ตอนที่ 504 เราจะทำข้อตกลงกับท่าน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางมองไปที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย ก็รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับฉางซุนอิงมาก 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ๆในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา 

 

 

พักก่อนตอนที่เขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เอง ตู๋กูซิงหลันก็ได้รับรู้เรื่องของฉางซุนอิงหมดแล้ว 

 

 

เพราะพวกนางตัดสินใจจะอยู่ด้วยกัน เรื่องพวกนี้จึงต้องบอกกล่าวให้ชัดเจน ไม่ปล่อยให้กลายเป็นแผลกลัดหนองอยู่ในหัวใจ 

 

 

ในโลกที่มีความมืดมิดใบนั้นฉางซุนอิงและฉางอันต้องมีจุดจบที่โศกเศร้า 

 

 

ตอนนี้เมื่อได้เห็นว่า ‘ชีวิตใหม่’ ของพวกเขาในโลกปัจจุบันได้พบกับความสงบสุข หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็อบอุ่นขึ้นมา นางย่อมอวยพรพวกเขาด้วยความยินดี 

 

 

……………………….. 

 

 

 

 

 

ยามเย็นในฤดูร้อน ฝนคิดจะตกก็ตกลงมาในทันที 

 

 

ผู้คนเดินบนท้องถนนบางตา ประตูของโรงเรียนอนุบาลไม่เหลือเงาของใครแล้ว ยามรักษาความปลอดภัยปิดประตูลง แต่ก็ยังคงคอยแอบดูอยู่หลายครั้งด้วยความตื่นตัวเช่นเดิม 

 

 

จีเฉวียนนั่งอยู่ที่ทางเดินข้างทาง ฝนตกเปาะแปะลงมาไม่ขาดสาย ชำระรอยเลือดบนพระองค์จนสะอาด 

 

 

พอพระองค์ปาดน้ำฝนบนพระพักตร์ออกไป ในจมูกก็ได้กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาที่แสนจะคุ้นเคย 

 

 

ทันทีที่เงยพระพักตร์ขึ้น เงาร่างสีแดงของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายพระเนตร 

 

 

นางเองก็เปียกปอนไปทั้งตัว เส้นผมเปียกชื้นจนลีบลงมา น้ำฝนจากปลายคางของนางหยดลงบนพระพักตร์ 

 

 

เย็นเฉียบ 

 

 

ความปวดใจของนางเห็นได้ชัดจากบนหัวคิ้ว 

 

 

นางมองดูจีเฉวียนอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สายพระเนตรของพระองค์ก็มีแต่ความตกตะลึงเช่นกัน 

 

 

ดวงเนตรสั่นไหวไม่หยุด 

 

 

จีเฉวียนอ้าพระโอษฐ์ขึ้น แต่ยังไม่ทันจะตรัสอะไรออกมา ตู๋กูซิงหลันก็คว้าพระองค์เข้ามาในอ้อมอก 

 

 

“ทำไมเจ้าถึงวิ่งออกมาคนเดียว ข้าห่วงเจ้ามากนะ” นางกอดเขาเอาไว้ พระเศียรของพระองค์ซบลงไปบนทรวงอกของนาง สองมือของนางสั่นสะท้าน 

 

 

นางตามหาเขาทั้งวันทั้งคืน ค้นหาจนแทบจะพลิกหุบเขาปีศาจขึ้นมาแล้ว 

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ในสมองเต็มไปด้วยถ้อยคำของเสินฟาง 

 

 

บนหุบเขาปีศาจมีร่องรอยของปีศาจหมาป่าอาละวาด บนเขามีซากสัตว์อยู่ไม่น้อย นางกลัวว่าเขาจะกลายเป็นเช่นที่เสินฟางบอก ถูกหมาป่าพวกนั้นกัดกิน 

 

 

แต่พอตามหาเขาเจอ เห็นเขานั่งอยู่ที่ข้างทางอย่างโดดเดี่ยว สองมือวางอยู่บนเข่าด้วยท่าทางที่น่าสงสาร ช่วงเวลานั้นหัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างไร้สาเหต 

 

 

“ซิงซิง” จีเฉวียนฝืนความรู้สึกในพระทัยเอาไว้ เงยพระพักตร์ขึ้นมองนาง “เราไม่เป็นไร” 

 

 

พระองค์ตรัสพลาง ก็รีบซ่อนบาดแผลที่ลึกจนมองเห็นกระดูกได้เอาไว้ที่ด้านหลัง 

 

 

แต่กลับถูกตู๋กูซิงหลันคว้าข้อพระหัตถ์เอาไว้ ท่ามกลางสายฝน นางเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเราตกลงกันแล้วนิ ว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อสู้คลื่นลม เจ้าแอบมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? หรือคิดจะทำอะไรเพียงลำพัง?” 

