องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 948 ทำให้ท่านมีอายุยืนยาวสามร้อยปี
เฮ่าเทียนกล่าวว่า “ท่านปู่สุขภาพไม่ดี ป่วยเรื้อรังรักษาไม่หายมานานหลายปี นอกจากนี้ยังคิดถึงท่านย่าเหลือเกิน หวังว่าท่านย่าจะไม่จากไปอีกนะขอรับ”
อามู่เดินกลับมาและเห็นว่าลูกชายตื่นแล้ว ส่วนเตาถ่านก็ถูกยกออกไปแล้ว อามู่ยืนมองลูกชายอยู่ข้างๆ และนึกสงสัยว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงฉลาดนัก
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รู้สึกว่าเหมือนกันว่าในภายภาคหน้า เด็กเฮ่าเทียนคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความสุขุมหรือความสามารถในการปรับตัวเขาก็มีพร้อม
“เจ้ามีสติปัญญาปราดเปรื่อง แต่อย่าให้ความฉลาดมาทำร้ายตัวเองล่ะ จะไปเล่นก็ไปเล่นเสีย หรือเจ้าจะอยู่ที่นี่ก็ได้ ให้พี่ของเจ้าพาเจ้ามาด้วย สองวันนี้พี่ของเจ้าต้องอยู่เรียนที่นี่ เจ้ามากับเขาก็แล้วกัน
เฮ่าเทียน เจ้าต้องจำไว้ให้มั่นนะ ในภายภาคหน้าหากเจ้าทำเรื่องไม่ดีหรือเรื่องที่เลวร้าย คนที่ต้องรับผลกรรมก็คือท่านปู่ของเจ้า” ฉีเฟยอวิ๋นเตือนเฮ่าเทียน
เฮ่าเทียนเม้มริมฝีปากเพราะไม่ค่อยเข้าใจนัก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเฮ่าเทียนไม่เข้าใจ จึงบอกว่า “ย่าดูโหงวเฮ้งเป็นเหมือนกัน ย่าดูแล้วว่าลักษณะอย่างเจ้า ต่อไปในภายภาคหน้าจะต้องได้ดีแน่นอน ยิ่งเจ้าฉลาดอย่างนี้ ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหมือนท่านปู่ของเจ้า
แต่ถึงจะยิ่งใหญ่ ก็ใช่ว่าจะเป็นเหมือนท่านปู่ของเจ้าที่มีความสามารถในการดูแลโลกหล้าได้
ความยิ่งใหญ่ของเขาไม่ใช่การที่เขามีความสามารถ ไม่ใช่ทักษะการต่อสู้ และไม่ใช่สติปัญญาของเขา
ความยิ่งใหญ่ของเขามาจากความมุ่งมาดปรารถนาภายในใจ ท่านปู่ของใส่ใจโลกหล้า พร้อมใจที่จะสละชีวิตเพื่อโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร ในใจของเขาก็มีแต่โลกใบนี้เท่านั้น
โลกที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ท่านปู่ของเจ้าต้องเสียสละช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับย่าเพื่อให้ได้มันมา”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่นิดหนึ่งและกล่าวว่า “นอกจากนี้ ถ้าท่านปู่ของเจ้าเป็นคนที่เจ้าใส่ใจมากที่สุด เมื่อเจ้าทำเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก เพื่อจะให้เจ้ารอดจากการลงโทษ ท่านปู่ของเจ้าซึ่งเอาใจใส่เจ้ามากที่สุดจะเป็นคนรับโทษแทนเจ้า
บางทีเขาอาจจะป่วย ร่างกายอาจจะเสื่อมสลาย… อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
เฮ่าเทียนเม้มริมฝีปาก เขาขยับเข้าไปใกล้หนานกงเย่และกล่าวว่า “ข้าจะไม่ทำเรื่องไม่ดี”
“หวังว่านะ” ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ สีหน้าของเขาดูแย่มาก
“เหตุใดท่านจึงพูดเรื่องนี้กับเขา เขายังเด็กนัก แค่เพียงคำพูดไม่ได้ช่วยอะไร ท่านจะขู่ไปทำไมกัน” หนานกงเย่กอดเฮ่าเทียน รู้สึกกลัวฉีเฟยอวิ๋นสามส่วน ไม่พอใจสามส่วน อีกสี่ส่วนคือเกลียดเข้ากระดูกดำ
ทันทีที่กลับมาก็พูดจาเหลวไหล ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนัก!
