GGS:บทที่ 1037 ระดับของข้าวสีน้ำเงิน

ซูจิ้งได้เรียกหวังจ้าว เฉิงหนาน และเตียนจงยี่มาพูดคุยเกี่ยวกับการใช้อาหารเพาะเลี้ยงแกโลแลน ด้วยความสุดยอดของมัน ใจตอนนี้ทำให้เรียกได้ว่าธุรกิจด้านเกษตรของเขานั้นแทบจะไม่สิ้นสุดได้เลยทีเดียว และนี่ยังช่วยเปิดช่องทางการค้าให้เขาได้อีกด้วย
ในตอนแรกนั้นทั้งสามเพียงได้ยินต่างก็ไม่เชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทั้งสามจะรู้สึกอย่างนั้นเพราะมันเวอร์วังเกินไป แต่หลังหลังจากพวกเขาได้เห็นด้วยตาตัวเองต่อหน้า นอกจากจะเชื่อสุดใจแล้ว พวกเขายังตั้งใช้เวลานานพอดีกว่าจะหยุดความคิดที่โลดแล่นภายในหัวให้สงบลง

“อาจิ้ง อาหารเพาะเลี้ยงนี่มันท้าทายสวรรค์สุดๆ เอาจริงๆนี่สุดยอดยิ่งกว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ ระบบ5จี และเครื่องยนต์กาลเวลาซะอีก ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตกใจแม้จะสงบบ้างแล้วก็ตาม
“อย่างนี้ก็หมายความว่าคุณซูก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกแล้วสิครับ” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นในใจของเตียนจงยี่ในทันทีเมื่อรู้สึกตัว เขานั้นวาดฝันไว้ว่าตัวเองจะสร้างอนาคตที่สุดใสด้วยการเกษตร
การที่อยู่ๆมีสุดยอดอาหารเพาะเลี้ยงแบบนี้ขึ้นมาทำให้ใจเขาต่อต้านในทันที การที่ทำให้พืชพันธ์เติบโตเต็มที่ได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้มันไม่ใช่แค่อาหารเพาะเลี้ยงแล้ว เจ้าสิ่งนี้สมควรจะเรียกว่าเวทย์มนต์มากกว่า

“ไม่ไม่ไม่ ยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก อาหารเพราะเลี้ยงนี้แม้ว่าจะสุดยอดก็จริง แต่มันเองก็ต้องใช้สิ่งต่างๆในการเตรียมมันขึ้นมากมายเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าด้วยเหตุนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายของมันนั้นสูงมากกว่าเมื่อเทียบกับการเพาะปลูกทั่วๆไปจนเกินกว่าจะรับได้
แต่เจ้านี้ก็ยังมีวิธีใช้อย่างอื่นอยู่อย่างการเพาะปลูกกับพืชพันธุ์ที่มีมูลค่าสูงอย่างข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบของฉันเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความคุ้มค่าที่จะลงทุน
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เจ้าอาหารเพาะเลี้ยงนี่สามารถจะเจือจางได้อยู่นะ แต่แน่นอนว่าผลการเร่งการเจริญเติบโตของมันนั้นก็จะลดลงตามไปด้วย
เท่าที่ฉันศึกษาดูในตอนนี้ฉันสามารถเจือจางที่ประมาณสิบเท่า และผลของมันก็จะลดลงประมาณสิบเท่าเช่นเดียวกัน

ถึงแม้จะว่ามาอย่างนั้นแต่หากเราใช้ในการเร่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เร็วขึ้นได้จะเดิมที่เราปลูกพืชต่างๆที่สองรอบต่อปี เราจะสามารถเพิ่มรอบการปลูกได้สี่ถึงหกรอบต่อปีเลยทีเดียว

“ผมเข้าใจแล้วครับ คุณจะสื่อว่าหากว่าเราเจือจางเจ้าสิ่งนี้และขายให้ชาวนาในหลายๆระดับล่ะก็จะทำให้สามารถปลูกพืชหลายรอบในปีหนึ่งมากขึ้น
นอกจากนั้นเราสามารถใช้อาหารเพาะเลี้ยงที่ความเข้มข้นสูงที่สุดในการเพราะเลี้ยงข้าวสีน้ำเงินของเราเป็นการเฉพาะ

ด้วยการนี้เรายังสามารถใช้อาหารเพาะเลี้ยงที่มีหลากหลายระดับในการสร้างสายสัมพันธ์กับเหล่าสวนลูกของพวกเราได้อีกด้วย” เมื่อได้คิดในทางนี้ เตียนจงยี่ก็ได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
นั่นก็เพราะหากว่าใช้วิธีการนี้ล่ะก็ เงินที่ได้มากอยู่แล้วจากการปลูกข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบจะเพิ่มจากหนึ่งรอบกลายเป็นสองรอบได้อย่างง่ายดาย แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะได้เงินมาอีกเท่าไหร่

ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการเร่งการเติบโตของพืชได้แบบนี้จะพวกเขามีสวนที่เข้าร่วมกับพวกเขามากขึ้นอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะชาวนาและชาวสวนทั้งหลายต่างก็ต้องปวดหัวกับสภาพอากาศที่ต้องเผชิญในแต่ละปี ถึงจะมีการแก้ปัญหาอย่างการทำเรือนกระจก
แต่นั่นก็แทบจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่ออัตราการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์เลยแม้แต่น้อย มันแค่ช่วยป้องกันจากสภาพแวดล้อมเท่านั้น
หากใช้อาหารเพาะเลี้ยงของซูจิ้งที่เจือจางแล้วไปเร่งการเจริฐเติบโต ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ชาวสวนและชาวนาสามารถควบคุมผลกำไรที่ตัวเองจะได้รับได้ดีขึ้น หรือจะให้พูดอีกทางหนึ่งก็คือสามารถควบคุมราคาตลาดได้อย่างแน่นอน

ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานที่ได้ยินซูจิ้งและเตียนจงยี่คุยกันนั้นต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจนใจเต้นเร็ว เพียงการพูดคุยสั้นๆนี้ก็ส่งผลต่ออนาคตของตลาดการเกษตรทั้งประเทศ…ไม่สิทั้งโลกเลยก็ว่าได้
หลังจากที่ทั้งหมดพูดคุยกันแล้ว พวกเขาก็สามารถสรุปวิธีการใช้อาหารเพาะเลี้ยงได้สามแนวทาง
อย่างแรกผลิตออกมาในหลายๆคุณภาพเพื่อใช้ในการเพิ่มรอบการผลิตของพืชพันธุ์ธรรมดา
อย่างที่สองผลิตและใช้กับข้าวสีน้ำเงินและต้นยาสูบ
แน่นอนว่าพวกเขาเองยังไม่ทิ้งความคิดที่จะทำอาหารเพาะเลี้ยงนี้ขายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใจตอนนี้คือการเพิ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินและใบยาสูบแห่งไชร์

เมื่อได้เมล็ดพันธุ์ทั้งสองจนเพียงพอแล้ว อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที
ในตอนแรกนั้น ทั้งซูจิ้งและเตียนจงยี่เองก็คิดว่าจะปลูกข้าวสีน้ำเงินให้ได้ผลผลิตมากพอที่จะป้อนเข้าตลาดได้ให้เร็วที่สุด
แต่ด้วยกลไกทางการตลาดและปัญหาต่างๆทำให้เกิดการสะดุดอยู่ทำให้มีเมล็ดแต่ไม่มีที่เพาะพอจะป้อนเข้าตลาดได้
มาในตอนนี้ พวกเขาได้เพาะพันธุ์เมล็ดทั้งหมดที่มีโดยที่ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แทบจะบอกได้เลยว่าเพียงเขาหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปก็แทบจะประกาศขายได้ในทันที

ชาวเน็ตที่เห็นโฆษณาของซูจิ้งก็อดจะประหลาดใจไม่ได้
“นี่ฉันเข้าใจถูกรึเปล่าว่าซูจิ้งเพิ่งจะโฆษณาข้าวน่ะ นี่เขาก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการเกษตรแล้วเหรอ”
“เฮ้ คุณบรรทัดบน ฉันเองก็ประหลาดใจไม่ต่างจากนาย ก่อนหน้านี้เขานั้นมีผลิดภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างสตอเบอรี่ที่ใช้ทำไวน์จิ้งจอกแดง แล้วก็มะเขือเทศที่ใช้ทำซอสมะเขือเทศอยู่นะ พวกมันอร่อยมากจริงๆ ”
“เดี๋ยวนะ ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ข่าวสีน้ำเงินแบบธรรมดาหนึ่งหมื่นหยวนต่อชั่ง ข้าวสีน้ำเงินคัดพิเศษหนึ่งแสนหยวนต่อชั่งเนี่ยนะ”
“ห้ะ ชั่งละหมื่นกับชั่งละแสนเนี่ยนะ นี่เขากำลังเล่นสี่เมษาหน้าโง่รึไง”
“ฉันดูดีๆแล้วนะ ราคานี้ไม่ผิดอย่างแน่นอน นายดูไม่ผิดหรอก”
ชาวเน็ตที่เห็นต่างก็ตกตะลึง แฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้ทักท้วงว่าพิมพ์ผิดรึเปล่า ผลก็คือ ซูจิ้งออกมายืนยันด้วยตัวเองว่าไม่ได้ผิดแม้สักหยวนเดียว
“ไม่ผิดเหรอ พี่จิ้งเอาจริงดิ”
“ไม่จริงน่า พี่จิ้ง พี่จิ้งจะเล่นอย่างนี้ไม่ได้นา… แค่ข้าวหนึ่งกิโลราคาเพียงไม่กี่หยวนก็ยังถูกชาวบ้านด่ากันระงมเลยว่ามันแพง แต่ของพี่นี่ตกกิโลละสี่พันหยวนเลยนะ นี่จะทำให้คนจำนวนมากสาบส่งพี่อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่พี่จะไม่สามารถขายข้าวเกรดคัดพิเศษได้เลย ข้าวเกรดธรรมดาก็ไม่น่าจะได้สักโลเดียว”
“พี่จิ้ง บอกพวกเราอีกทีเถอะว่าพี่แค่ล้อเล่นน่ะ”