 

 

พูดตามจริงแล้ว เรื่องที่แอบไปทำอะไรเพียงลำพังเขาทำไปนักต่อนักแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกังวลจริงๆ นางเกรงว่าหาตนเองเผลอเรอขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็จะหายสาบสูญไป 

 

 

“ก็แค่เมื่อคืนบังเอิญเจอกับพวกหมาป่าที่โหดเ**้ยม ได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก” จีเฉวียนตรัสพลาง ก็เป็นห่วงนางที่ตากฝนจนเปียกปอนขึ้นมา 

 

 

พระองค์ลุกขึ้นมา พานางไปหลบฝนในที่กำบังใกล้ๆ 

 

 

สิ่งก่อสร้างรอบๆเมืองหลวงมีมากมาย ไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีเก๋งน้อย แม้แต่บริเวณที่เป็นที่สาธารณะก็ยังมีที่ให้คนสามารถหลบฝนหลบร้อนพักผ่อนได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันติดตามอยู่ด้านหลังของพระองค์ จีเฉวียนยังคงกุมมือของนางเอาไว้แนบแน่น สิบนิ้วประสานเข้าหากัน 

 

 

รอจนทั้งคู่นั่งลงอีกครั้ง จีเฉวียนถึงได้ตรัสถามว่า “ซิงซิง หากว่ามีวันหนึ่ง เราไม่อยู่อีกต่อไป เจ้าจะ….คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?” 

 

 

“เจ้าไม่มีทางไปไหน” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันล้วงเอาผ้าพันแผลและยาออกมาจากถุงเฉียนคุน คว้าแขนของเขาเอาไว้ ช่วยทำแผลให้อย่างทะนุถนอม 

 

 

ปากแผลลึกถึงกระดูก จนเนื้อปลิ้นออกมา และเพราะเปียกฝน ปากแผลเปียกน้ำจนบวมและซีด 

 

 

บาดแผลแย่จนน่ากลัว 

 

 

จีเฉวียนย่อมแข็งแกร่ง……แต่ว่าหมาป่าที่โหดเ**้ยมขนาดไหน จึงสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ขนาดนี้? 

 

 

จีเฉวียนหรี่พระเนตรมองดูนาง เช่นเดียวกับยามที่เคยเอ่ยลานางที่ก้นทะเลลึก ดวงเนตรนั้นราวกับจะผนึกภาพของนางเข้าไปในกระดูกของพระองค์ 

 

 

หากพระองค์ไม่ไล่ตามนาง…..นางก็อาจจะลืมเลือนพระองค์ไปก็ได้ เช่นนี้คงจะดี 

 

 

บาดแผลบนร่างเจ็บปวดจนด้านชา แม้แต่ตอนที่ตู๋กูซิงหลันเทยาลงไปบนปากแผล จีเฉวียนก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น 

 

 

สิ่งที่พระองค์พบเจอเมื่อคืนนี้…..อันตรายอย่างยิ่ง หมาป่าเหล่านั้น มีกลิ่นอายปีศาจคละคลุ้ง ในโลกปัจจุบันกลับมีสิ่งเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาช่างผิดปกติอย่างยิ่ง 

 

 

กลิ่นอายของพวกมัน มีส่วนคล้ายคลึงกับสิ่งที่พระองค์สัมผัสได้ที่รถไฟฟ้าใต้ดินก่อนหน้านี้ 

 

 

พระองค์ไม่ได้บอกกับตู๋กูซิงหลัน ว่าพวกที่ปรากฏตัวขึ้นใกล้สวนกุหลาบเหล่านั้น ไม่ได้มาเพราะซื่อมั่ว หากแต่พุ่งเป้าไปที่นาง 

 

 

มีคนคิดสังหารซื่อมั่ว และก็มีคนคิดจะฆ่านาง 

 

 

“กลับบ้านกันเถอะ” พอพันแผลให้เขาเสร็จ ตู๋กูซิงหลันก็เอ่ยออกมา 

 

