ตอนที่ 722 ทุกอย่างคือการแสดง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในจวนจ้าวนครล่าฝัน ฉินเทียน ฉินอี้เฟยและคนอื่น ๆ ได้มารวมตัวรออยู่หน้าประตูด้วยความตื่นเต้นเมื่อทราบข่าวการมาถึงของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’

ทันทีที่ฉินอวี้โม่จับมือ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ และเดินตรงมาที่ประตูจวน ฉินเทียนก็แทบอดทนรอที่จะทักทายนางไม่ไหว

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าคงทุกข์ทรมานมามาก”

เขาโผเข้าสวมกอดอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและลอบพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาทราบดีว่าควรทำอย่างไร

“พี่เทียน ข้าไม่ทรมานเลย…ไม่เลยสักนิด.. ตราบใดที่ครอบครัวของเราได้อยู่กันพร้อมหน้าตาอีกครั้ง ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะเผชิญกับเรื่องร้ายใด มันก็ไม่สำคัญ”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเองก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของฉินเทียนโดยไม่ทราบเลยว่าตัวตนของตนถูกเปิดโปงไปนานแล้ว

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เข้าไปข้างในและนั่งคุยกันสบาย ๆ เถอะขอรับ”

ฉินอี้เฟยเดินตรงเข้ามาและกล่าวขึ้นเบา ๆ

“เฟยเอ๋อร์ หลายปีที่ผ่านมาเจ้าคงเหนื่อยมากสินะ”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยายามที่จะเอื้อมไปจับมือบุตรชายคนโต ทว่าเขากลับหลีกเลี่ยงมันอย่างเห็นได้ชัด

รอยยิ้มบนใบหน้าของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ ชะงักไปครู่หนึ่งและร่องรอยความสงสัยก็ปรากฏในแววตา

“ท่านแม่ พี่ใหญ่ไม่เคยชอบการแตะเนื้อต้องตัวกับผู้อื่น นอกจากเสี่ยวโร่วแล้ว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังแตะต้องเขาไม่ได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ตระหนักได้ว่าหากแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมมากจนเกินไป มันก็อาจจะดูน่าสงสัยได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงผ่อนคลายความระแวดระวังเมื่อครู่และสีหน้ากลับเป็นปกติตามเดิม

“แม่เข้าใจว่าเป็นความผิดของแม่เองที่ไม่ได้เลี้ยงดูและดูแลเจ้าทั้งสองจนเติบใหญ่และเป็นเหตุให้เจ้าทั้งสองต้องเศร้าโศกทุกข์ใจ”

รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ อีกครั้งและนางกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลใจอย่างที่สุด

“ท่านแม่ ไปอาบน้ำล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ หลังจากนี้พวกเราจะได้รับประทานอาหารด้วยกัน”

ฉินอวี้โม่ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับฉินเทียนและเขาเข้าใจได้ทันที

“อวิ๋นเอ๋อร์ ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อน”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินออกจากจวนจ้าวนครไปกับ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’

“คุณหนู ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติกับฮูหยินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่านางมิใช่ฮูหยินตัวจริง”

ก่อนหน้านี้ เสี่ยวโร่วออกไปท่องชมเมืองกับเด็กน้อยทั้งสองและเฟยเฟย นางจึงไม่ได้ทราบข่าวจากหานโม่ฉือ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะใสซื่อบริสุทธิ์เพียงใด นางก็ยังค้นพบความผิดปกติของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ ผู้นี้

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงไม่เคยพบนางมาก่อน ฉะนั้นจึงไม่มีทางเลยที่สตรีผู้นั้นจะจดจำตนได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ ปรากฏตัวในสภาพที่ดูน่าสงสาร ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจสถานการณ์ในนครล่าฝันอย่างชัดเจนอยู่แล้วซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง

“ครานี้เจ้าฉลาดมากจริง ๆ”

ฉินอี้เฟยจับมือเสี่ยวโร่วและกระซิบเบา ๆ ข้างหูของนาง

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าจะไม่เปิดเผยความลับใดกับนาง”

เสี่ยวโร่วพยักศีรษะและทราบดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“ข้าจะไปช่วยดูแลและรอนางอาบน้ำอาบท่าก่อน ไม่เช่นนั้นนางอาจจะสงสัยเอาได้”

