ที่สุดแล้วอาจารย์ก็ยังคงเป็นคนที่ชอบเก็บงำความรู้สึกของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง!
วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าผู้ช่วยระดับเทพอย่างมันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ทำเช่นนี้สิ้นเปลืองทรัพยากรไปเปล่าๆปลี้ๆ
“ศิษย์ย่อมต้องห่วงใยอาจารย์ คอยดูแลอาจารย์อยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันมือหนึ่งกุมดาบยักษ์ สองตาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น
นางเกรงว่าชาวสวรรค์เหล่านั้นจะย้อนกลับมาก่อความวุ่นวายอีก จึงตั้งใจว่าช่วงนี้จะต้องมาคอยอยู่ใกล้ๆอาจารย์ให้บ่อยขึ้น
เพราะอาการบาดเจ็บของเขาเกิดขึ้นจากการลงมือที่ก้นทะเลลึกในตอนนั้น….
แถมนางยังดื้อดึงของชีวิตของจีเฉวียนเอาไว้……ร่างแบ่งภาคไม่ตาย วิญญาณไม่กลับคือสู่ร่างหลัก จะมากจะน้อยย่อมต้องกระทบกระเทือนท่านอาจารย์อยู่บ้างอย่างแน่นอน
กับซื่อมั่ว ในใจของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกติดค้างและละอายใจ
ดังนั้นนางจึงอยากจะทุ่มเททุกสิ่งให้เพื่อชดเชย
เพราะนางยกมือขึ้นกอดดาบยักษ์เอาไว้ เสื้อเชิ้ตบนร่างจึงลอยขึ้นมาอีกเล็กน้อย เผยผิวต้นขาออกมา
ซื่อมั่วไม่ได้จงใจจะกวาดตาดู
เขาขมวดคิ้วแนบแน่น เบนสายตาออกไป มองดูภาพที่แขวนเอาไว้บนกำแพง
เป็นภาพแบบเดียวกันกับที่แขวนเอาไว้ในห้องของตู๋กูซิงหลัน
เขากำลังโอบอุ้มเด็กทารกคนหนึ่ง ทารกน้อยหัวเราะอย่างร่าเริง
ขนตาของซื่อมั่วกระพริบถี่ๆ คำพูดที่ค้างคาอยู่ในหัวใจมาเนิ่นนาน อยู่ๆก็หลุดออกมาราวกับผีผลัก
“เจ้ารั้งอยู่ดูแลอาจารย์ เพียงเพราะความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
นางกล่าวอย่างตอกตะปูตัดเหล็ก เด็ดขาดไม่เยิ่นเย้อ
ในตอนนั้นเอง วิญญาณทมิฬก็ป่ายปีนขึ้นไปถึงขอบหน้าต่างพอดี จนมองเห็นจีเฉวียนที่ยืนตัวเปียกโชกอยู่ในสวน
ปกติแล้วทุกความเคลื่อนไหวของฮ่องเต้สุนัขมักล่าช้าไปก้าวหนึ่งอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กันอยู่ก็ไม่เห็นเขามา พอตอนนี้อาจารย์กับหลันหลันกำลังจะพูดความในใจออกมา เขากลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันควัน
วิญญาณทมิฬแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นบาดแผลบนร่างของจีเฉวียน
เลื้อผ้าแบบตะวันตกของเขาขาดวิ่นแทบเป็นชิ้น ติดคลุมกายอยู่เพียงเล็กน้อย เส้นผมหลุดลุ่ย ใบหน้าเปื้อนเลือด เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพึ่งผ่านศึกที่สาหัสมา
ไม่รู้ว่าระหว่างทางที่มาถึงที่นี่เขาพบเจอกับอะไรเข้า
เพราะเขาคือร่างแบ่งภาคที่แข็งแกร่งที่สุดของซื่อมั่ว ในร่างมีกลิ่นอายของซื่อมั่วอยู่ ดังนั้นเขตแดนของเรือนนี้ย่อมมิได้ต่อต้านเขา
จีเฉวียนที่รุดมาอย่างรีบร้อน จนได้ยินคำพูดระหว่างซื่อมั่วกับตู๋กูซิงหลันเข้าพอดี
“เจ้ารั้งอยู่ดูแลอาจารย์ เพียงเพราะความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
ประโยคที่ว่า ‘ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!’ นั่น เป็นเสมือนดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของพระองค์
พระองค์ทรงทราบมาโดยตลอดว่า ซื่อมั่วในสายตาและหัวใจของซิงซิงนั้น ….ไม่เหมือนกัน
ในใจของนาง ซื่อมั่วย่อม….มิใช่แค่เพียงอาจารย์
ตอนนั้นที่นางกระโดดตามเขาลงไปในหุบเหวไร้ก้น…..ใช่เป็นเพราะค้นพบว่าเขากับซื่อมั่วมีส่วนเกี่ยวข้องกันใช่หรือไม่?
พระทัยของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งเจ็บปวด
บาดแผลบนร่างกายแม้จะเจ็บปวดสักเท่าไร ก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดในพระทัยที่เหมือนโดนเข็มเผาไฟนับพันเล่มทิ่มแทง
พระองค์ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง แล้วก็นิ่งขึงไป
ด้วยความหวาดกลัวว่าหากตนเองก้าวเดินไปอีกก้าว จะได้ยินอะไรที่ไม่อยากจะได้ยินจากนาง
พระหัตถ์และพระพาหาของพระองค์ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ที่หยาดหยดลงไปตลอดเวลา
แต่ว่าจีเฉวียนก็มิได้ก้าวพระบาทออกไปอีก
ดวงเนตรหงส์ของพระองค์จ้องเขม็งไปยังเงาของคนทั้งสองที่สะท้อนออกมาจากแสงเทียน…..ราวกับว่าพวกเขาต่างหากคือคู่ที่ฟ้าดินเลือกสรรให้เคียงคู่กัน
ส่วนพระองค์ ก็เป็นเพียงร่างแบ่ง เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม
จำต้องให้นางขอร้องต่อซื่อมั่ว จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้
ในชั่วขณะนั้น พระทัยของจีเฉวียนแทบจะถูกความมืดมนครอบงำจนหมดสิ้น
ขณะที่ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันขยับเอ่ยนั้น พระองค์ก็รีบร้อนหลบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ตลอดมาพระองค์คือโอรสสวรรค์แคว้นโจวที่สูงส่ง …..แต่ว่าครั้งนี้กลับปราศจากความกล้าหาญที่จะรับฟังคำพูดของนาง
ท่ามกลามสายลมของราตรีที่มืดมิด เงาหลังของพระองค์มีแต่ความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
ราวกับสัตว์เล็กๆที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสาร
ในโลกปัจจุบันใบนี้ นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว พระองค์ก็ไม่มีคนใกล้ชิดใดๆอีก
พระองค์คือส่วนเกินอย่างแท้จริง คือคนที่สมควรจะตายไปตั้งแต่ที่ทะเลไร้ก้นบึ้งนั่นแล้ว คือคนที่ไม่สมควรจะยืนอยู่ในโลกใบนี้ แม้กระทั่งในสายตาของซิงซิงก็คงจะเป็นเพียงแค่ตัวแทนของใครบางคนเท่านั้น….
จีเฉวียน ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองจะพ่ายแพ้ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
พระองค์ไม่เคย….เจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน
………………..
ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าได้กลิ่นคาวเลือด แต่ว่าพอนางหันไปมองที่หน้าต่าง นอกจากกิ่งต้นฮว๋ายฮวาที่โอนเอนไปมาแล้ว นางก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
นางหันสายตากลับมา มองดูซื่อมั่วอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ความรู้สึกที่ศิษย์มีต่ออาจารย์ย่อมต้องมีความผูกพันเยี่ยงบิดาและบุตรสาว”
ซื่อมั่ว “…..” ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาเหลือบตาไปทางหน้าต่างแวบหนึ่ง ก็หันสายตากลับมาอย่างเย็นชา
ทั้งยังเอ่ยอย่างไม่ยอมถอดใจว่า “เจ้าก็รู้ว่า อาจารย์ไม่เคยมองเจ้าเช่นบุตรสาวมาก่อน”
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันได้โวยวาย เขาก็เอ่ยถามอีกว่า “ทำไม เจ้าเต็มใจจะชอบร่างแบ่งภาคของอาจารย์ แต่กลับไม่เต็มใจชอบอาจารย์?”
ตู๋กูซิงหลันเถียงออกไปในทันทีว่า “เขามีชื่อนะ ชื่อจีเฉวียน”
นางไม่ชอบให้อาจารย์เรียกจีเฉวียนว่าเป็น ‘ร่างแบ่งภาคของอาจารย์’
จีเฉวียนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และตัวตนของตนเอง ในสายตาของนาง เขาไม่เหมือนกับท่านอาจารย์
เขาก็คือเขา คือจีเฉวียนที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในโลก คือคนที่นางชอบ
จากนั้น นางก็ค่อยรู้สึกถึงคำพูดครึ่งประโยคหลังของซื่อมั่ว
‘ไม่เต็มใจจะชอบอาจารย์?’
ความหมายของคำว่า ‘ชอบ’ ของอาจารย์ก็คือ?
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปแล้ว……
นางชื่นชอบอาจารย์แน่นอน ทั้งรักและเคารพ นับถือดุจญาติผู้ใหญ่ …..แต่หากจะให้ชอบแบบเดียวกับจีเฉวียนนั้น…..นางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ได้เห็นความตกตะลึงที่นางแสดงออกมา ซื่อมั่วก็รู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ
ตลอดหลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมหักห้ามความอับอาย เอ่ยปากบอกกับนางเช่นนี้ออกไป
คนที่เป็นถึงอาจารย์ กลับหลงรักลูกศิษย์ที่ตนเลี้ยงดูอุ้มชูจนเติบโตขึ้นมา
นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุดในโลก
ตัวเขาเองไม่นับว่ากระไร แต่เขาไม่ต้องการให้นางกลายเป็นที่ขบขัน
ซื่อมั่วอยู่มาเนิ่นนานจนตนเองก็ไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว เขาคือวัตถุโบราณที่ทื่อทึ่มที่สุด ย่อมต้องยึดถืออยู่กับขอบเขตของขนบธรรมเนียมทั้งหลาย ดังนั้นจึงแทบจะไม่เคยทำอะไรที่ขัดกับจารีตมาก่อนเลย
ประโยคที่ถามออกไปในคืนนี้ อัดอั้นอยู่ในหัวใจของเขามานานถึงสิบแปดปีแล้ว
ใช่แล้ว….ปีนี้ศิษย์ของเขาอายุสิบแปด
ถึงวัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
………………………………….