บทที่ 732 ครอบครัวของเขา ก็เหมือนครอบครัวของข้า นับจากนี้เป็นต้นไป...

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 732 ครอบครัวของเขา ก็เหมือนครอบครัวของข้า นับจากนี้เป็นต้นไป…

เฉียนซื่อพยายามคิดหาทางออกด้วยความร้อนรน

ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในสมอง

จริงด้วยสิ

ชายชรารีบกระโดดขึ้นรถม้าคันหนึ่งและออกคำสั่งว่า “ออกรถเดี๋ยวนี้ ข้าอยากไปส่งบุตรสาวเข้าเรียนให้เร็วที่สุด…”

พ่อบ้านประจำตระกูลพูดตะกุกตะกัก “แต่เมื่อสักครู่ นายท่านบอกว่าชีวิตนี้ไม่มีทางไปพบหน้าหลินเป่ยเฉินอีกแล้วนะขอรับ…”

“เจ้าเชื่อที่ข้าพูดด้วยหรือ?”

เฉียนซื่อเสแสร้งแกล้งทำเป็นหัวเราะในลำคอ “เมื่อสักครู่ ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น ความจริงระหว่างข้ากับคุณชายหลินมีความสัมพันธ์อันดีงามจะตาย ในเมื่อข้ากำลังจะส่งบุตรสาวเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเขา ก็คงต้องพาพวกนางไปฝากเนื้อฝากตัวด้วยตนเองเสียหน่อย”

“อีกอย่าง ข้าว่าจะหางานทำในสถานศึกษาแห่งนั้นอยู่พอดี อาศัยชื่อเสียงที่พอมีอยู่บ้าง ข้าย่อมต้องเป็นอาจารย์ได้แน่นอน เร็วเข้าเถอะ… ทำไมถึงยังไม่รีบออกเดินทางกันอีก!”

หลังจากนั้น ชายชราผู้เป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของกองทัพ ก็ขยับออกมานั่งที่นั่งคนขับรถม้าเสียเอง และโบยแส้ลงไปบนก้นของอสูรลมกลด ทำให้พวกมันฉุดลากรถม้าพุ่งออกไปข้างหน้าราวกับเหินบิน

“หากแม่ทัพโค้วมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ฝากบอกเขาด้วยว่าข้ากำลังประชุมอยู่กับคุณชายหลิน และมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ ในระยะนี้อาจจะไม่ได้ไปช่วยงานเขาอีกแล้ว”

เสียงตะโกนของชายชราลอยมาตามสายลมเข้าถึงหูกลุ่มคนรับใช้ที่ยืนงงอยู่หน้าประตูรั้ว

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ

กลางม่านฝุ่นที่ฟุ้งตลบ พวกของแม่ทัพโค้วจงและขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ได้แต่เงยหน้าสบถใส่ท้องฟ้าด้วยความฉุนเฉียว

พวกเขาอุตส่าห์รีบรุดมาที่นี่ด้วยความโกรธแค้น แต่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นกลับหลบหนีไปเสียแล้ว

“เฉียนซื่อ ข้าไม่มีทางให้อภัยเจ้าเด็ดขาด…”

“เจ้าสั่งสอนบุตรชายมาอย่างไรกัน…”

“หลายปีที่ผ่านมา ข้าให้เงินเจ้าไม่ใช่น้อย แล้วทำไมเจ้าถึงต้องส่งบุตรชายมาจับตัวลูกชายข้าไปอยู่ในค่ายผู้อพยพนั้นด้วย?”

เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังกังวานไปทั่วบริเวณ หลายคนพับแขนเสื้อและบุกเข้าไปตรวจค้นจวนที่พักด้านใน สุดท้ายเมื่อหาตัวเฉียนซื่อไม่พบ พวกเขาจึงกลับออกมาระบายอารมณ์ใส่เหล่าบรรดาคนรับใช้และผู้คุ้มกันของตระกูลเฉียนแทน

สุดท้าย คนรับใช้และผู้คุ้มกันผู้โชคร้ายก็นอนชักกระตุกอยู่หน้าประตูรั้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ต้องรับเคราะห์กรรมแทนผู้เป็นเจ้านายของตนเองด้วยความเจ็บปวดยิ่งนัก…

“พวกเราจะปล่อยให้ตาเฒ่านั่นลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด”

“แต่เราจะไปมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้เช่นกัน นอกจากเด็กคนนี้จะมีพลังสูงส่งแล้ว เขายังได้รับการหนุนหลังจากแม่ทัพเกา รวมถึงท่านเจ้าเมืองอีกด้วย…”

“เช่นนั้นมันไม่ยุติธรรมเลย ข้าจะเอาเรื่องทั้งหมดนี้ไปร้องเรียนต่อแม่ทัพเกา…”

ท่านเจ้าเมืองมีบุคลิกน่ากลัวมากเกินไป แต่สำหรับแม่ทัพเกานั้น ดูจะเป็นผู้คนที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่า และน่าจะมอบความยุติธรรมให้แก่ทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน

“ผู้อาวุโสหนี่ เรื่องนี้เราอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจเลย ท่านไม่สังเกตหรือ? ในกลุ่มนายทหารที่ติดตามมาด้วยนั้น มีท่านแม่ทัพเสี่ยวเย่จากกำแพงเมืองเขตหนึ่งด้วยนะ ท่านต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเป็นนายทหารภายใต้การดูแลของแม่ทัพเกา นี่หมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าแม่ทัพเกาย่อมรับทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว การที่ท่านไปหาเขาในขณะนี้ ไม่ยิ่งเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตนเองมากกว่าเดิมหรือ?”

“ถ้าอย่างนั้น… พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ?”

“ถูกต้อง พวกเราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว หลินเป่ยเฉินทั้งร่ำรวย หล่อเหลาและเก่งกาจ ซ้ำยังมีผู้มีอำนาจคอยหนุนหลัง ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้อีกแล้ว”

“ดูเหมือนพวกเราคงจะต้องทำใจแล้วสินะ”

“นับว่าโลกนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งความยุติธรรม”

“นี่พวกเราได้เงินจากค่าเล่าเรียนเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลินเป่ยเฉินมองม้วนรายชื่อลูกศิษย์ใหม่ของสถานศึกษาด้วยความตกตะลึง

แผนการเดิมของเขาคือนำบุตรหลานตระกูลใหญ่มาเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งให้ได้ อย่างน้อยขอครอบครัวสักหนึ่งคนก็ยังดี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้การนำขบวนของเฉียนซานเซิ่ง ขุนนางตระกูลใหญ่เหล่านั้นต่างก็เห็นผลดีของการส่งบุตรหลานมาเรียนที่นี่อย่างน่าประหลาด โดยเฉลี่ยแล้วครอบครัวที่ร่ำรวยจะมีบุตรไม่ต่ำกว่าสามคน เมื่อทุกคนลงทะเบียนเข้าเรียนที่สถานศึกษาของหลินเป่ยเฉิน ที่นี่จึงมีศิษย์ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 315 คนในวันเดียว และแต่ละคนต้องจ่ายค่าเข้าเรียนคนละ 5,000 เหรียญทองคำ เมื่อนำทั้งหมดมารวมกันแล้วจึงได้เป็นเงินมากถึง 1,575,000 เหรียญทองคำ แม้จะหักส่วนลดไปประมาณ 160,000 เหรียญทองคำ ก็ยังเหลือเป็นเงินจำนวนมากอยู่ดี…

ให้ตายสิ

บ้าไปแล้ว

“นายน้อยขอรับ เฉียนซื่อบิดาของเฉียนซานเซิ่งมาคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้าค่ายที่พักได้ครึ่งชั่วยามแล้ว เขาบอกว่าอยากจะเข้าพบนายน้อยขอรับ…”

