออกมาด้วย!

นางยิ้มให้แก่เย่หยวน!

ในความทรงจำของเล้งซู่ เล้งชิวหลิงไม่เคยจะยิ้มออกมาให้แก่ชายใด

เรื่องนี้มันทำให้เล้งซู่สั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก

“เช่นนั้นคำขอบคุณของคุณชายเย่นั้นข้าชิวหลิงจะรับมันไว้ แต่ชิวหลิงคนนี้มีเรื่องอยากจะขอสักหน่อยไม่ทราบว่าคุณชายเย่จะพอรับฟังมันได้หรือไม่?” เล้งชิวหลิงถามขึ้น

เย่หยวนพยักหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “คำขอของแม่นางเล้งแล้วมีหรือที่เย่คนนี้จะกล้าปฏิเสธ?”

เล้งชิวหลิงหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินและบอก “ชิวหลิงคิดอยากประลองฝีมือกับคุณชาย หวังว่าคุณชายจะยอมรับมัน”

ได้ยินเช่นนั้นทั้งเย่หยวนและเล้งซู่ก็ผงะไปทันที

เล้งซู่นั้นตื่นตกใจอย่างมากเพราะเล้งชิวหลิงที่เป็นยอดอัจฉริยะของคฤหาสน์พันทะยานนั้นไม่เคยจะพบเจอคนรุ่นเดียวกันที่เป็นคู่มือของนางได้เลย

คู่มือของนางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าศิษย์พี่ในคฤหาสน์พันทะยานทั้งสิ้น แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมมีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่านาง

แต่ตอนนี้นางกลับคิดจะท้าทายนภาสวรรค์สองดาวสู้

แน่นอนว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนั้นเล้งซู่เองก็ชื่นชมมันอย่างมาก

อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจเทียบเคียงได้

แต่การจะปะทะเล้งชิวหลิงนั้นมันน่าจะยังไม่เพียงพอ

เย่หยวนยิ้มขึ้น “ย่อมได้!”

“น้ำแข็งคำราม!”

“มังกรน้ำแข็งฟ้าหวน!”

“ดาบวิญญาณลับ!”

บนสังเวียนนั้นร่างสองร่างกำลังเข้าปะทะกันอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพัก จนตอนนี้มันก็ยังยากที่จะแยกแยะว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายอยู่เหนือกว่า

เย่หยวนนั้นพึ่งพาการผสานแนวคิดทำให้สามารถดึงตัวเองขึ้นมาปะทะกับเล้งชิวหลิงได้อย่างสูสี

ที่ด้านล่างสังเวียนเล้งซู่ได้แต่มองภาพนี้อย่างตกตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้

“ที่แท้เย่หยวนกลับมีฝีมือที่เหนือล้ำถึงขั้นนี้! ตอนที่เขาฝึกอยู่กับข้าเขาใช้พลังไปแค่ไม่ถึงหนึ่งในสิบเสียด้วยซ้ำ!” เล้งซู่บ่นออกมา

การที่เขาจะสามารถบรรลุแนวคิดขึ้นมาได้ด้วยเวลาแค่สิบวันนั้นมันย่อมต้องขอบคุณการฝึกดาบของตัวเขากับเย่หยวนทั้งสิ้น

ตอนนั้นเล้งซู่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะเก่งกาจจนเทียบเคียงกับเล้งชิวหลิงได้อย่างนี้

แม้ว่าเย่หยวนจะยังเสียเปรียบไปบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์สองดาว!

ยอดฝีมืออย่างเล้งชิวหลิงนั้นกลับถูกใครคนอื่นข้ามดาวขึ้นมาต่อสู้ได้

ที่ด้านข้างเล้งหงซิ่วเองก็ตื่นตกใจอย่างมากเช่นกัน

ตำแหน่งของลูกสาวเขาในคฤหาสน์พันทะยานนั้นสูงส่งแค่ไหนเขาย่อมรู้ดีราวกับเป็นเรื่องของตน

เดิมทีแล้วมันมีแต่ลูกสาวของเขาที่จะกระโดดข้ามดาวขึ้นไปสู้กับผู้คน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครข้ามดาวขึ้นมาสู้กับลูกสาวของเขาได้

ได้เห็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของเล้งชิวหลิง

ฟุบ!

ฟุบ!

ร่างทั้งสองแยกห่างออกจากกัน

ตอนนี้หน้าผากงามๆ ของเล้งชิวหลิงกลับมีเหงื่อเม็ดใหญ่รินไหลลงมา

ส่วนเย่หยวนนั้นก็หอบหายใจออกมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

การต่อสู้กับเล้งชิวหลิงในตอนนี้มันยังลำบากจนเกินไป

เล้งชิวหลิงนั้นยังคงใบหน้านิ่งสงบไว้ได้แต่ภายในของนางนั้นสั่นสะท้านอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

เพราะนี่คือครั้งแรกในชีวิตที่นางได้รู้จักคำว่าความพ่ายแพ้

เมื่อนึกถึงตอนที่นางได้พบเจอเย่หยวนในตอนนั้นนางได้กล่าวบอกว่าเย่หยวนและตัวนางนั้นอยู่กันคนละโลก

แต่เวลาไม่กี่ร้อยปีผ่านมานี้คำพูดนี้มันกลับเป็นได้แค่การผายลม

แม้ว่าเขาจะยังมีกำลังที่อ่อนแอกว่านาง แต่เย่หยวนก็ได้พัฒนาขึ้นมาถึงโลกของนางอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เรื่องนี้มันไม่อาจปฏิเสธได้!

ที่สำคัญหากความเร็วยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานไม่ช้าเย่หยวนคงสามารถก้าวข้ามนางไปได้แน่

เรื่องเดียวที่มันยังคาใจของเล้งชิวหลิงอยู่ก็คือทำไมยอดคนมากพรสวรรค์ขนาดนี้จึงได้ไปติดอยู่ที่ยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้านานตั้งสามร้อยปี

ยิ่งพยายามคิดไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้นางไม่เข้าใจมากเท่านั้น

“แม่นางเล้งนั้นสมและที่ได้รับฉายานามว่าเป็นยอดอัจฉริยะ เย่คนนี้ขอยอมแพ้!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ

เพราะการต่อสู้นี้เขาได้แพ้ลงจริงๆ

แต่ว่าเล้งชิวหลิงกลับส่ายหัวออกมา “คุณชายเย่นั้นยังไม่ได้เอาจริง มีหรือที่ท่านจะยังบอกว่าตัวเองแพ้ได้? หากมันเป็นศึกชี้เป็นชี้ตาย ใครจะชนะมันก็ยังไม่แน่นอน!”

เย่หยวนยิ้มออกมา “แม่นางเล้งเองก็เหมือนมิใช่หรือ? สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพราะข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ”

เมื่อไม่ใช่ศึกที่เดิมพันด้วยชีวิต ย่อมไม่มีใครคิดที่จะใช้ทุกสิ่งที่มีออกมาทั้งหมด

เพราะท่าไม้ตายเช่นนั้นมันต้องใช้ออกมาในโอกาสเวลาที่ไม่เจ้าก็ข้าต้องตาย ไม่เช่นนั้นการจะหยุดยั้งเมื่อลงไปมือแล้วมันคงยาก

…………………………