แสงกระบี่ที่ส่องแสงพร่างพราวสาดสะท้อนให้ม่านฝนอึมครึมที่พาดผ่านระหว่างฟ้าดินเจิดจ้าราวกับเวลากลางวันนั้น ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เซียนกระบี่ไม่ทราบนามที่ขี่กระบี่มาถึงผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาไม่ได้หยุดชะงักหรือมีการลังเลใจใดๆ แสงกระบี่พลันขยายใหญ่แล้วส่องแสงสว่างจ้า นาทีนี้ แม้แต่ลวี่อวิ๋นไต้ก็ยังต้องหรี่ตาลงเพื่อหลบแสงกระบี่ที่ระเบิดพร่างพราวนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
หนึ่งกระบี่แหวกทะลุค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่ได้ทั้งป้องกันและจู่โจมของภูเขาเหมิงหลงเข้ามา ประหนึ่งมีดผ่าก้อนเต้าหู้ พุ่งมาเป็นเส้นตรง ชนเข้าที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอย่างจัง
กระบี่บินพิทักษ์ภูเขาหกเล่มที่เคยสร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่ภูเขาเหมิงหลงขัดขวางไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูเหมือนจะหวาดเกรงกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่โดยสัญชาตญาณ แต่ละเล่มถึงได้ส่ายแกว่ง ทำท่าจะร่วงมิร่วงแหล่
จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากขี่กระบี่แหวกค่ายกลมาแล้ว แสงยาวสีทองที่แผ่ลามจากขอบฟ้ามาถึงภูเขาเหมิงหลงเส้นนั้นกลับยังไม่สลายหายไป
ความยาวของปราณกระบี่นี้ ความโชติช่วงของปณิธานนี้ ช่างน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง
สายลมและสายฝนถูกหนึ่งคนหนึ่งกระบี่พัดหอบมาถึง ลมพายุพัดกระโชกแรงอยู่บนยอดเขา ปราณวิญญาณเหมือนเดือดพล่าน เป็นเหตุให้ทุกคนของภูเขาเหมิงหลงที่เว้นจากลวี่อวิ๋นไต้ซึ่งเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร ต่างก็จิตวิญญาณสั่นไหว หายใจไม่คล่องคอ ผู้ฝึกตนบางส่วนที่ขอบเขตไม่สูงพอก็ถึงขั้นเซถอยหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มที่อาศัยคุณสมบัติของผู้ฝึกกระบี่ถึงสามารถมายืนอยู่นอกศาลบรรพจารย์ผู้นั้นที่หากไม่ถูกอาจารย์แอบดึงชายแขนเสื้อไว้ เกรงว่าป่านนี้คงล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแล้ว
และเวลานี้เอง ภูเขาเหมิงหลงถึงได้มองเห็นรูปโฉมของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างชัดเจน สวมชุดสีเขียว เรือนกายสูงเพรียว อายุยังน้อย
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพลิ้วกายลงบนพื้น กระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งกลับเข้าฝักกระบี่ด้านหลัง ทุกอย่างนี้พลิ้วไหวดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหลริน เสร็จสิ้นในกระบวนท่าเดียว
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินหน้ามาอย่างเชื่องช้า เขาชำเลืองตามองลวี่อวิ๋นไต้ที่ยังถือว่าคงความสุขุมเอาไว้ได้ รวมไปถึงลวี่ทิงเจียวที่สวมชุดขาวซึ่งกลอกตาลอกแลกไม่อยู่นิ่งผู้นั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วันนี้มาเยือนภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้า ก็เพื่อจะบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าคือผู้พิทักษ์มรรคาของจ้าวหลวนแห่งเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีของพวกเจ้า เข้าใจแล้วหรือยัง?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าแซ่หงที่ถือไม้เท้าไว้ในมือเวลาปกติก็เก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ เขายอมรับชะตากรรมมานานแล้ว จึงมอบอำนาจทั้งหมดออกไป แต่ก็อาศัยสถานะอาจารย์อาของเจ้าประมุข ถึงได้มีชีวิตที่สงบสุขในช่วงบั้นปลาย ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกใดๆ เวลานี้จึงรีบพยักหน้ารับ จะไปสนกับมารดามันทำไมว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ข้าแสร้งทำเป็นเข้าใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่เป็นอาจารย์กระบี่เชี่ยวชาญวิชาควบคุมกระบี่ปากคอแห้งผาก เห็นได้ชัดว่าเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาแล้ว ความมั่นใจและความหยิ่งทระนงที่แสดงออกว่า ‘แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งจะทำอะไรข้าได้’ ก่อนหน้านี้ เวลานี้หายวับไปไม่เหลืออยู่อีกเลย
ลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจซึ่งเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน’ กับแขกผู้มาเยือนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังนางก็ยิ่งไม่มีแม้แต่ความกล้าจะสบตากับศัตรูตรงๆ ด้วยซ้ำ
ลวี่อวิ๋นไต้หรี่ตาลง ในใจเกิดข้อกังขา แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้าน่าสนใจไม่น้อย คนที่ไม่เข้าใจแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ คนที่เข้าใจกลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร…”
หยุดชะงักไปครู่ เฉินผิงอันกวาดสายตามองผ่านทุกคน “นี่ก็คือศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้ากระมัง?”
ในใจลวี่อวิ๋นไต้กำลังชั่งน้ำหนัก แต่สีหน้ากลับแสดงถึงความเดือดดาลรุนแรง “ผู้อาวุโสท่านนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ยังไม่ทันพูดกันให้ชัดเจน ก็คิดจะใช้อำนาจมากดข่มผู้อื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันหันหน้ามาน้อยๆ สีหน้าเช่นนี้ของลวี่อวิ๋นไต้ไม่อาจโกหกใครได้จริงๆ เฉินผิงอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่แสร้งทำเป็นอ่อนนอกแข็งในนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่คิดจะยึดชิงเหตุผลว่าตัวเองมีคุณธรรมนั้นกลับเป็นเรื่องจริง คำพูดที่ลวี่อวิ๋นไต้อยากพูดจริงๆ แต่กลับไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา อันที่จริงก็คือตอนนี้บนภูเขาของแคว้นไฉ่อีอยู่ภายใต้การปกครองของต้าหลี เขาต้องการให้ตนชั่งน้ำหนักให้ดี ตอนนี้อาณาเขตเกินครึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่’ แต่จะกำเริบเสิบสานได้นานสักเท่าใด
เฉินผิงอันจึงพูดกับลวี่อวิ๋นไต้ด้วยภาษาทางการของต้าหลีว่า “ข้าเป็นคนของต้าหลี ดังนั้นที่พึ่งของพวกเจ้า หากโชคไม่ดีเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีพอดีล่ะก็ นั่นก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลเสมอไป แน่นอนว่าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับราชสำนักต้าหลีก็ถือว่าธรรมดาอย่างยิ่ง”
ลวี่ทิงเจียวสบถด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ
คำพูดที่เสแสร้งนี้ ด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพงของคนกลุ่มใหญ่บนภูเขาเหมิงหลงของตน จะยังมีสักกี่คนที่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกัน ผู้คนจะสมัครสมานสามัคคีกันอีกได้อย่างไร
ในเรื่องของการฝึกตน เขาลวี่ทิงเจียวเป็นเศษสวะอย่างแท้จริง คำเล่าลือที่ผู้คนภายนอกพูดกันไม่ใช่เรื่องเท็จเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงบิดาเขาก็จนใจกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน แต่เดิมทีปณิธานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนภูเขาอยู่แล้ว มันอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา จึงถอยมาเลือกในลำดับรอง หากให้เป็นเจ้าประมุขที่ไม่ต้องลงมือรบราฆ่าฟันกับคนอื่นด้วยตัวเอง ลวี่ทิงเจียวก็คิดว่าตนมีความสามารถเหลือเฟือ