หวังจงเดินเข้ามารายงานด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม

“เอ๋?”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ตาแก่นั่นมาหาข้าทำไม? ข้าไม่มีเวลาหรอก… ไล่เขากลับไปซะ”

หวังจงยังคงยิ้มประจบต่อไปขณะพูดว่า “แต่นายน้อยขอรับ เฉียนซื่อผู้นี้บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากมากราบเรียนกับนายน้อยด้วยตนเอง”

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับ ตอบว่า “งั้นให้เขามาเข้าพบก็ได้ แต่ถ้าสิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็ ข้าจะสั่งให้คนตัดหัวเจ้าแน่ หวังจง”

หวังจงได้แต่เบิกตาโต

“นายน้อย ทำไมถึงต้องมาตัดหัวหวังจงด้วยล่ะขอรับ?

พ่อบ้านชราถามด้วยอาการร้อนรน

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้าหรือ ที่เจ้าอุตส่าห์มาบอกต่อข้าถึงขนาดนี้ ก็คงเพราะรับเงินมาจากเฉียนซื่อแล้วไม่ใช่น้อย ดังนั้น ถ้าไม่สั่งให้คนตัดหัวเจ้า แล้วจะสั่งให้คนตัดหัวผู้ใดได้อีก?”

หวังจงรีบพูดออกมาทันที “นายน้อยสมแล้วที่เป็นนายน้อย ไม่มีใครจะรู้ทันหวังจงมากไปกว่านายน้อยอีกแล้ว…”

หลังจากนั้นไม่นาน

เฉียนซื่อก็เดินเข้ามาในกระโจมที่พัก

“คุณชายหลินขอรับ ได้โปรดช่วยข้าด้วย”

พูดจบ ชายชราก็คุกเข่าลงไปบนพื้น

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปเสียงเรียบ “ท่านถูกผู้ใดไล่ฆ่ามาล่ะ?”

เฉียนซื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองพื้นที่เขตสาม และคร่ำครวญว่า “เพราะบุตรชายของข้ารับคำสั่งของท่าน เขาจึงไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วน บัดนี้ตระกูลเฉียนแทบกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งเมืองแล้ว ข้าจึงอยากขอร้องให้คุณชายหลินช่วยเมตตาตระกูลเฉียนด้วยเถิด”

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นแบบโคนัน

เกิดเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?

เฮ้อ

เขาก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว

เพราะว่าทุกอย่างมันราบรื่นเกินไป

สถานการณ์ที่ตระกูลเฉียนกำลังพบเจออยู่ในขณะนี้ ไม่ต่างจากตอนที่หลินเป่ยเฉินถูกปิดล้อมอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สามหลังจากบิดากลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีและจวนประจำตระกูลถูกบุกยึด

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเข้าใจความรู้สึกของเฉียนซื่อเป็นอย่างดี

“ไม่ต้องห่วง”

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปตบไหล่ชายชรา “บัดนี้บุตรชายของท่านกำลังทำงานให้กับข้า ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก บิดาของเขา ก็ถือเป็นบิดาของข้าเช่นกัน…”

เดี๋ยวก่อนนะ

ทำไมประโยคหลังมันฟังดูแปลกๆ ชอบกล

หลินเป่ยเฉินสั่งให้ตัวเองหยุดพูด และปรับเปลี่ยนประโยคใหม่ “ครอบครัวของเขา ก็เหมือนครอบครัวของข้า นับจากนี้เป็นต้นไป… ยามเมื่อท่านกลับไปในตัวเมือง ให้บอกต่อทุกคนที่มีเรื่องกับท่านได้เลยว่าท่านคือหนึ่งในคนของหลินเป่ยเฉินและการที่พวกเขาไม่เกรงใจท่าน ก็เท่ากับว่าไม่เกรงใจข้าเช่นกัน”

เฉียนซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ

คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นคนดีถึงระดับนี้

เพียงเท่านี้ เฉียนซื่อก็ไม่ต้องกลัวผู้ใดอีกแล้ว