เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1098
เปลิวเพลิงรอบตัวกลายเป็นเปลวไฟสีขาวสว่างจ้า แต่สีหน้าและแววตาของลู่ฝานยังปกติ

ตอนนี้เขาแซงคนมาได้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ด้านหน้าเขามีคนหลายสิบคนกำลังฝ่าด่านอยู่!

คนพวกนี้ล้วนเดินมาเป็นระยะทางเกินร้อยขั้นแล้ว แต่ยังเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรนอกจากทดสอบว่าตัวเองจะเดินได้ไกลแค่ไหน

คิดว่าคงมีแค่ไม่กี่คนที่เดินถึงร้อยขั้นแล้วจะไม่เดินต่อ เหตุผลง่ายมาก เพราะการฝ่าด่านของพวกเขาในตอนนี้ แม้ดำเนินอยู่ในวัง แต่ไม่นานจะดังไปทั่วใต้หล้า ถ้าเดินอีกสักหน่อย ไม่แน่อาจเป็นหน้าเป็นตาให้ตัวเองก็ได้

แน่นอนว่าเดินได้เท่าไรก็เท่านั้น ค่อยหยุดตอนที่เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ

ลู่ฝานเดินมาถึงขั้นที่ 100 กระบี่เปลวเพลิงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่มันยังไม่ทันฟาดฟันลงมา ลู่ฝานกลับปีนขึ้นไป จับตัวกระบี่เอาไว้

หลังจากนั้นใช้แรงจับเอาไว้ กระบี่เปลวเพลิงแหลกสลาย กลายเป็นสะเก็ดไฟทันที

ลู่ฝานไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย เดินช้าๆ ผ่านสิบกว่าขั้นสุดท้าย ผ่านพื้นที่สีแดงออกไปทันที

หลู่ยินตามอยู่ด้านหลังลู่ฝาน เธอเดินอย่างผ่อนคลายจนผิดปกติเหมือนกัน

“ฮ่าๆ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตามนายมา หึ นายต้องเคยผ่านไฟสวรรค์มาแล้วแน่ๆ ร่างกายใกล้จะเป็นอมตะแล้ว การผ่านด่านนี้คงเป็นอะไรที่ผ่อนคลายและมีความสุข แวบเดียวฉันก็ดูออกแล้ว”

หลู่ยินยิ้มอย่างได้ใจ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ฉลาดนักนะ ครั้งนี้เธอติดหนี้น้ำใจฉันแล้ว ต่อไปอย่าหลอกฉันอีก”

หลู่ยินพูดว่า “ได้ ถ้าด่านต่อไปฉันเจอนาย ฉันจะเบามือกับนาย โอเค นายฝ่าด่านต่อเถอะ ฉันไปละ!”

เมื่อพูดจบ คิดไม่ถึงว่าหลู่ยินจะกระโดดลงจากสะพานสายรุ้ง

หมุนไม้ค้ำสองอันเบาๆ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นปีกเหล็กขนาดใหญ่สองอัน พาหลู่ยินลอยลงสู่พื้น

องครักษ์เกราะทองที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงดังว่า “หลู่ยินตระกูลหลู่ 111 ขั้น ผ่านด่าน!”

เมื่อได้ยินชื่อหลู่ยิน ฉินซางยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้รีบถอยออกจากสงคราม ผ่านด่านแล้วก็แยกย้าย มีสไตล์ของตระกูลหลู่จริงๆ!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ลูกหลานตระกูลหลู่ เชี่ยวชาญการหลบซ่อนมาตลอด พวกเขาไม่มีทางเอาพละกำลังของตัวเองออกมาจนหมดภายในครั้งเดียวโดยไม่มีเหตุผลหรอกครับ”

ฉินซางมองฉินอวิ่นแวบหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร

เมื่อสัมผัสกับสายตาของพ่อ ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดอีกว่า “แต่การคัดเลือกครั้งนี้ ถึงเธอจะหลบ ก็หลบได้ไม่นานหรอก”

เพิ่งพูดจบ หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะออกมา ฉินซางต้าตี้ก็หัวเราะออกมาด้วย

ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าทั้งสองคนหัวเราะอะไร แต่สองคนนี้หัวเราะแล้ว พวกเขามีเหตุผลอะไรที่จะไม่หัวเราะ ทำได้แค่หัวเราะตามเท่านั้น

บนสะพานสายรุ้ง ลู่ฝานมองหลู่ยินที่กระโดดลงไป เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เธอกระโดดลงไปแล้ว ยังให้ฉันเดินไปต่อ อืม คำพูดก่อนหน้านี้ 80 เปอร์เซ็นต์คงจงใจหลอกล่อฉัน โอเค ถือว่าเธอชนะแล้ว ฉันอยากลองดูว่าตัวเองจะเดินได้ไกลแค่ไหน”

พูดพลาง ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าต่อ

ตอนนี้ทุกคนเพิ่งพากันมองมาทางเขา

สือเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ดูน่าสนใจนะ”

นัยน์ตาถานไถเก๋อมีประกายประหลาดวนไปมา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเขาตามฉันทัน ฉันจะให้โอกาสเขาเลี้ยงข้าวฉัน”

หลิ่วเจิน สุ่ยสือฉวนและคนอื่น กลับมีแววตาหวาดระแวงผุดขึ้นมา

ลู่ฝานผ่านเขตสีแดงมาอย่างง่ายดาย เรียกความสนใจจากพวกเขาได้อย่างชัดเจน

เดินต่อไปข้างหน้า เทียนชิงหยางที่อยู่ข้างหน้าสุด เดินไปถึงตรงกลางของเขตสีเหลืองแล้ว

ส่วนหานหยวนหนิงและคนอื่น ก็ใกล้จะเดินออกจากเขตสีส้มแล้ว

“ย๊าก!”

หานหยวนหนิงแผดเสียงออกมาเบาๆ เท้าและขามีเสียงโลหะดังออกมา ทันใดนั้นพุ่งออกไปสิบกว่าก้าว เดินออกมาจากจุดสีส้ม

หลิ่วเจินและคนอื่นไม่ยอมน้อยหน้า พากันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ลู่ฝานเดินช้าๆ เข้าไปข้างใน รู้สึกว่าแรงกดดันรอบๆ เริ่มมากขึ้น

แรงดึงดูดของสะพานสายรุ้งด้านล่างเท้า ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกถึงลานประลองฝึกฝนตอนอยู่ที่สถาบันสอนวิชาบู๊

เหมือนจะเป็นวิธีนี้เหมือนกัน ดูเหมือนท่านผอ.เทียนหยาจื่อ มีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาจะเรียนมาจากที่นี่

ลู่ฝานแยกฝ่าเท้าออกเล็กน้อย ปราณชี่ปรากฏด้านล่างเท้าของเขา

ทันใดนั้น ปราณชี่ดันพลังฟ้าดินรอบตัวเขาหนึ่งฟุตออกไป

ลู่ฝานรีบเดินไปข้างหน้า เหมือนเดินเล่นอยู่บนถนนตามปกติ

แต่การกระทำของเขา กลับทำให้คนนับไม่ถ้วนอุทานด้วยความตกใจไม่หยุด

“ทำไมเขาเดินเร็วขนาดนั้น ทำไมรู้สึกว่าเขตสีส้มไม่เป็นผลกับเขาเลย!”

“เป็นไปไม่ได้! นี่เขาใช้วิธีอะไรกัน พวกนายดูสิ แรงที่ขาและเท้าของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย! เขาทำได้ยังไง”

ทุกคนตกตะลึง ส่วนลู่ฝานทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าของพวกเขา