หลังจากกล่าวกับฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็เดินไปยังทิศทางที่ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมเดินไปก่อนหน้านี้…

“เฟยเฟย เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น เกรงว่าการที่ฝ่ายมารส่งมารดาตัวปลอมของข้ามาที่นี่ เป้าหมายของพวกเขาก็อาจจะเป็นเจ้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวกำชับกับเด็กสาวเฟยเฟย คงเป็นเพราะฝ่ายมารทราบแล้วว่านางได้บุปผาแห่งแสงมาครอง พวกเขาจึงส่งอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมมาเพื่อบั่นทอนทำลายแผนการของพวกนาง

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สามารถเปิดโปงธาตุแท้ของสตรีผู้นี้ได้โดยตรง ทว่าตอนนี้หานโม่ฉือยังคงแฝงตัวสืบข่าวอยู่ในฐานทัพของฝ่ายมาร ทุกคนจึงต้องแสดงบทบาทไปตามแผนการของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมก่อนซึ่งจะส่งผลให้ฝ่ายมารคลายความระแวดระวังและช่วยให้หานโม่ฉือปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พี่อวี้โม่ ข้าจะระวังตัวไว้”

เฟยเฟยพยักศีรษะรับคำ ในความเป็นจริง ด้วยความสามารถพิเศษที่มี นางก็สัมผัสได้ถึงเจตนาชั่วร้ายของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ตั้งแต่ต้น การที่คนจากขุมกำลังมารร้ายต้องการจะปลอมตัวเข้ามาหลอกลวงตบตานางนั้น ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดี

ณ ลานอีกฟากหนึ่ง ฉินเทียนนำอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมมายังห้องรับแขก

“พี่เทียน ข้าพยายามตามหาท่านมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา…”

‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ เอนกายพิงร่างของฉินเทียนไม่ยอมผละออกไปและแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจตลอดเวลา

ฉินเทียนก็มองดูใบหน้าที่เหมือนกับภรรยาของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวก่อนเถอะ เราสามารถคุยกันหลังจากนี้ได้ ไม่ต้องกังวลไป”

ฉินเทียนพยายามกล่าววาจาเพื่อให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นใจเย็นลง และตอนนี้เสี่ยวโร่วก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี

“ฮูหยิน ข้าจะช่วยท่านชำระล้างร่างกายเองเจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วแสดงบทบาทได้อย่างแนบเนียนและเตรียมน้ำร้อนเข้ามาแล้ว

“เสี่ยวโร่วเอ๋ย ข้าสืบข่าวเกี่ยวกับนครล่าฝันมาตลอดทางจนทราบถึงความสัมพันธ์ของเจ้าและเฟยเอ๋อร์ ข้าดีใจและพึงพอใจมากที่ได้เจ้าเป็นลูกสะใภ้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพิธีรีตองอะไรให้มากนักหรอก”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นจับมือเสี่ยวโร่วพร้อมแสดงสีหน้าอ่อนโยนและเมตตา

“ข้าจะไปเตรียมอาหารค่ำก่อน เสี่ยวโร่ว หลังจากที่เจ้าช่วยล้างเนื้อล้างตัวให้กับเสี่ยวอวิ๋นเสร็จสิ้น เจ้าช่วยพานางไปที่ห้องโถงด้วยล่ะ”

ฉินเทียนไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาจึงกล่าวกับเสี่ยวโร่วก่อนหันหลังเดินจากไป

จากนั้นเสี่ยวโร่วก็ช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมชำระล้างใบหน้าและในขณะที่กำลังช่วยอยู่ นางก็ถือโอกาสแตะสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายเช่นกัน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้นี้ไม่สวมหน้ากากด้วยซ้ำราวกับว่านี่คือใบหน้าที่แท้จริงของนาง คาดว่าคนผู้นี้จะต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อปลอมตัวเปลี่ยนเป็นใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างแน่นอน

“เสี่ยวโร่วเอ๋ย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของเสี่ยวโร่วและแสร้งแสดงสีหน้าเป็นห่วงขณะกล่าวถาม

“ฮูหยิน พวกเรามีความสุขดีเจ้าค่ะ คุณหนูและคุณชายทั้งมากพรสวรรค์และทรงพลัง พวกเขามาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้ก็เพื่อตามหาท่าน”