ในครั้งนี้ แฟนคลับของซูจิ้งไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และหลายๆคนก็หวังจริงๆว่าซูจิ้งแค่ล้อกันเล่นเท่านั้น
แน่นอนว่าดังที่เหล่าแฟนคลับคาดเอาไว้ ในตอนนี้คนทั่วไปได้เห็นข่าวนี้แล้วต่างก็ด่าซูจิ้งกันละงมและเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนทำให้พวกแฟนคลับที่พยายามปิดข่าวนี้ต่างก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยชื่อเสียงของเขาที่ผ่านมานั้นทำให้แถมจะไม่มีใครทำอะไรเขาได้อีกต่อไป ส่วนใหญ่แล้วชาวเน็ตก็ได้แค่บ่นและด่าอยู่น่าคอมและสมาร์ทโฟน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพิมพ์อะไรออกมาสักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงจะอย่างนั้นกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างง่ายๆ สำหรับพวกเขานั้นทันทีที่เห็นข่าวนี้ต่างก็รู้สึกคล้ายกัน นั่นก็คือ หมอนี่เอาอีกแล้วเหรอ

“หืม!!!!!!! ไม่ใช่ว่านี่คือข้าวที่เขาใช้ในภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่ามีเมนูที่มีการใช้ข้าวสีน้ำเงินแบบธรรมดากับแบบคัดพิเศษในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารอยู่นะ”
“เอ้อ..ใช่ใช่ ฉันจำได้ว่าในเมนูมีการเขียนชื่อสายพันธุ์ข้าวอยู่นะ”
“เจ้าข้าวพันธุ์นี้มันอร่อยจริงดิ”
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฉันเองก็ไม่เคยลองเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าไม่เพียงจะอร่อยเท่านั้นนะมันยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย หลายๆคนเองที่ได้ไปกินอาหารในพื้นที่พิเศษยิ่งกินก็ยิ่งสุขภาพดีขึ้นทุกๆครั้งเลย เรียกได้ว่ายิ่งกินยิ่งแข็งแรง ยิ่งกินยิ่งอ่อนเยาว์”
“เจ้าข้าวนี่จะไม่มหัศจรรย์ไปหน่อยเหรอ”
เหล่าผู้คนทั่วไปเองที่คอยติดตามซูจิ้งอยู่ก่อนแล้วก็ได้เข้าใจแทบจะในทันทีว่าทำไมถึงแพงนัก แต่กันยังมีคนทั่วไปอีกหลายๆคนที่ไม่ได้สนใจและไม่เห็นดีเห็นงามกับซูจิ้งจนเอาตัวออกมาขวาง
“เอาละโว้ยยยยย คราวนี้ซูจิ้งก่อเรื่องอีกแล้ว คอยดูเถอะ คราวนี้ฉันจะเผาแกให้ยอดเปลวไปสูงเสียดฟ้าให้ได้อย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าวชั่งละหมื่นเนี่ยนะ ใครซื้อก็โง่แล้ว”
“ฉันบอกได้เลยว่าพวกมันไม่มีทางขายได้อย่างแน่นอน อีกไม่นานพวกมันก็ต้องโดนลดราคาลงมา”
“การกระทำของซูจิ้งนี่จับทางได้ง่ายจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาทำพื้นที่พิเศษของภัตตาคารของเขาทำไมล่ะ ก็เพราะว่าต้องการสร้างชื่อให้กับข้าวโง่ๆของเขานี่ไง
นี่เขาคิดว่าแค่ดีดนิ้วก็จะเชื้อเชิญให้คนโง่ๆแห่กันไปซื้อเพียงเพราะวิธีการแค่นี้อ่ะนะ ช่างเป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายดายซะนี่กระไร”
“เรื่องนั้นฉันว่าไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีคนโง่ที่ไหนไปซื้อกินอย่างแน่นอน”

ท่ามการเสียงด่าทอ ดูถูก และถากถาง ซูจิ้งก็หาสนใจไม่ เขาได้วางขายข้าวสีน้ำเงินนี้อย่างเป็นทางการ ในตอนแรกนั้น เขาได้จำกัดการขายด้วยปริมาณที่จำกัด และไม่มีวี่แววจะลดราคาแต่อย่างใดต่อให้ซื้อจนสุดจำนวนการสั่งก็ตาม
นอกจากนั้นร้านที่ขายก็เป็นร้านที่ขายข้าวนี้เฉพาะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่ช่องทางการขายแบบออนไลน์ก็มีขายแค่ข้าวสีน้ำเงินนี้เพียงอย่างเดียวเช่นเดียวกัน
ในเช้าตรู่วันนั้น ที่หน้าร้านขายข้าวของซูจิ้ง ร้านอื่นๆยังคงปิดอยู่และมีเพียงไม่กี่คนที่มา แต่พวกเขาไม่ได้มาซื้อแต่อย่างใด พวกเขาแค่ต้องการจะดูว่าใครหน้าไหนจะมาซื้อ