บทที่ 471.1 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฟ้าเริ่มสว่าง ทางฝั่งประตูเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี จอมยุทธกลุ่มหนึ่งในยุทธภพที่เดินทางมาถึงที่นี่นั่งอยู่บนหลังม้ารอคอยให้ประตูเปิด หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรของแคว้นซูสุ่ย ฝ่ามือของเขากำลังลูบคลึงหยกมันแพะที่มีไว้ถือเล่นช้าๆ ด้วยอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าห่างไปไกลมีจอมยุทธพเนจรหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง สีหน้าอิดโรยคนหนึ่งกำลังเดินมา ทว่าสายตาของเขากลับไม่ขุ่นมัวแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าจึงคิดในใจว่าคนหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นคนฝึกยุทธคนหนึ่ง แต่ดูจากความตื้นลึกของฝีเท้า วิชาคงไม่ค่อยสูงส่งสักเท่าไหร่ สายตาของผู้เฒ่าจึงย้ายไปมองตามเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีที่โตเต็มวัยคนอื่นแทน น่าเสียดายก็แต่สตรีบ้านป่าส่วนใหญ่มักมีผิวพรรณแห้งกระด้าง หน้าตาธรรมดา เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หวังว่าหลังจากเข้าเมืองไปแล้ว สตรีของเมืองแยนจืออย่าได้เป็นเช่นนี้เลย

คนหนุ่มชุดเขียวมองไปทางนอกประตูที่มีกลุ่มคนมายืนออรวมตัวกัน จึงเลือกเดินไปทางร้านริมทางที่ขายอาหารเช้า ที่นั่นไม่มีเก้าอี้ให้นั่งทานอาหารแล้ว แต่เขาก็ยังสั่งปาท่องโก๋หนึ่งชิ้นและโจ๊กขาวหนึ่งถ้วย เมื่อรับอาหารมาแล้ว เจ้าของร้านนึกอยากจะเตือนสักคำว่าอย่าลืมเอาชามและตะเกียบมาคืน แต่พอชำเลืองตาไปเห็นกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น คำพูดก็กลับลงไปในท้องอีกครั้ง คนในยุทธภพ ควรต้องเกรงใจกันสักหน่อย จอมยุทธพเนจรหนุ่มจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ข้างทาง กินปาท่องโก๋กับโจ๊ก ถือว่าจัดการอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายเสร็จไปหนึ่งมื้อ เพียงแต่เขากินช้ามาก รอจนคนหนุ่มสะพายกระบี่นำตะเกียบและชามไปคืนให้เจ้าของร้าน ทางประตูเมืองก็เปิดให้คนเข้าออกได้แล้ว เขาจึงยืนรออยู่ตรงข้างทาง

ผู้เฒ่าเก็บหยกงามที่ไม่ผ่านการแกะสลักในมือชิ้นนั้นลงไป อดหันไปชำเลืองตามองเด็กรุ่นหลังในยุทธภพคนนั้นอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะยิ้มอย่างนึกขำ ตอนที่ตนอายุเท่านี้ก็ไม่ได้มีชีวิตที่อับจนเช่นนี้แล้ว

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจสายตาสำรวจตรวจตราของผู้เฒ่า เขาเดินตามกระแสคนไปส่งมอบเอกสารผ่านด่านเข้าเมือง ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากขี่กระบี่กลับไปที่เรือนหลังนั้น แต่เป็นเพราะเขาหมดแรงแล้วจริงๆ เดินทางไปกลับเมืองแยนจือกับภูเขาเหมิงหลงมารอบหนึ่ง หากยังฝืนต่อไปก็คงไม่ใช่การตรากตรำฝึกท่าศพนั่งอะไรอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นศพศพหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแทน แม้ว่าท่านั่งนี้ ขอแค่นั่งได้ไหวก็จะช่วยบำรุงจิตวิญญาณ ทว่าหากจิตวิญญาณได้รับผลประโยชน์ แต่เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาบาดเจ็บ ส่งผลกระทบต่อพลังต้นกำเนิด น้ำเต็มปรี่ภาชนะจึงปริแตก จะกลายเป็นว่าส่งผลร้ายมากกว่าผลดี