เสี่ยวโร่วก็กล่าวถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเพียงคร่าว ๆ โดยไม่กล่าวถึงข้อมูลใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายมาร

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเจ้าทุกคนต่างก็ทุ่มเทฝ่าฟันอุปสรรคมาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นพี่เทียน เสี่ยวโม่เอ๋อร์หรือเฟยเอ๋อร์ พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเศร้าเสียใจมากมายนัก”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นแสดงสีหน้าโศกเศร้าและเป็นกังวล หากมิใช่เพราะทราบมาก่อนว่าสตรีผู้นี้กำลังแสดงละครตบตา เกรงว่าเสี่ยวโร่วก็อาจจะหลงเชื่อไปแล้วจริง ๆ

“เพื่อที่จะตามหาฮูหยิน ต่อให้จะต้องลำบากสักเพียงใด มันก็ถือว่าคุ้มค่าเจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วกล่าวต่อ “ฮูหยิน ท่านถูกคนจากฝ่ายมารจับตัวไปมิใช่หรือเจ้าคะ ? ทว่าท่านกลับมาปรากฏตัวที่นครล่าฝันและอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ?”

เมื่อได้ยินคำถามของเสี่ยวโร่ว อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด นางเพียงถอนหายใจยาวและกล่าวตอบ “ข้าถูกคนจากฝ่ายมารจับตัวไปจริงและในเวลานั้นข้าก็คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่ อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าจะมีบุคคลลึกลับพาตัวข้าออกมา เขาพาข้าไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในทางใต้สุดของดินแดนเทพมายาและทิ้งข้าไว้ที่นั่น ข้าอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในตอนแรกข้าบาดเจ็บสาหัสและพลังมายาในร่างก็สลายไปเกือบทั้งหมด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้พยายามฝึกวิชาอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของข้าก็ยังฟื้นฟูไม่มากนัก จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าบังเอิญได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนและได้ยินเกี่ยวกับนครล่าฝัน และเมื่อได้ยินชื่อของเสี่ยวโม่เอ๋อร์และพวกเจ้าทุกคน ข้าจึงคาดเดาได้ว่าพวกเจ้าคงจะตั้งรกรากถิ่นฐานกันอยู่ที่นี่”

แน่นอนว่านางเตรียมคำตอบเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไปที่หมู่บ้านดังกล่าวเพื่อสืบหาความจริง พวกนางก็จะพบเพียงว่าสตรีผู้นี้คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นและทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเล่ามาก็เป็นความจริง สำหรับการมาเยือนที่นครล่าฝันครานี้ เรียกได้ว่านางเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี น่าเสียดายที่นางไม่รู้ตัวเลยว่าหานโม่ฉืออยู่ในฐานทัพของฝ่ายมารและส่งข่าวให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับแผนการนี้แล้ว

“หลังจากนั้น ข้าก็เตรียมตัวเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนออกเดินทางมาที่นครล่าฝันเพื่อพบกับทุกคนอีกครั้ง เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าดินแดนนี้มีเรื่องอันตรายมากมายนัก ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ที่ยังไม่บรรลุขอบเขตพสุธาเซียน ข้าก็อาจจะตายได้ทุกเมื่อ โชคดีที่ในระหว่างทาง ข้าบังเอิญได้พบกับกลุ่มคนที่จิตใจดีกลุ่มหนึ่งและติดตามพวกเขามาจนถึงบริเวณใกล้กับนครล่าฝัน ทว่าข้าก็ไม่กล้าบอกกับคนเหล่านั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของข้าและคนที่นี่ ข้าจึงขอแยกตัวออกมาและเดินทางมาเพียงลำพัง ไม่คิดเลยว่าจะพบคนของฝ่ายมารในระหว่างทาง ทว่าสุดท้ายข้าก็หนีรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด”

นางอธิบายสถานการณ์ของตนเองด้วยท่าทางเศร้าโศก

“เป็นเช่นนั้นเอง..”

