ตอนที่ 530 แอนนา โดย Ink Stone_Fantasy
“แฮะๆ ชอบก็ดีแล้ว!”
หน้าของเยี่ยตงผิงแดงเหมือนหมวกสีแดง เขารู้ว่าภรรยาพูดคำนั้นออกมาเพราะเห็นแก่หน้าของลูกชาย ดีที่ลูกชายเป็นคนกันเอง ถึงจะขายหน้าแต่คนนอกก็ไม่รู้
“กำไลอันนี้โปร่งใสดีมาก เขียวเต็มขนาดนี้หาได้ยาก คุณภาพดีเยี่ยมจริงๆ เสี่ยวเทียน ลูกได้มาจากที่ไหนเหรอ?”
ผู้หญิงกับเครื่องประดับเป็นควาชอบพิเศษที่มีตั้งแต่เกิด แม้ว่าตอนนี้ซ่งเวยหลันจะรวยล้นฟ้า แต่ตอนที่เธอหยิบกำไลสีเขียวราชาชิ้นนั้นขึ้นมา จนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความสนใจจากเยี่ยเทียนไปยังกำไลชิ้นนั้น
ซ่งเวยหลันไม่รู้ระดับของหยก แต่เธออยู่ในวงการค้าขายที่มีความเสี่ยงสูงมาหลายปี สิ่งของแบรนด์เนมระดับโลกต่างๆก็เห็นจนชินแล้ว สายตาจึงไม่เหมือนคนทั่วไป มองดูของในมืองครั้งเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นของมีมูลค่าสูง
ต้องรู้ว่า เครื่องประดับบนโลกใบนี้แม้จะมีมากมาย แต่เครื่องประดับระดับสูงส่วนใหญ่เป็นของที่มีเพียงชิ้นเดียวทั้งนั้น ก็เหมือนกับเพชรที่ฝังอยู่ในคทาของพระราชินีประเทศอังกฤษ บนโลกนี้ไม่มีเม็ดที่สองแล้ว
อาจเพราะว่าเป็นคนจีน ซ่งเวยหลันจึงชอบเครื่องประดับประเภทหินหยกเช่นกัน ที่พักแถวชายฝั่งตะวันตกในอเมริกาก็มีสะสมของพวกนี้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีชิ้นไหนสู้กำไลชิ้นนี้ได้เลย
เห็นแม่ชอบกำไลชิ้นนี้ เยี่ยเทียนดีใจมาก ยิ้มและพูดว่า “ได้มาจากการพนันหินที่ฮ่องกงครับ คุณชอบก็ดีครับ…..”
“เสี่ยวเทียน กำไลชิ้นนี้มีมูลค่ามาก แม่รับไว้เลยนะ ขอบคุณลูกมาก!”
ซ่งเวยหลันนำกำไลใส่ไว้ที่ข้อมือ ผิวพรรณที่ขาวผ่องกับสีเขียวขจีที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้ซ่งเวยหลันยิ่งดูเป็นผู้ดีมากกว่าเดิม
ซ่งเวยหลันรู้ดีว่ากำไลชิ้นนี้ หากนำไปประมูลคงได้ค่าประมูลอย่างน้อยก็ประมาณ 10 ล้านหยวน
นี่คือของขวัญชิ้นแรกที่ลูกชายให้เธอ ซ่งเวยหลันไม่คิดแย่ถึงขั้นคำนวณมูลค่าของมันแน่นอน อีกหน่อยทรัพย์สมบัติของเธอเป็นของลูกชายทั้งหมด ยังกลัวว่าจะคืนไม่หมดอีกหรือ?
แต่ซ่งเวยหลันรู้ว่าลูกชายไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น การที่เยี่ยเทียนสามารถให้ของขวัญที่แพงขนาดนี้ เธอรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ซื้อมาแพงขนาดนั้นครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างจริงใจ การที่แม่ชมเขาทำให้เขาเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์บางอย่าง ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขาเลย
“ปกติคุณนอนดึกใช่มั้ยครับ?”
เยี่ยเทียนมองดูใบหน้าของแม่ เดินกลับไปตรงประตูและหยิบถุงมาหนึ่งใบ พูดว่า “ผมเห็นว่าเลือดลมคุณไม่ค่อยดี ของชิ้นนี้สามารถรักษาร่างกายที่อ่อนแอ เหนื่อยล้าไม่มีแรง และยังช่วยรักษาผิวพรรณได้อีกด้วย มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณครับ ปกติคุณลองทานวันละนิดหน่อยดูนะครับ”
“นี่คืออะไรเหรอ?”