แต่วันหน้าหากใช้ท่าศพนั่งขี่กระบี่เดินทางไกลก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว

ทว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีปสามารถทำเช่นนี้ หากไปถึงอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ที่นั่น หากไม่ชอบขี้หน้าใครขึ้นมา แค่อ้างเหตุผลที่มองดูเหมือนเหลวไหลไร้สาระ ก็สามารถทำให้สองฝ่ายลงมือต่อยตีกันจนน้ำสมองกระจุยกระจายได้แล้ว

เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่เรือนพักของอวี๋เวิงเซียนเซิงในทันที แต่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองมาก่อนรอบหนึ่ง แต่พอสอบถามถึงได้รู้ว่าเจ้าพ่อศาลเทพอภิบาลเมืองได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เจ้าพ่อเสิ่นร่างทองอีกต่อไป เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ไม่ถือว่าราชสำนักแคว้นไฉ่อีข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน เมืองแยนจือเป็นสถานที่สำคัญ หลังจากร่างทองของเสิ่นเวินสูญสลายไปจึงจำเป็นต้องให้เทพอภิบาลเมืองคนใหม่มาสืบทอดตำแหน่งเทพรับผิดชอบตรวจตราดูแลภูเขาแม่น้ำของเมืองต่อ

เฉินผิงอันจึงไม่ได้เข้าไป แต่เดินตามเส้นทางที่เคยผ่านในปีนั้นไปยังศาลเทพเจ้าแห่งผืนดินที่ยังคงเงียบสงัดแห่งนั้น เนื่องจากศาลเล็กเกินไปจึงไม่มีคนเฝ้าศาล ต่อให้มาจุดธูปขอพรที่นี่ก็ยังต้องนำธูปมาเอง ปีนั้นตนก็ได้บอกลาเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่

เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนหยิบธูปสามดอกมาจากในวัตถุจื่อจื่อ กลิ่นธูปหอมสดชื่น เป็นของบนภูเขาอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่จุดธูปไล่ยุงเลย ต่อให้กำจัดเสนียดจัญไรอัปมงคลในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำได้

ปีนั้นตอนอยู่ที่ศาลเทพวารีของแคว้นชิงหลวน ครึ่งทางก่อนจะไปถึงสวนสิงโต คนเชิญธูปผู้นั้นตามกลุ่มของตนมาเพื่อนำกระบอกธูปที่ทำจากไม้ไผ่กระบอกหนึ่งซึ่งคนเฝ้าศาลเป็นผู้มอบให้มามอบต่อให้กับตน ภายหลังลองมานับดู ด้านในบรรจุธูปน้ำหายากไว้ถึงยี่สิบสี่ก้าน ลงเขามาครั้งนี้ ธูปน้ำส่วนใหญ่เขาล้วนทิ้งไว้บนภูเขาลั่วพั่ว แต่นำกระบอกธูปมาด้วย ด้านในบรรจุธูปไว้แค่สามดอก เผื่อไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น คิดไม่ถึงว่าจะได้ออกเอามาใช้ตอนนี้ เรื่องของการจุดธูปกราบไหว้นั้น ระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำจะมีข้อห้ามบางอย่าง แต่สถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมือง ศาลบุ๋นหรือศาลบู๊ จะใช้ธูปภูเขาหรือธูปน้ำล้วนไม่มีปัญหา

เฉินผิงอันใช้มือหมุนหัวธูปเบาๆ ไฟก็ติดขึ้นเอง

เฉินผิงอันยืนนิ่ง ยกธูปขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยถ้อยคำบางอย่างอยู่ในใจ

สุดท้ายนำธูปสามดอกปักลงในกระถางทองแดง หลับตานิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวจากไป

กลับไปถึงนอกเรือนในตรอกเล็กแห่งนั้น เฉินผิงอันก็เคาะประตูอีกครั้ง

คราวนี้คนที่เปิดประตูไม่ใช่จ้าวซู่เซี่ย แต่เป็นจ้าวหลวน พอเห็นเฉินผิงอัน ในดวงตาที่หม่นหมองของแม่นางน้อยคล้ายว่ากำลังเอ่ยเอื้อนถ้อยคำ

อู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและจ้าวซู่เซี่ยยืนอยู่ตรงผนังบังตาในเรือน