คำพูดประโยคถัดมาของเฉินผิงอันถือว่าเปิดประตูแล้วเห็นภูเขา*(เปรียบเปรยถึงการพูดตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม เข้าเรื่องเข้าเนื้อทันที)* อย่างยิ่ง อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกก็คือผลักประตูเข้าไปก็เห็นภูเขาเหมิงหลงนั่นเอง “ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวน ข้าเดินทางมาเยือนภูเขาเหมิงหลงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้า จะถามพวกเจ้าสองพ่อลูกคำเดียวว่า วันหน้าพวกเจ้าคนหนึ่งจะยังละโมบในพรสวรรค์การฝึกตนของจ้าวหลวน ส่วนอีกคนหนึ่งจะยังน้ำลายสอในความงามของแม่นางน้อยอีกหรือไม่ พวกเจ้าแค่ตอบมาว่าใช่ หรือไม่ใช่ก็พอ”
ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าดำทะมึน
ชั่วชีวิตนี้เขาเกลียดการทำอะไรโผงผางตรงไปตรงมาอย่างนี้ที่สุด
ลวี่ทิงเจียวกำลังจะพูดจาเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีและหาเหตุผลข้ออ้างให้ภูเขาเหมิงหลงสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นกลับยิ้มพูดขึ้นมาก่อนว่า “จะเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หลักการเหตุผลและถ้อยคำที่สับปลับเจ้าเล่ห์ ทำนองว่าเจ้าลวี่อวิ๋นไต้แน่ใจว่าจ้าวหลวนคือหยกงามวัตถุดิบชั้นเลิศในการฝึกตน ภูเขาเหมิงหลงจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ตั้งใจอบรมปลูกฝัง ไม่มีทางคิดร้ายกับนางเด็ดขาด หากนางไม่ยินดีขึ้นเขามาจริงๆ ก็จะไม่บังคับ ยิ่งไม่มีทางจับญาติของอู๋ซั่วเหวินมาเป็นตัวประกัน อีกทั้งถอยไปพูดกันหนึ่งก้าว สตรีงามเพียบพร้อมย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ ถึงอย่างไรตอนนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินจ้าวหลวนจริงๆ แล้วจะกล่าวโทษเอาผิดเขาได้อย่างไร อีกทั้งต้าหลียังมีกฎกำหนดไว้ว่าบนภูเขาไม่อาจก่อการวิวาทขึ้นก่อนโดยพลการ ไม่อย่างนั้นจะถูกซักไซ้เอาความผิด เรื่องสกปรกพวกนี้ ข้าล้วนเข้าใจดี พวกเจ้ามีเวลาว่างสามารถนำมาใช้สิ้นเปลืองไปกับพวกมันได้ แต่ข้ายุ่งมาก ดังนั้นตอนนี้ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามก่อนหน้านั้น ตอบข้ามาว่าใช่หรือไม่ใช่”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมานวดคลึงข้างแก้มแล้วเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่ได้ ความเคยชินที่ต้องพูดจ้อก่อนจะตีกันแบบนี้ จะฝึกให้ติดเป็นนิสัยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต่างจากหม่าขู่เสวียนในปีนั้นได้อย่างไร”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา
เจี้ยนเซียนในฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝักเสียงดังเคร้งเหมือนเสียงครูดของโลหะ แล้วถูกเขานำมากำไว้ในมือ
จากนั้นก็โบกกระบี่ไปข้างหน้าอย่างสบายๆ
ลงมืออย่างเรียบง่าย ทว่าปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในเจี้ยนเซียนเล่มนั้นกลับไม่เรียบง่ายตามไปด้วย
ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงถูกฟันแบ่งออกเป็นสองส่วน
แต่ก็ไม่ถึงกับล้มครืนลงมาทั้งหมด
พวกคนที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าที่โชกโชนสักหน่อย ล้วนไม่ได้หันไปมอง
มีเพียงลูกนกหัดบินบนภูเขาอย่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามเท่านั้นที่หันหน้ากลับไปมองผลลัพธ์จากการออกกระบี่นั้นด้วยท่าทางที่แข็งทื่อเล็กน้อย
เฉินผิงอันยกมือตวัดอ้อมไปด้านหลัง สอดกระบี่กลับเข้าฝัก
และเวลานี้เอง ลวี่อวิ๋นไต้คล้ายจะจับเบาะแสอะไรบางอย่างได้ จึงคิดจะลองเสี่ยงอันตรายยืนยันดูให้แน่ใจ ดังนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเขาจึงขยับเบาๆ
ภูเขาเหมิงหลงพลันสั่นสะเทือนครืนครั่น แต่กลับไม่ใช่ศาลบรรพจารย์สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนั้นที่เกิดเรื่อง แต่เป็นตำแหน่งเดิมที่เซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นยืนอยู่ที่พื้นดินปริแตก ไม่เห็นร่างของเขาเหลืออยู่แล้ว
วินาทีที่ลวี่อวิ๋นไต้คิดจะลงมือนั้นเอง มืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันได้คีบยันต์ย่อพื้นที่ออกมานานแล้ว
ระยะห่างแค่ยี่สิบก้าว
ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้าแต่ละคนช่างห้าวหาญยิ่งนัก กล้ายืนอยู่ใกล้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แทบจะต้องเข่นฆ่าแลกชีวิตกับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลทุกเมื่อเชื่อวันขนาดนี้?
เรือนกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรแข็งแกร่งมิอาจทำลายขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลังเสียงปังกัมปนาทผ่านพ้นไป
เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับจุดที่ลวี่อวิ๋นไต้ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนเจ้าประมุขภูเขาเหมิงหลง ผู้นำเซียนซือแห่งแคว้นไฉ่อีผู้นี้กลับปลิวคว้างออกไปเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่วงกระแทกห่างไปไกลหลายสิบจั้ง
จุดที่สายตาเฉินผิงอันมองไปถึง ทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนเฒ่าแซ่หงและลวี่ทิงเจียวต่างก็เริ่มพากันถอยกรูดออกห่าง
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที กระบี่บินชูอีสืออู่ที่กระเหี้ยนกระหือรือกันอยู่นานแล้วทยอยกันพุ่งออกมา เส้นแสงสองกลุ่มแหวกอากาศเป็นทางยาว แยกกันไปปักตรึงฝ่ามือสองข้างของลวี่อวิ๋นไต้ แล้วจากนั้นเสียงโหยหวนก็ดังตามมา
ในสายตาของเฉินผิงอัน คิดดูแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรผู้นี้คงมีชีวิตราบรื่น เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝนอยู่ในแคว้นไฉ่อีมาจนเคยชิน ไม่เคยได้เจอกับความยากลำบากมานานแล้ว ถึงได้ทนความเจ็บปวดจากบาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่ต่างจากเผยเฉียนสักเท่าไหร่?
เฉินผิงอันมองไปยังลวี่ทิงเจียว ถามว่า “เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้นำ ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
ลวี่ทิงเจียวกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเซียนกระบี่คือผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวนผู้นั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมิงหลงของพวกข้า ไม่ว่าใครก็ตาม วันหน้าขอแค่ได้พบเจอจ้าวหลวน จะต้องเป็นฝ่ายหลีกทางหลบลี้ไปให้ไกล!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าคงจะปากยอมใจไม่ยอมอยู่เป็นแน่ คิดดูแล้วน่าจะยังมีท่าไม้ตายที่ยังไม่เอาออกมาใช้ แต่ไม่เป็นไร ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีสักสองสามวัน หากไม่ส่งคนก็ต้องส่งจดหมายมา สรุปก็คือต้องมีคำตอบที่แสดงความจริงใจให้แก่ข้า ไม่อย่างนั้นข้าอาจต้องกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองศาลบรรพจารย์ที่ยังซ่อมแซมได้แห่งนั้น สายตาของเขามืดดำ เป็นเหตุให้เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังร้องอย่างเบิกบานอยู่ในฝัก ประหนึ่งมีเสียงมังกรสองตัวร้องสอดรับกัน แสงสีทองไหลรินออกมาจากในฝักกระบี่อย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่ประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กไหลริน ภาพเหตุการณ์นี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่ายิ่งทำให้คนใจสั่นขวัญผวา
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สงบจิตใจให้มั่นคง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า!”