ฉีเฟยอวิ๋นหน้าบึ้ง “สิ่งที่ท่านเคยใส่ใจมากที่สุดคือข้า แม้ว่าท่านจะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว แต่ท่านกลับสังหารผู้คนจำนวนมาก พระเจ้าทำให้ท่านเดินไม่ได้ ทำให้ท่านหาข้าไม่เจอ นี่ไม่ใช่การลงโทษหรอกหรือ ท่านจำได้หรือไม่ ตอนนั้นท่านชี้ไปที่ท้องฟ้าและเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือ ฟ้าไม่ผ่าหรืออย่างไร
พระเจ้าอยากจะผ่าท่านเป็นส่วนๆ ถ้าไม่ใช่เพราะชะตาฟ้าลิขิต ท่านคงตายไปนานแล้ว”
“ท่านพูดเช่นนั้นคือท่านโกรธข้างั้นหรือ” หนานกงเย่พูดได้เพียงเท่านั้น
“ทำไมจะไม่โกรธล่ะ!” ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบก็หันไปถามเฮ่าเทียน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าพูดอะไร”
“รู้ ท่านย่าบอกว่าข้ายังเด็กแต่กลับมีจิตใจชั่วร้าย ถ้าไม่สั่งสอนอย่างเข้มงวด ไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ในภายภาคหน้าจะกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ แต่ท่านปู่อยากให้ข้ากลายเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ท่านย่าอยากให้ข้ามีชีวิตอย่างสุขสบาย”
“เจ้าฉลาดจริงๆ ฉลาดเหมือนกับท่านปู่ของเจ้าเลย อายุแค่นี้แต่เหตุใดจึงฉลาดนักนะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เฮ่าเทียนบอกว่า “ไม่รู้”
“เอาจริงนะ เข้าใจละ เจ้าอยู่กับท่านปู่ของเจ้าไปเถิด โตไปจะได้ฉลาดปราดเปรื่อง เป็นความผิดของข้าอีกแล้ว
โชคดีที่ท่านปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ได้นานกว่าสองร้อยปี ดูแล้วเจ้าก็คงไม่เป็นไรหรอก”
เฮ่าเทียนเงยหน้า “นานกว่าสองร้อยปี?”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม หนานกงเย่เองก็ชะงักไปนิดหนึ่ง เขามองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ปิดบัง “ข้าทำให้ท่านอ๋องมีชีวิตอยู่ได้ถึงสามร้อยปี สำหรับเรื่องในอนาคตมันยากที่จะพูดน่ะ”
“…..” หนานกงเย่ไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นมองเฮ่าเทียน “ในเมื่อเจ้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว ต่อไปก็ทำตัวดีๆ ล่ะ”
“ขอรับ” เฮ่าเทียนรีบตอบรับ ฉีเฟยอวิ๋นพอใจมาก จากนั้นนางจึงหันไปมองหนานกงเย่
ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี เขาชราขึ้นมากและสุขภาพร่างกายก็ไม่ดีด้วย
“อามู่ ขาของท่านพ่อเจ้าเป็นอะไรหรือ” สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกังวลที่สุดคือเรื่องนี้ นางจากไปนานเกินไปจนทำให้ร่างกายของเขาเป็นเช่นนี้
เขาโกรธจนทำร้ายร่างกาย ทำให้ร่างกายของตนเองบาดเจ็บ
อามู่กล่าวว่า “ขาของท่านพ่อพิการและเย็นจัด เส้นเลือดอุดตัน ทักษะการต่อสู้ก็เสื่อมไปแล้ว”
“ทักษะการต่อสู้เสื่อมไปแล้ว ขาก็เสื่อมไปแล้ว เหตุใดจึงยังมีอารมณ์รุนแรงเช่นนี้อีก” ฉีเฟยอวิ๋นทุกข์ใจเป็นอย่างมาก พูดไปขอบตาก็แดงก่ำ
เมื่อเห็นดวงตาของนางแดงระเรื่อ หนานกงเย่ก็เริ่มกังวล “ร้องไห้ทำไม ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย”