เฉินผิงอันอยู่กับเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมานานเกินไป เดิมทีจึงคิดว่าแค่ลูบหัวอีกฝ่ายก็จะรับมือกับเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้ แต่จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถึงอย่างไรหลวนหลวนก็มีอายุและรูปร่างเป็นเด็กสาวแล้ว จึงได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ผู้ฝึกตนของภูเขาเหมิงหลงถือว่ายังมีเหตุผลกันอยู่บ้าง หลวนหลวน วันหน้าเจ้าก็ฝึกตนอย่างสบายใจอยู่ข้างกายอาจารย์ได้แล้ว”

จ้าวซู่เซี่ยแอบกำหมัดแสดงถึงความยินดีในใจ

จริงดังคาด ท่านเฉินที่สอนวิชาหมัดให้กับตน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!

แม้ว่าอู๋ซั่วเหวินจะมีแต่ข้อสงสัยเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะถามอะไรต่อหน้าเด็กทั้งสอง จึงเพียงแค่ผงกศีรษะคลี่ยิ้มให้เฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องโถงของเรือนด้านหลังพร้อมกัน

คราวนี้จ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนยังคงดื่มชาเพื่อใช้บำรุงจิตวิญญาณอย่างช้าๆ

แต่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายหยิบเหล้าอีกาครวญสองไหออกมา มอบให้ตัวเองและอวี๋เวิงเซียนเซิงคนละกา

อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้หลวนหลวนและซู่เซี่ยอายุน้อยเกินไป ดื่มเหล้าไม่ได้”

อู๋ซั่วเหวินดื่มแค่หนึ่งอึกก็ตัดใจดื่มไม่ลงอีก เขายิ้มกล่าวว่า “เก็บไว้ ข้าจะเก็บไว้ก่อน วันหน้ารอให้เด็กทั้งสองโตขึ้นอีกหน่อย ดื่มเหล้ากลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อไหร่ ข้าค่อยเอาออกมาอีกครั้ง”

เฉินผิงอันรีบเอาเหล้าอีกาครวญออกมาอีกกา ลุกขึ้นยืนแล้ววางลงตรงหน้าอู๋ซั่วเหวิน กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านอู๋มีความสามารถในการหลอกดื่มเหล้าไม่น้อยเลยจริงๆ เชิญดื่มได้ตามสบาย ข้ายังมีสุราเหลืออีก”

อู๋ซั่วเหวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขาดื่มเหล้าของเฉินผิงอันได้คล่องคอยิ่งนัก “คุณชายเฉิน อย่าใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชนสิ”

เฉินผิงอันยิ้มพลางชูกาเหล้าขึ้น อู๋ซั่วเหวินเองก็ทำเช่นเดียวกัน ถือเป็นการชนจอกกันแล้ว จากนั้นต่างคนก็ต่างดื่มสุราของตัวเอง

เฉินผิงอันไม่คิดจะเล่าเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางไปเยือนภูเขาเหมิงหลงอย่างละเอียด แต่มองไปยังอวี๋เวิงเซียนเซิงที่กำลังอารมณ์ดีแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอู๋ เรื่องของภูเขาเหมิงหลงถือว่ายุติลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว หากยังไม่วางใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไปท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำของแคว้นต่างๆ ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ซู่เซี่ยและหลวนหลวนควรได้เปิดโลกทัศน์แล้ว ไปมองฟ้าดินข้างนอกให้มากหน่อย ต่อให้เป็นแค่การสั่งสมประสบการณ์ในยุทธภพก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี”

อู๋ซั่วเหวินพยักหน้ารับ “ได้เลย”

เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็กๆ บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับอู๋ซั่วเหวิน สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในยุทธภพและในราชสำนักของแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย บางครั้งก็หันไปมองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอยากดื่มเหล้า รวมไปถึงเด็กสาวที่คอยแอบลอบมองตนอยู่เป็นระยะ จิตใจของเฉินผิงอันกลับคืนมาสงบสุขดังเดิม ราวกับว่าเดินจากสองปลายฝั่งของไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง กลับมาอยู่ตรงตำแหน่งกลางดังเดิม