 

วันนี้นางรู้สึกว่าจีเฉวียนดูแปลกๆไป แต่ก็ดูไม่ออกว่าแปลกอย่างไร 

 

 

เขาไม่ยอมพูดอะไร ราวกับว่ามีความในใจหนักอึ้ง 

 

 

“อืม กลับบ้านกันเถอะ” จีเฉวียนพยักพระพักตร์ ขณะที่เดินจากไปก็หันมามองดูโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง สายพระเนตรหยุดอยู่ที่ คำว่า ‘ความหวัง’ สองคำนั้น 

 

 

…………….. 

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันพาจีเฉวียนกลับมา ซื่อมั่วก็มาถึงบ้านพักกลางสวนกุหลาบของนางเช่นกัน 

 

 

เขาเปลี่ยนจากชุดยาวสีม่วง กลับมาเป็นชุดแบบตะวันตกสีม่วงเข้ม และทรงผมเสยหลังแบบเดิม 

 

 

เขานั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟา ในมือถือถ้วยชาร้อนใบหนึ่งด้วยท่าทางเสมือนเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน มีเสินฟางยื่นอยู่ที่ข้างกาย 

 

 

ทันทีที่เห็นจีเฉวียน สายตาก็มองไปที่ท่อนแขนที่มีผ้าพันแผลเอาไว้อย่างเรียบร้อย 

 

 

สีหน้าของซื่อมั่วยังคงสงบนิ่ง แต่จีเฉวียนเห็นว่าสายตาของเขาเคร่งขรึมจนน่าตระหนก 

 

 

ราวกับผิวน้ำที่เรียบนิ่ง จนไร้คลื่นใดๆทั้งสิ้น 

 

 

ที่ผ่านมายามทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็อยากจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไป แต่ว่าวันนี้กลับสงบนิ่งราวกับนัดแนะกันเอาไว้ 

 

 

…………………………. 

 

 

ยามดึกสงัด ประตูหน้าห้องของซื่อมั่วถูกเปิดออกมา 

 

 

ทันทีที่มือของเขาผลักออกไป ก็มองเห็นจีเฉวียนยืนอยู่ที่หน้าประตู พระองค์สวมใส่ชุดนอนสีดำ สีพระพักตร์ออกจะซีดเซียวไปอยู่บ้าง 

 

 

สายพระเนตรของพระองค์ทอดมองซื่อมั่วอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตรัสว่า “เรามีเรื่องต้องการจะสนทนากับท่านตามลำพัง” 

 

 

ซื่อมั่วนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กภายในห้อง พยักหน้าให้เบาๆ อนุญาตให้พระองค์เสด็จเข้ามาในห้อง 

 

 

จากนั้น……ประตูก็ปิดลง 

 

 

เพียงครู่เดียวอุณหภูมิภายในห้องก็ลดลงจนถึงศูนย์องศา 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ 

 

 

จีเฉวียนประทับนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับซื่อมั่ว ด้วยท่วงท่าเฉกเช่นยามเป็นฮ่องเต้ของต้าโจว 

 

 

ถึงแม้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์มีในวันนี้ จะมาจากคนตรงหน้า แต่ว่าจีเฉวียนก็ไม่ยอมถอยให้กับซื่อมั่วแม้แต่น้อย 

 

 

พระองค์เคยตกระกำลำบาก ถึงขั้นต้องแย่งกินกับสุนัข 

 

 

พระองค์ฝ่าฟันขึ้นมาจนกลายเป็นโอรสสวรรค์ที่สูงส่ง 

 

 

ยามนี้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าซื่อมั่ว ก็คือโอรสสวรรค์แห่งแคว้นโจว จีเฉวียน 

 

 

“เราต้องการจะเจรจาแลกเปลี่ยนกับท่านเรื่องหนึ่ง” ครู่ใหญ่จีเฉวียนถึงได้ออกพระโอษฐ์ขึ้นมา 

 

 

ซื่อมั่วรับฟังพระองค์ต่อไป 

 

 

ราวกับว่าเขาเองก็เดาจุดประสงค์ของจีเฉวียนออกแต่แรกแล้ว 

 

 

ในห้องดับไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงสลัวจากดวงดาวด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างลงมาที่คนทั้งคู่เท่านั้น 

 

 

………………………………………