บทที่ 730 โดนล้างสมอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 730 โดนล้างสมอง

ณ เมืองพื้นที่เขตสาม

ฝูงสุนัขเป็ดไก่วิ่งหนีกระเจิงด้วยความตื่นตกใจ

กองทหารร่างกายบึกบึนเดินขบวนผ่านท้องถนน ผู้คนที่ผ่านพบล้วนต้องหลบเข้าข้างทางด้วยความตื่นตระหนก

ชาวเมืองได้กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจากชุดเกราะของนายทหารเหล่านี้ เพียงจ้องมองจากด้านข้าง ก็รู้สึกได้ถึงรังสีการฆ่าฟันอย่างชัดเจน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายทหารเหล่านี้เป็นกองกำลังผู้เฝ้ากำแพงเมืองเขตหนึ่ง

ทุกคนในนครเจาฮุยต่างเข้าใจดีว่านายทหารเหล่านี้เป็นผู้ที่พวกเขาจะไปมีเรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาด

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดก็คือผู้นำกองทัพของนายทหารผู้โหดเหี้ยม กลับเป็นแม่ทัพหนุ่มรูปร่างผอมบาง สวมใส่ชุดเกราะสีแดงคนหนึ่ง

เขามีริมฝีปากแดง ฟันขาว หน้าหวานสะอาดบริสุทธิ์ มีความหล่อเหล่าเหนือธรรมดา

แม่ทัพหนุ่มผู้นี้สามารถทำให้หญิงสาวทุกคนที่ยืนอยู่สองข้างท้องถนนต้องเหลียวมองกลับหลัง

ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อย สตรีมีครรภ์ หรือหญิงแก่แม่หม้าย ขอเพียงเป็นเพศหญิงเท่านั้น สายตาของพวกนางก็จะต้องมองแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ไปจนลับตา

แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ยามพบเห็นแม่ทัพหนุ่ม พวกเขาก็อดแสดงสีหน้าตกตะลึงและตื่นตระหนกไม่ได้

มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถแยกแยะได้ว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งมากกว่านายทหารคนอื่นๆ มากแค่ไหน ทั้งๆ ที่เขาสวมใส่ชุดเกราะสีแดงปานโลหิต แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้านปราศจากคราบสกปรก

ทว่า สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือแววตาของแม่ทัพหนุ่ม มันดุดันยิ่งกว่าแววตาของสิงโตยามหิวกระหาย มีความดุร้ายยิ่งกว่าพญามังกรยามโกรธแค้นศัตรู

ต้องผ่านการต่อสู้โชกโชนขนาดไหนกันนะ ถึงจะมีแววตาดุร้ายได้ขนาดนี้?

ฝีมือการต่อสู้ของเขาคงน่ากลัวไม่ใช่น้อย

แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แม่ทัพหนุ่มก็น่าจะเป็นที่รู้จักไปทั่วนครเจาฮุยแล้ว

เหตุไฉนถึงไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน?

ภายใต้การจ้องมองของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุด กองทหารจำนวนนับร้อยนายก็มาหยุดยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง

“ที่นี่แหละขอรับ”

นายทหารผู้มีจมูกงองุ้ม ผิวพรรณขาวเนียน รีบเดินไปที่ประตูรั้วของคฤหาสน์และตะโกนเสียงดังว่า “นี่คือจวนที่พักอีกแห่งหนึ่งของบิดาข้าในเขตพื้นที่สาม เมื่อเขาไม่ได้อยู่ในจวนหลังแรก บิดาข้าก็ต้องอยู่ที่นี่แน่นอน…”

ฟึบ!

ฟึบ!

ฟึบ!

ฟึบ!

ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันสี่นายก็ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังประตูรั้วคฤหาสน์ด้วยความองอาจและห้าวหาญ

“พวกเจ้าเป็นใคร? เหตุไฉนจึงมารนหาที่ตายถึงที่นี่?”

ประตูรั้วเปิดออก

แล้วผู้คุ้มกันคฤหาสน์ในชุดเกราะเหล็กจำนวนหลายสิบชีวิตก็วิ่งกรูออกมาจากด้านใน

หัวหน้าผู้คุ้มกันมีร่างกายสูงใหญ่ ลำตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกำยำ มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี เขาคำรามออกมาด้วยความดุร้ายว่า “พวกเจ้ากล้ามาก่อความวุ่นวายถึงหน้าประตูจวนใต้เท้าเฉียน ทหารเลวอย่างพวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรืออย่างไร?”