อันที่จริงครั้งแรกที่มานั่งอยู่ในห้อง สำหรับเรื่องการดื่มชานั้น ดูเหมือนจ้าวซู่เซี่ยจะคุ้นเคยอย่างมาก ไม่มีท่าทางระมัดระวังหรือไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าดื่มมาจนชินแล้ว

นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่ทำให้เฉินผิงอันเลื่อมใสอู๋ซั่วเหวินจากใจจริง

จ้าวหลวนมีพรสวรรค์ในการฝึกตน นี่ถือเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวที่มองไม่เห็นระหว่างนางกับจ้าวซู่เซี่ยแล้ว อีกทั้งพรสวรรค์ในการฝึกตนของจ้าวหลวนยังดีเยี่ยมอย่างมาก นี่หมายความว่าหากอิงตามหลักการทั่วไป จ้าวหลวนที่ปีนั้นยังต้องให้จ้าวซู่เซี่ยสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องคุ้มครองนาง ใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถทำให้จ้าวซู่เซี่ยที่ได้แต่ฝึกหมัดอย่างโง่งมมองไม่เห็นแผ่นหลังของนางบนเส้นทางของการฝึกตนอีกต่อไป แน่นอนว่าอู๋ซั่วเหวินก็รู้ชัดเจนในข้อนี้ดี แต่น้ำชาตระกูลเซียนที่ต้องสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนประเภทนี้ เขาให้จ้าวหลวนดื่ม แล้วก็ยังให้จ้าวซู่เซี่ยได้ดื่มเช่นกัน ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ ใกล้ชิดหรือห่างเหิน

นี่ใช่การอบรมปลูกฝังสองพี่น้องให้เป็นดั่งลูกศิษย์ในสำนักของตัวเองเสียที่ไหน นี่ชัดเจนว่าเป็นการเลี้ยงดูบุตรชายหญิงของตัวเองแล้ว พูดประโยคไม่น่าฟังสักหน่อย พ่อแม่ในหลายๆ ครอบครัว เวลาปฏิบัติต่อบุตรชายบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังไม่อาจไร้ความลำเอียงได้ถึงเพียงนี้

เฉินผิงอันรู้สึกว่าชายชราลัทธิขงจื๊อที่ตบะไม่สูงผู้นี้มีบุคลิกของวิญญูชนผู้เปี่ยมเมตตาอย่างแท้จริง

แล้วก็เพราะเหตุนี้ เขาถึงไม่กล้ามอบเหล้าอีกาครวญให้มากนัก

เรื่องบางอย่างที่เดิมทีคิดมาดีแล้วว่าจะทำ ตอนนี้ก็ต้องมาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก

ยกตัวอย่างเช่นควรจะมอบเงินเทพเซียนไว้สำหรับการฝึกตนของจ้าวหลวนในวันหน้าหรือไม่? จะมอบอย่างไร? มอบให้เท่าไหร่? ท่านอู๋จะรับไว้หรือไม่? ต้องทำแบบไหนเขาถึงจะรับไว้? ต่อให้รับไว้แล้ว จะทำอย่างไรไม่ให้ท่านอู๋เกิดปมในใจ?

ความวกวนอ้อมค้อมเหล่านี้ เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าเหมือนอย่างที่หม่าตู่อี๋กล่าวไว้จริงๆ เขาเป็นคนทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไว เพียงแต่ว่านิสัยนี้จะให้เปลี่ยนทันทีก็คงไม่ได้

เฉินผิงอันพลันเอ่ยอย่างขออภัยว่า “ท่านอู๋ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกท่าน วันนี้ข้าอาจจะสอนกระบวนท่าหมัดให้กับซู่เซี่ยอีกสองสองสามกระบวนท่า อย่างช้าที่สุดคืนนี้ก่อนถึงช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลก็คงต้องออกเดินทางไปแคว้นซูสุ่ยต่อแล้ว เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างรีบเร่ง ดังนั้นต่อให้พวกท่านอู๋วางแผนว่าจะไปเที่ยวแคว้นซูสุ่ย พวกเราก็ยังไม่อาจเดินทางไปร่วมกันได้”

