ตอนที่ 506 เจ้าคือซิงซิงของข้าตลอดไป

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แทบจะในวินาทีเดียวกัน มืออีกข้างหนึ่งก็แขนอีกข้างของนางเอาไว้ 

 

 

ความเย็น ยามที่มือที่แสนจะเย็นเฉียบคว้านางเอาไว้นั้น นางก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลียวหน้าไปดูเล็กน้อยก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็คือจีเฉวียนและซื่อมั่ว 

 

 

พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เป็นไปได้อย่างไร? 

 

 

แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาจะถามคำถามนี้อีกแล้ว 

 

 

ทั้งสองคว้าตัวนางเอาไว้อย่างไม่มีลังเล ทั้งยังช่วยกันปกป้องนางเอาไว้ด้านหลัง 

 

 

ในขณะเดียวกันร่างที่อยู่ในเงาแสงที่แสนจะแข็งแกร่งนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนชั้นสอง 

 

 

ร่างของเขายืนตระหง่านอยู่บนราวบันไดชั้นสอง แสงทองจากบนร่างทอประกายระยิบระยับ พลังที่แข็งแกร่งภายในร่างกดดันผู้คนจนทำให้แทบจะหายใจไม่ออก 

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่แข็งแกร่งไม่น้อย ตอนนี้ก็ยังต้องรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก กระดูกทั่วร่างคล้ายจะส่งเสียงลั่นเปรียะออกมา 

 

 

เพราะทั้งซื่อมั่วและจีเฉวียนช่วยกันคุ้มครองนาง นางจึงได้แต่มองผ่านช่องว่างเล็กๆนั่นออกไป 

 

 

เรือนร่างของเขาสูงโปร่ง พอเผชิญหน้ากับซื่อมั่วและจีเฉวียน บนฝ่ามือของเขาก็เพิ่มเจดีย์สมบัติสีทองหลังหนึ่งขึ้นมา 

 

 

“ผ่านมาตั้งหลายปี ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว” คำพูดนี้ของเขา ไม่รู้ว่ากล่าวกับซื่อมั่วหรือว่ากล่าวกับจีเฉวียนกันแน่ 

 

 

สายตาของเขามองไปยังร่างของคนทั้งสองสลับกันไปมา สุดท้ายจึงค่อยหยุดอยู่ที่ร่างของซื่อมั่ว 

 

 

“หากเปรียบเทียบกับเมื่อพันปีก่อน เจ้าช่างอ่อนแอลงไปมาก” เขาหัวเราะเสียงเย็นชา และเพราะบนร่างมีกลุ่มแสงสว่างจ้า จึงทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ในสมองของตู๋กูซิงหลันจินตนาการถึงท่าทางยามหัวเราะของคนผู้นี้ออกเลยทีเดียว 

 

 

เขาคือชาวสวรรค์ 

 

 

ทั้งยังมีที่มาที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย 

 

 

“เมื่อไร้สิบยมราช ห้าแม่ทัพใหญ่ เหลือแต่เพียงหมิงอ๋องเพียงลำพัง แม้แต่พละกำลังก็ยังลดลงไปกว่าครึ่ง…..” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เจดีย์สีทองในเมืองก็เปลี่ยนเป็นง้าวสีทองด้ามหนึ่งด้วยความรวดเร็ว 

 

 

บนปลายแหลมของง้าว มีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเจดีย์สีทองหลังนั้นเขาโบกง้าวในมือรอบหนึ่งก็ชี้มันไปที่หน้าผากของซื่อมั่ว 

 

 

“ถึงตอนนี้แม้แต่ลูกน้องคนสนิทที่มีฝีมือที่สุดของเจ้า อ๋องทำลายล้างซือหนาน ก็ไม่อยู่อีกแล้ว วันนี้…..ข้าจะกำจัดเจ้าให้ถึงคราวสิ้นสูญ!” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ขยับร่างวูบหนึ่ง ควงง้าวสีทองของตนบุกเข้าหาซื่อมั่ว 

 

 

ซื่อมั่วมิได้หลบหลีก เขาปล่อยมือจากตู๋กูซิงหลัน หันไปกล่าวกับจีเฉวียนที่อยู่ข้างกายอย่างรวดเร็วว่า “พานางไป ยิ่งไกลยิ่งดี” 

 

 

เสียงของเขาเบามาก แค่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังคงได้ยินอยู่ดี นางรีบบอกออกไปว่า “อาจารย์ข้าไม่มีทางจะหลบหนีโดยทิ้งท่านไว้” 

 

 

คนที่อยู่เบื้องหน้า…..แข็งแกร่งมาจริงๆ 

 

 

เขาแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่นางไม่รู้ว่ามีขีดจำกัดหรือไม่ 

 

 

ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าพวกชาวสวรรค์ไม่มีทางที่จะปล่อยอาจารย์ไป แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมากันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ 

 

 

อาการบาดเจ็บของอาจารย์ยังไม่หาย แล้วจะให้นางหนีไปได้อย่างไร 

 

 

จีเฉวียนเองก็ไม่คิดจะพาตู๋กูซิงหลันหนี พระองค์ยืนอยู่ที่ด้านข้างของซื่อมั่ว สายพระเนตรจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษที่อยู่ในแสงสว่างผู้นั้น 

 

 

แม้แต่พระองค์เองก็ทรงสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงไหน 

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เชื่อฟัง ซื่อมั่วก็ไม่เอ่ยอะไรไร้สาระอีก ในมือของเขาเปล่งแสงสว่างสีม่วงออกมา แสงสว่างนั้นกลายเป็นไม้เท้ายาวด้ามหนึ่ง 

 

 

สีทองแพรวพราวบนตัวไม้เท้ามีอักขระสีม่วงเขียนเอาไว้อย่างซับซ้อนเต็มไปหมด ไม้เท้าในมือโบกออกไป กระแทกเข้าใส่ง้าวสีทองจนเกิดเสียงดังกังวาน 

 

 

“ตึงงง….” เสียงกระทบดังกึกก้อง บ้านของตู๋กูซิงหลันถึงกับเริ่มแตกร้าวออกมา 

 

 

แรงกดดันและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งทำให้ผิวกายของคนรู้สึกเจ็บจนชา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกดาบยักษ์ขึ้นมากุมเอาไว้ เตรียมจะต่อสู้เคียงข้างอาจารย์ 

 

 

“เสี่ยวเฉวียนเฉวียน เจ้าไปที่หลังเขา อยู่กับจู๋จู๋ จะได้ปลอดภัย” ครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ลืมจีเฉวียนอีกแล้ว 

 

 

เขาพึ่งได้รับบาดเจ็บกลับมา บาดแผลบนข้อมือลึกถึงกระดูก ไม่ควรต่อสู้อีก 

 

 

นางไม่ต้องการให้เขาได้รับบาดเจ็บใดๆอีกแม้แต่น้อย 

 

 

แววเนตรของจีเฉวียนนิ่งงันไป ทอดพระเนตรมองดูภาพที่นางกับซื่อมั่วยืนเคียงข้างกัน​ พลางนึกถึงเมื่อครู่ที่ทรงตรัสถามซื่อมั่วถึงเรื่อง ‘ฐานะของนาง นอกจากเป็นธิดาของราชามังกรทมิฬแล้ว ยังมีอะไรอีก?’ 

 

 

คำตอบของซื่อมั่วเมื่อรวมเข้ากับภาพตรงหน้า ยิ่งส่งเสริมให้ทั้งสองคนดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง 

 

 

ครั้งนี้ ฮ่องเต้มิได้เข้าไปแย่งชิงอีกแล้ว 

 

 

ก่อนหน้านี้ซื่อมั่วได้รับบาดเจ็บ ร่างแบ่งภาคก็ไม่กลับคืนมาเสียที แล้วตอนนี้ยังมาอยู่ใกล้ๆกันอีก ส่งผลให้ร่างหลักเช่นเขาอ่อนล้าจนคล้ายจะไม่มั่งคงอยู่บ้าง 

 

 

เดิมทีเขาสมควรจะไปเก็บตัวอยู่ที่ธารน้ำพุเหลืองรักษาตัวให้ดี แต่ว่าตอนนี้กลับออกมาเคลื่อนไหวไม่หยุด เท่ากับว่าหาเรื่องตายอยู่ชัดๆ 

 

 

จีเฉวียนมองดูใบหน้าที่ซีดขาวของเขา จากนั้นก็หันเหสายพระเนตรมาที่ตู๋กูซิงหลัน ตรัสรับเพียงคำเดียวว่า “ตกลง” 

 

 

พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเราไปแล้ว ซิงซิงต้องรักษาตัวให้ดี เจ้าคือซิงซิงของข้าตลอดกาล เจ้าคือรักเดียวชั่วชีวิต” 

 

 

ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันแดงระเรื่อขึ้นมาในทันที เจ้าตัวร้ายผู้นี้……ไม่ใช่ว่าจะลาตายกันเสียหน่อย ทำไมต้องทำเรื่องน่าเขินอายเช่นนี้ด้วย? 