เพิ่งจะพูดจบเท่านั้น

นายทหารหนุ่มผู้มีจมูกงองุ้ม ผิวพรรณขาวเนียน พลันกระโดดเข้าไปตบใบหน้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันฉาดใหญ่ ก่อนสบถว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาส่งเสียงโวยวายต่อหน้าท่านแม่ทัพของข้า? จงเปิดตาของเจ้าดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร?”

หัวหน้าผู้คุ้มกันซึ่งถูกตบหน้าฉาดใหญ่ได้ยินดังนั้น ก็ต้องรีบเบิกตาโตและมองหน้านายทหารหนุ่มด้วยความพินิจพิเคราะห์ ลมหายใจต่อมา หัวหน้าผู้คุ้มกันก็ต้องรีบคุกเข่าลงด้วยความลนลาน พร้อมกับพูดว่า “นายน้อยหรือขอรับ? นายน้อยกลับมาแล้ว ว่าแต่… ทำไมนายน้อยถึงแต่งตัวเช่นนี้ล่ะขอรับ?”

ในที่สุด หัวหน้าผู้คุ้มกันก็จำได้แล้วว่านายทหารหนุ่มผู้มีจมูกงองุ้มไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณชายเฉียนซานเซิ่งผู้ถูกจับตัวไปทรมานอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งนั่นเอง

ตลอดเดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ยถึงคุณชายเฉียนซานเซิ่ง เฉียนซื่อผู้เป็นบิดาของนายน้อยก็จะถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า ดูเหมือนใต้เท้าเฉียนจะเข้าใจว่าเมื่อบุตรชายเพียงคนเดียวของตนเองตกไปอยู่ในกำมือปีศาจน้อยหลินเป่ยเฉินก็คงเป็นเรื่องยากที่จะรอดชีวิตกลับออกมาได้อีก…

และเพื่อไม่ให้ตนเองต้องเศร้าโศกเสียใจ ใต้เท้าเฉียนจึงขังตัวเองอยู่ในคฤหาสน์เจ็ดห้องนอนร่วมกับนางคณิกาอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ตั้งอกตั้งใจเริงสวาททั้งวันทั้งคืน เพื่อผลิตทายาทคนใหม่ของตระกูลเฉียนให้สำเร็จ

แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ประสบผลตามที่คาดหวัง

ใครจะไปคิดเลยล่ะว่าอยู่ดีๆ นายน้อยกลับมาปรากฏตัวเช่นนี้?

เพี๊ยะ!

เฉียนซานเซิ่งตบหน้าหัวหน้าผู้คุ้มกันอีกครั้ง “ข้าแต่งตัวเช่นนี้แล้วจะทำไม? เหตุไฉนเจ้าถึงยังไม่รีบเข้าไปบอกบิดาข้าอีกว่าข้ากลับมาแล้ว…”

หัวหน้าผู้คุ้มกันรีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทันที

ไม่นานหลังจากนั้น

“ลูกพ่อ…”

เฉียนซื่อส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างมีความสุขเมื่อเห็นหน้าบุตรชายของตนเองอีกครั้ง

ทุกคนเห็นกับตาว่าผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำกองทัพ วิ่งออกมาจากด้านในคฤหาสน์โดยไม่สวมใส่รองเท้า เมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเองยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ชายชราก็ต้องยกมือขยี้ดวงตาด้วยความเหลือเชื่อ

หลังจากนั้น เขาก็วิ่งเข้ามาสวมกอดบุตรชายและร่ำไห้อย่างมีความสุข “ลูกพ่อ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้าอยากทำให้บิดาขาดใจตายหรืออย่างไร… แล้วนี่เจ้า… ทำไมใบหน้าของเจ้าคล้ำขึ้นเช่นนี้… ร่างกายก็กำยำล่ำสัน… ว่าแต่เจ้าใส่ชุดเกราะทหารทำไม?”

เฉียนซานเซิ่งหันหน้ากลับไปชำเลืองมองผู้บังคับบัญชาอย่างแม่ทัพเฉียนเหมย ก่อนจะรีบผลักบิดาของตนเองออกไปด้วยความอับอาย “อย่าทำเช่นนี้เลยท่านพ่อ ท่านแม่ทัพกำลังมองข้าอยู่…”

เฉียนซื่อขมวดคิ้วด้วยความพิศวง

“ท่านแม่ทัพ… นี่เจ้า… เจ้าเป็นทหารแล้วจริงๆ หรือ? อย่าบอกนะว่าเจ้าสังกัดอยู่หน่วยกองกำลังพิทักษ์กำแพงเมือง?”