เฮ่าเทียนตกใจจนสะดุ้ง ท่านปู่จะร้องไห้งั้นหรือ
ขณะที่กำลังจะหันไปดู อามู่ก็อุ้มลูกชายออกไป หลังจากทั้งสองถูกพาตัวออกไปแล้ว ภายในห้องก็เงียบสนิท เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนั่ง หนานกงเย่ก็คว้ามือของนางไว้และหันไปมองใบหน้านาง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเช็ดน้ำตาของตนเองและกอดหนานกงเย่เอาไว้
หนานกงเย่กัดฟันกรอด “ท่านยังมีหน้ากลับมาอีก ข้าตามหาท่านมาเนิ่นนาน พลิกหาท่านไปทั่วแผ่นดิน ข้ากลัวว่าท่านจะจากไป กลัวว่าท่านจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
หนานกงเย่น้ำตาไหลริน ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกอดหนานกงเย่ “ข้าเองก็อยากกลับมาเหมือนกัน พวกนางโยนข้าทิ้งไว้ในหุบเขา หันไปทางไหนก็มีแต่ภูเขาสูงตระหง่านเทียมเมฆ ข้าอยากจะออกมา แต่ออกมาได้ที่ไหนกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะคนใบ้เข้ามาหาสมุนไพรแล้วตกลงมาจากภูเขา มีหรือที่ข้าจะออกมาได้”
ฉีเฟยอวิ๋นผละออกจากหนานกงเย่และมองเขา หนานกงเย่ถามว่า “โยนท่านลงในหุบเขางั้นหรือ”
“ถึงจะบอกว่าเป็นหุบเขา แต่ความจริงมันคือใต้หน้าผา พวกนางตั้งใจจะฆ่าข้าให้ตายและผลักข้าลงไป ตอนนั้นข้าตัวชาเพราะถูกพวกนางวางยาพิษ ตอนที่ตกลงมาข้าไม่ได้เตรียมป้องกันเอาไว้ ตอนที่ตกลงมากระดูกจึงหักไปทั้งตัว ที่ยังเหลืออยู่มีแค่ลมหายใจ ข้าใช้เวลาหนึ่งปีกว่าในการรักษาตัว แต่ข้าก็พบว่าหุบเขานั่นลึกมากและไม่มีทางขึ้นไปได้เลย
ข้าใช้เวลาในช่วงปีนั้นฝึกฝนร่างกาย
ทว่าคนใบ้คือผู้ที่นำโชคมา ตอนที่เขาตกลงมา เขาพกยามาด้วย หลังจากที่ข้ากินยาเหล่านั้นลมปราณในร่างกายจึงประสานกัน ข้าฝึกฝนแล้วก็ฝึกฝน นั่นเองจึงออกมาได้”
หนานกงเย่ฟังอยู่นาน “คนใบ้ที่อยู่ที่ประตูน่ะหรือ”
“เป็นเขานั่นละ เขาไปหาสมุนไพรในป่า แม่ของเขาสุขภาพไม่ดี เขาจึงอยากจะได้ยาไปต่อชีวิต ภายหลังเมื่อพวกเรากลับไป แม่ของเขาก็ตายเสียแล้ว ดังนั้นข้าจึงพาเขาออกมาจากที่นั่น”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” หนานกงเย่สงสัยและไม่ค่อยจะเชื่อนัก!
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่อธิบายเพิ่มเติม นางมองหนานกงเย่ครู่หนึ่งและสัมผัสใบหน้าของเขา “ท่านอ๋อง ตอนนี้ท่านคิดหรือไม่ว่าการที่เรามีลูกมากมายขนาดนี้เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนานกงเย่ก็หมดความอดทน “ตอนนี้พระองค์ให้กำเนิดโอรสหลายพระองค์แล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องส่งลูกชายของข้าคืนมา ข้ายังมีอะไรต้องกังวลอีก”
หนานกงเย่เองก็ไม่อยากจะส่งลูกชายไปยังเขตปกครองต่างๆ ถ้ามองตามเรื่องของทัศนียภาพ อย่างที่บรรพบุรุษกล่าวไว้ ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าซื่อจื่อจะกลายเป็นอ๋อง แต่แคว้นเหลียงกลายเป็นแบบอย่างใหม่ หลังจากเปลี่ยนชื่อแคว้นแล้ว ซื่อจื่อต่างก็ได้รับยศเป็นชินอ๋อง