 

 

เวลาแบบนี้ ก็ยังจะมาพูดเรื่องเช่นนี้อีก ทำเอาผู้อื่นเขินอายไปหมดแล้ว 

 

 

“อืม” ตู๋กูซิงหลันกุมดาบยักษ์เอาไว้ในมือ พลางพยักหน้า ตัดสินใจตอบเขากลับไปว่า “ข้าเองก็รักเจ้า” 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกรักเขา แค่ครั้งเดียว และเป็นครั้งสุดท้าย 

 

 

ต่อให้รู้ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่าในพระทัยของจีเฉวียนก็พึงพอใจอย่างที่สุดแล้ว 

 

 

พระองค์ยิ้มกว้างให้กับนาง “เราจะจดจำไว้ตลอดไป” 

 

 

ขอบคุณที่เจ้าบอกว่า….รักข้า 

 

 

ทันทีที่หันร่างจากไป สองเนตรหงส์ก็ปรากฏหยาดน้ำตา…..ทั้งยังมีประกายตาของคนที่ตัดสินใจพุ่งหาความตาย 

 

 

ซื่อมั่วลงมือต่อสู้กับคนที่อยู่ในแสงสีทอง ที่ด้านนอกหน้าต่าง ดงดอกกุหลาบสั่นคลอนขึ้นมา นอกบ้านมีเงาร่างสุนัขป่ามากมายเคลื่อนไหว 

 

 

เพียงพริบตาเดียว จีเฉวียนก็ถอยออกจากตัวบ้านไปยังด้านนอกแล้ว 

 

 

ยามที่พระองค์จากไป ก็ตรัสเสียงเบาจนไม่อาจจะเบาได้อีกว่า ‘ลาก่อน ซิงซิง’ ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ 

 

 

พอนางเห็นจีเฉวียนหนีไปแล้ว จึงค่อยหันกลับไปเข้าร่วมการต่อสู้ 

 

 

ซื่อมั่วจงใจชักจูงคนผู้นั้นไปต่อสู้ที่ด้านนอก ทันใดนั้นเอง รอบตัวบ้านก็เกิดสายลมพัดแรง ราวกับว่าคืนนี้ กว่าครึ่งของเมืองหลวงตกอยู่ท่ามกลางแผ่นดินไหว 

 

 

กลางดึกมากแล้ว แต่ผู้คนพากันวิ่งหนีออกมาจากบ้านช่องเพื่อหลบแผ่นดินไหว 

 

 

แต่ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้กลับต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้หุบเขาปีศาจก็ยิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจน 

 

 

……………………….. 

 

 

 

 

 

ซื่อมั่วกุมไม้เท้าด้ามยาวเอาไว้ในมือ ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ต่อสู้กับร่างที่อยู่ในกลุ่มแสงสว่างนั้นอย่างพัวพันจนยากจะแบ่งแยก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันประคองดาบยักษ์คอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะเป็นสองรุมหนึ่งแต่ว่าผลลัพธ์ก็ทำได้เพียงแค่สูสี 

 

 

“คนที่เคยเป็นถึงหมิงอ๋อง …..แต่ว่าวันนี้กลับตกต่ำ จนถึงขึ้นต้องให้สตรีตัวเล็กๆผู้หนึ่งมาช่วยเหลือหรือ?” คนผู้นี้ไม่ว่าพละกำลังหรือวาจาเหน็บแนมล้วนแต่ร้ายกาจอย่างยิ่ง ยามที่เขาวาดง้าวสีทองในมือออกมา ทั่วร่างมีแสงเปล่งประกายเจิดจ้าบาดตา 

 

 

แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ว่าสายตาของเขาก็ยังเหลือบมองไปที่ตู๋กูซิงหลันอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่าจดจำอะไรขึ้นมาได้ 

 

 

สาวน้อยผู้นี้…..ดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง 

 

 

แม้ว่าจะถูกเขาเหยียดหยาม แต่ว่าซื่อมั่วก็ยังคงสงบนิ่งดุจขุนเขา เขาฟาดไม้เท้าในมือออกไปอย่างไร้ไมตรี ทุกไม้ทุบลงไปบนร่างของคนผู้นั้นอย่างต่อเนื่อง 

 

 

ไม้เท้าอนันตกาลสยบมารเป็นอาวุธประจำกายที่เขาใช้ยามออกศึก หนึ่งไม้ที่ฟาดฟันลงไป ทำลายภูผามหานที แม้ว่าเรี่ยวแรงถดถอย พละกำลังไม่มั่นคงเช่นกาลก่อน แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าตื่นตระหนก 

 

 

พอหลายไม้เท้ากระหน่ำลงไปอย่างต่อเนื่อง คนผู้นั้นก็คล้ายจะรับไม่ไหวบ้างแล้ว 

 

 

แสงทองบนร่างของเขาปริแตกออก เปิดเผยดวงหน้าออกมา 

 

 

ชั่วขณะนั้นเอง แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องตื่นตะลึงไป 

 

 

ที่แท้แล้วเขาก็คือ…….. 

 

 

……………………………….