ใบหน้าหล่อเหลาของเฉียนซานเซิ่งซึ่งถูกแดดเผาจนมีสีดำคล้ำมากขึ้น ปรากฏรอยยิ้มขณะตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ “ท่านพ่อ นอกจากได้เข้าร่วมสงครามจริงๆ แล้ว ข้ายังได้สังกัดอยู่หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองอีกด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าออกไปปกป้องกำแพงเมือง 27 ครั้ง ได้กระโดดลงสู่สนามรบ 18 ครั้ง ฆ่านักรบชาวทะเลตายไป 108 ศพ ฆ่าแม่ทัพรองของพวกมันตายไป 35 ศพ นอกจากนี้ ยังสามารถตัดศีรษะแม่ทัพใหญ่ของพวกมันได้หนึ่งตัวอีกด้วย… บัดนี้ ข้ากลายเป็นชายชาติทหารที่แท้จริงแล้วขอรับ”

“ว่าอย่างไรนะ?”

เฉียนซื่อแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

บุตรชายของเขาขี้ขลาดตาขาวขนาดไหน ทำไมเฉียนซื่อจะไม่รู้

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เฉียนซานเซิ่งหลบซ่อนตัวอยู่หลังกองงานเอกสารเรื่อยมา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฉียนซื่อไม่เคยหวังให้บุตรชายของตนเองกลายเป็นขุนนางใหญ่ในอนาคต เขาไม่เคยหวังให้เฉียนซานเซิ่งต้องเก่งกาจมีชื่อเสียงโด่งดัง ขอแค่มีความสามารถในการสืบสกุลเฉียนต่อไปได้ก็พอแล้ว

แต่หลังจากที่เฉียนซานเซิ่งได้รู้จักหอนางโลม ชายหนุ่มก็ไม่เคยคิดแต่งงานอีกเลย ความฝันที่เฉียนซื่ออยากจะมีหลานไว้สืบสกุลจึงไม่เป็นจริงเสียที

ตอนที่พบว่าเฉียนซานเซิ่งถูกหลินเป่ยเฉินจับตัวเข้าไปในค่ายผู้อพยพ เฉียนซื่อก็เข้าใจว่าบุตรชายของตนเองคงเสียชีวิตเป็นแน่แท้

ใครจะไปคิดเลยว่าเพียงเดือนเดียวเท่านั้น เฉียนซานเซิ่งกลับรับใช้กองทัพและมีตำแหน่งเป็นถึงขั้นนายกองเสียแล้ว?

นี่ไม่ต่างจากความฝันเลยทีเดียว

“ท่านพ่อขอรับ นี่คือแม่ทัพใหญ่ผู้บังคับบัญชาของข้า” เฉียนซานเซิ่งรีบหันกลับมาแนะนำตัวเฉียนเหมย

เฉียนเหมยพ่นลมผ่านทางจมูกอย่างแรงเป็นการตอบรับ

เฉียนซื่อไม่กล้าพูดจามากความ ได้แต่รีบประสานมือทำความเคารพ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าแม่ทัพหนุ่มหน้าหวานผู้นี้ ดูคุ้นหน้าคุ้นตาชอบกล

เฉียนซานเซิ่งกล่าวต่อ “ข้าได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลินเป่ยเฉิน ให้มาแจ้งเตือนท่านว่า ท่านพ่อต้องทำเรื่องลงทะเบียนให้น้องสาวของข้ามาเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งเดี๋ยวนี้ ข้ามีเวลาไม่มาก หลังจากนี้ยังต้องไปแจ้งเตือนอีกหลายตระกูลใหญ่ รบกวนท่านพ่อช่วยรีบลงมือ เกิดชักช้าข้าเกรงว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

เฉียนซื่อขมวดคิ้วด้วยความสับสน “นี่คือประกาศอันใด?”

เฉียนซานเซิ่งผู้ยืนอยู่ด้านข้างอธิบายรายละเอียดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “ท่านต้องทำเรื่องจ่ายค่าเล่าเรียนปีละ 5,000 เหรียญทองคำ และถ้าจ่ายล่วงหน้าครบสามปี ท่านก็จะได้รับส่วนลดถึง 1,500 เหรียญทองคำ นี่คือความเมตตาจากคุณชายหลินแล้วนะขอรับ ท่านพ่ออย่าคิดอะไรให้มากมายอีกเลย”

“คุณชายหลินเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ นอกจากมีรูปโฉมหล่อเหลาแล้ว ยังมีฝีมือการต่อสู้เป็นเลิศในทุกๆ ด้าน อีกทั้งวิสัยทัศน์ยังกว้างไกล ชนิดที่รอบหมื่นปีก็หาใครยอดเยี่ยมเสมอเหมือนคุณชายหลินไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น น้องสาวทุกคนของข้า จะต้องเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

เฉียนซื่อได้แต่กะพริบตาปริบๆ

นี่บุตรชายของเขาโดนล้างสมองไปแล้วหรือ?