เฉินผิงอันหันตัวกลับ ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างเหมือนกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งออกไปจากยอดเขาแล้วร่วงดิ่งลง เจี้ยนเซียนพุ่งออกจากฝัก จากนั้นก็ทะยานตัวขึ้นสูง พุ่งแหวกทะลุชั้นเมฆออกไป
ในสายตาของผู้ฝึกตนภูเขาเหมิงหลง ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นใช้วิธีการใด กระบี่บินแต่ละเล่มของค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่เชี่ยวชาญการโจมตีกลับพากันร่วงลงมาระเนระนาด สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด
บุรุษแปลกหน้าชุดเขียวที่ใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าค่ายกลพิทักษ์ภูเขาเหมิงหลงผู้นี้ ขี่กระบี่มาเยือน แล้วก็ขี่กระบี่กลับไป
……
เซียนกระบี่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งปราณกระบี่เสียดแทงกระดูกให้ล้อมวนอยู่บริเวณโดยรอบยอดเขานอกศาลบรรพจารย์
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามนั่งแปะลงกับพื้น เหงื่อแตกท่วมร่าง
สตรีขอบเขตถ้ำสถิตรีบพุ่งเข้าไปประคองเขาขึ้นมา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่ยังไม่จางหายไปเช่นกัน แต่ก็ยังคงปลอบใจลูกศิษย์ที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากด้วยเสียงที่ถูกกดให้แผ่วต่ำว่า “อย่าให้จิตแห่งกระบี่ถูกทำร้าย อย่าให้จิตวิญญาณวุ่นวายสับสน รีบปลอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นให้ดี ไม่อย่างนั้นบนมหามรรคาต่อจากนี้เจ้าจะเจอแต่อุปสรรค…แต่หากสามารถสยบความตระหนกลนและความผวาพรั่นพรึงนั้นเอาไว้ได้ กลับจะกลายเป็นเรื่องดี แม้ว่าอาจารย์จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ปราบมารในใจ เดิมทีก็เป็นวิธีที่ใช้ขัดเกลากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง นับแต่โบราณมาก็มีคำกล่าวที่ว่ากลึงกระบี่ริมทะเลสาบหัวใจ…”
ลูกศิษย์สายตาเลื่อนลอย ยังดีที่อาจารย์ช่วยตักเตือน เขาถึงได้คืนสติกลับมาอย่างมึนงง ตอนนี้เขายังไม่ไปสนใจภาพเหตุการณ์ประหลาดในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้บำรุงกระบี่บิน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรีบท่องคาถาที่ถ่ายทอดมาจากศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงอยู่ในใจ โคจรปราณวิญญาณ พยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบได้มากที่สุด
ไม่มีใครสนใจอาจารย์และศิษย์สองคนนี้แล้ว
เพราะทุกคนต่างไปมุงล้อมอยู่รอบกายเจ้าประมุขอย่างลวี่อวิ๋นไต้ ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงรากฐานของเรือนกายและจิตวิญญาณ ตั้งใจบำรุงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถกลับคืนสู่จุดสุงสุดได้อีกครั้ง นี่ก็คือความโชคดีในความโชคร้าย หากเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกรก็ถูกคนเล่นงานให้ขอบเขตถดถอยกลับไปที่ชมมหาสมุทร บวกกับที่ศาลบรรพจารย์ถูกฟันออกเป็นสองท่อน นี่จะส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตอย่างที่มองไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นภูเขาเหมิงหลงก็คงต้องขวัญหนีกระเจิดกระเจิงกันจริงๆ แล้ว
ลวี่อวิ๋นไต้โบกมือ “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมาปรึกษากับพวกเจ้าที่ศาลบรรพจารย์…ที่จวนอู้อ่ายของข้า”
ทุกคนจึงพากันจากไปด้วยความคิดที่แตกต่างหลากหลาย
—–