เสี่ยวโร่วแสดงสีหน้าเป็นห่วงและกล่าวขึ้นเบาๆ “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะฮูหยิน จากนี้ไปพวกเราจะปกป้องท่านเองและจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรังแกท่านได้เด็ดขาด”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกพักใหญ่และหลังจากช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่เสร็จสิ้น ทั้งสองก็เดินตรงไปที่โถงรับประทานอาหารด้วยกัน

“เสี่ยวโร่ว ข้าได้ยินว่าสงครามระหว่างดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารใกล้เข้ามาแล้ว และเมื่อไม่กี่วันก่อน เสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็ได้บุปผาแห่งแสงมาจากเกาะไร้กังวล ข้าอยากรู้นักว่ามันเป็นเรื่องจริงรึไม่?”

เมื่อรู้สึกได้ว่าเสี่ยวโร่วไม่มีความสงสัยคลางแคลงใจใด ๆ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมก็เอ่ยถามลองเชิง

“เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ บุปผาแห่งความมืดของฝ่ายมารใกล้ที่จะโตเต็มวัยแล้วและมีเพียงบุปผาแห่งแสงเท่านั้นที่จะสู้กับมันได้ คุณหนูจึงไปที่เกาะไร้กังวลและนำมันกลับมา ฮูหยินก็น่าจะได้เห็นแล้ว บุปผาแห่งแสงนั่นอยู่ในร่างของเฟยเฟย”

เสี่ยวโร่วกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ทุกคนในนครล่าฝันทราบเรื่องนี้แล้ว ต่อให้นางไม่กล่าวออกไป อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็สามารถหาคำตอบได้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่นางจะเปิดเผยมันออกมาในตอนนี้ ในทางกลับกัน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็จะคิดว่าพวกนางหลงเชื่อในการปลอมตัวของนางอย่างแท้จริง

“เป็นเช่นนั้นเอง…ข้าหวังเหลือเกินว่าเราจะเอาชนะสงครามครานี้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะไม่ต้องต่อสู้อีกต่อไปและครอบครัวของเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเสียที”

แสงที่มืดมนปรากฏในแววตาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นชั่วขณะ ทว่าวาจาของนางกลับตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง

ในขณะที่พูดคุยกันต่อไป ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงกว้าง

ภายในห้องโถงนี้ บุคคลสำคัญหลายคนของนครล่าฝันมาถึงแล้ว พวกเขาเข้ามาทักทาย ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ ทีละคนด้วยท่าทางกระตือรือร้นอย่างมาก

“ในเมื่อวันนี้ครอบครัวของอวี้โม่ได้มีโอกาสมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รบกวน”

หลังจากกล่าวทักทาย คนเหล่านั้นก็พยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวอำลา

เมื่อทุกคนแยกย้ายกลับไป ภายในห้องโถงก็เหลือเพียงฉินเทียน ฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟย เสี่ยวโร่ว เด็กแฝดชายหญิงและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมเท่านั้น

“ลูกเขยข้าไปไหนเสียล่ะ ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขา ?”

เมื่อทุกคนนั่งรวมตัวกันทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของบุตรเขย อวี๋เสี่ยวอวิ๋นจึงแกล้งถามอย่างสงสัย

“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้โม่ฉือสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในร่างกาย ในตอนนี้เขาจึงเข้าไปเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในคฤหาสน์มิติของข้าเจ้าค่ะ เมื่อเขาเก็บตัวเสร็จสิ้น ข้าจะพาเขามาพบท่านแม่ในทันที”

ฉินอวี้โม่เตรียมคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วจึงอธิบายได้โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยขึ้นมา

“เช่นนั้นเองรึ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าบุรุษหนุ่มหานโม่ฉือผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นยิ่งนัก เห็นทีข่าวลือพวกนั้นคงจะเป็นความจริง”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่สงสัยในคำตอบนั้นทว่ารู้สึกโล่งใจขึ้นมา สำหรับนาง หานโม่ฉือคือบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ในเมื่อทราบว่าตอนนี้เขาเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ นั่นก็จะช่วยให้แผนการต่อไปของนางราบรื่นมากขึ้น

จากนั้นทุกคนก็รับประทานอาหารร่วมกันท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็ตักอาหารให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นครั้งคราวและนางก็ตอบรับด้วยความยินดี

“จะว่าไปแล้ว…ดูเหมือนข้าจะตื่นเต้นเกินไปจนลืมถาม บิดามารดาของข้าและบิดาของพี่เทียนสบายดีรึไม่ ?”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่จะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเมื่อกลัวว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะนึกสงสัย นางจึงหาโอกาสเอ่ยถามออกไปทันที