อู๋ซั่วเหวินอืมรับหนึ่งที “บนเส้นทางของการฝึกตน จะปล่อยให้เรื่องทางโลกถ่วงรั้งไว้นานเกินไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่คำกล่าวในเชิงลบ แต่แท้จริงแล้วคือสัจธรรม”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นพลางพูดกับจ้าวซู่เซี่ยว่า “ไป ไปที่ลานกัน ข้าจะสอนคาถาหลอมลมปราณบทหนึ่งให้เจ้า สอนท่ายืนนิ่งและท่าหมัดอีกหนึ่งท่า คงมีแค่สามอย่างนี้ อย่าได้รังเกียจว่าน้อยเกินไปเลย”

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อต้องห้าม เพราะไม่ว่าจะเป็นคาถาวิชาหมัด หรือคาถาของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนร่วมสำนักก็ไม่สามารถร่วมรับฟังอย่างส่งเดชได้ อู๋ซั่วเหวินจึงคิดจะพาจ้าวหลวนจากไป แต่แม่นางน้อยที่แต่ไหนแต่ไรมาว่าง่ายรู้ความมาโดยตลอดกลับไม่ยอมไปกับเขาเสียนี่

อาจารย์ผู้เฒ่ามึนงงไปเล็กน้อย

เฉินผิงอันเองก็สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ในห้อง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าขอพูดมากสักคำ อย่าเอาไปแพร่งพรายข้างนอกเด็ดขาด แค่พวกเราสี่คนรับรู้กันก็พอ”

อู๋ซั่วเหวินถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วจากไปเพียงลำพัง

จ้าวหลวนยกสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ตรงประตูที่ไร้ธรณี เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านแค่บอกคาถาแก่พี่ชายของข้าก็พอแล้ว ข้าจะไม่แอบฟัง แค่จะดูพวกท่านฝึกวิชาหมัดกันเท่านั้น”

เฉินผิงอันเป็นกังวลจริงๆ ว่าคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุดจะขัดแย้งกับวิชาลับในการฝึกตนตอนนี้ของจ้าวหลวน ดังนั้นจึงใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธถ่ายทอดคาถาแก่จ้าวซู่เซี่ย พูดซ้ำอยู่สามรอบ จนกระทั่งจ้าวซู่เซี่ยพยักหน้าบอกว่าตนเองจำได้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้เริ่มสอนท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูให้กับเด็กหนุ่ม รวมไปถึงท่าหมัดใหม่ที่เกิดจากการผสานรวมท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของจ้งชิว ท่าวานรของจูเหลี่ยน บวกกับท่าเดินนิ่งหกก้าว ล้วนเป็นพื้นฐานในการเรียนวรยุทธ ไม่ว่าจะตั้งใจฝึกฝนแค่ไหนก็ไม่เกินไป เชื่อว่ามีท่านอู๋คอยจับตามองอยู่ด้านข้าง จ้าวซู่เซี่ยคงไม่ถึงขั้นฝึกวรยุทธจนร่างกายบาดเจ็บ

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่แสดงท่ายืนนิ่งและท่าหมัดด้วยตัวเอง ยังอธิบายให้จ้าวซู่เซี่ยฟังอย่างละเอียดด้วยความอดทน ถอดบทเรียนไปทีละขั้น อธิบายชัดเจนทุกประโยค จากนั้นก็ค่อยสรุปรวม พูดถึงจุดประสงค์ของทั้งวิชาหมัดและกระบวนท่าหมัดโดยรวมอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงขยายไปถึงความลี้ลับมหัศจรรย์แต่ละแบบ พูดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่อง หากมีจุดใดที่จ้าวซู่เซี่ยไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นการประมือด้วยวิชาหมัด เขาก็จะอธิบายขั้นตอนนั้นให้ฟังซ้ำอีกรอบ

แน่นอนว่าจ้าวซู่เซี่ยไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดีว่าเจิงเย่อยู่ไม่น้อย

เจ้าทึ่มเจิงเย่ผู้นั้น ถึงขนาดทำให้คนที่ความอดทนดีเลิศอย่างเฉินผิงอันอดยกมือเกาหัวไม่ไหว นึกอยากจะใช้วิธีป้อนหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่กับเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจหรือ? หมัดเดียวสติปัญญาเปิดโล่ง! ยังไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นก็สองหมัด!

—–