ซ่งเวยหลันรับถุงมาและกางดู พบว่ามีน้ำมันคางคกถูกห่อไว้ด้วยถุงเก็บอาหาร สีหน้าแสดงความเซอไพร์สออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เสี่ยวเทียน ของแบบนี้หาไม่ง่ายเลยนะ นี่ทำมาจากคางคกเทือกเขาฉางไป๋ซานจริงๆเหรอ?”
เนื่องจากความกดดันค่อนข้างสูง มีช่วงนึงซ่งเวยหลันเคยใจสั่นนอนไม่หลับ เหงื่อไหลไม่หยุด จึงใช้น้ำมันคางคกด้วยการแนะนำจากหมอจีนที่จื้อกงถัง ไม่นานอาการเหล่านั้นก็เริ่มบรรเทาลง
แต่ตั้งแต่เข้าสู่งยุค 90 น้ำมันคางคกที่ผลิตจากประเทศก็น้อยลง แม้มีเงินก็ไม่อาจซื้อของแท้ได้ ซ่งเวยหลันจึงต้องหยุดใช้
ผู้หญิกทุกคนจะดูแลสุชภาพของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่อายุเท่าซ่งเวยหลันจะยิ่งให้ความสำคัญกับหน้าตาผิวพรรณ ฉะนั้นการเห็นน้ำมันคางคงกล่องนี้น่าดีใจมากกว่ากำไลหยกสีเขียวราชาชิ้นนั้นเสียอีก
“เป็นน้ำมันคางคกของแท้จากเทืองเขาฉางไป๋ซานครับ คุณรู้เยอะดีนะครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ของสิ่งนี้เดิมทีมีทั้งหมด 4 กล่อง 1 กล่องให้คุณอาทั้งหลาย อีก 1 กล่อง อวี๋ชิงหย่ากำลังใช้อยู่ ถ้าไม่นับกล่องนี้ ในตู้เย็นที่บ้านยังเหลืออีก 1 กล่อง
“ขอบคุณนะ เสี่ยวเทียน ลูกอยากได้ของขวัญอะไร? แม่จะให้ลูก!”
ซ่งเวยหลันได้รับของขวัญจากลูกชายติดต่อกันถึง 2 ชิ้น ในใจของเธอมีความสุขมากจนไม่สามารถใช้คำพูดอธิบายออกมาได้ เขาไม่ได้สนใจมูลค่าของสินค้าเหล่านี้ แต่เขาปลื้มปริ่มกับสิ่งที่ลูกชายทำให้ มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด
“ไอ้เด็กนี่ เอาใจแม่เก่งนะ?”
มองเห็นซ่งเวยหลันยิ้มออกมาจากข้างในจริงๆ เยี่ยตงผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่เกิดความอิจฉา เขาอยู่กับภรรยามาตั้งหลายวันยังไม่เคยเห็นภรรยายิ้มมีความสุขขนาดนี้มาก่อน
“ผมไม่มีของที่อยากได้ครับ……”
เยี่ยเทียนส่ายหัวพูดว่า “ผมขอแค่คุณอยู่กับพ่อผม ให้บ้านของพวกเราเป็นบ้านสักที แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ!”
ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยเทียนตอนเด็ก ก็คือเหมือนเด็กคนอื่นๆที่มีพ่อแม่พาออกไปเที่ยว แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นและโตขึ้น ความหวังของเยี่ยเทียนคือขอแค่คนในครอบครับได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็พอแล้ว
ได้ฟังคำพูดของลูกชาย ในใจของซ่งเวยหลันเหมือนถูกสองมือบีบเอาไว้ และเจ็บอย่างถึงที่สุด และตอบกลับไปว่า “โอเค แม่……แม่สัญญา ต่อไปนี้แม่จะอยู่ที่ปักกิ่ง ไม่ไปไหนอีกแล้ว!”
“ดี ดี ต่อไปนี้เราสามคนจะใช้ชีวิตด้วยกัน!”
ถ้าจะพูดถึงคนที่ตื่นเต้น ก็คงไม่ใช่ซ่งเวยหลัน แต่กลับเป็นเยี่ยตงผิงที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าเลี้ยงลูกไม่เสียแรง ในช่วงเวลาที่สำคัญสามารถเอาอยู่จริงๆ!
ได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแบบนั้น หน้าของซ่งเวยหลันที่แดงขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขารู้ว่าเขาทำผิดต่อสองพ่อลูกนี้มากมาย จึงใช้มือคล้องเยี่ยตงผิงและลูกชายเอาไว้คนละข้าง และนั่งลงที่โซฟาพร้อมกันสามคน
ความสนใจของเยี่ยตงผิงอยู่ที่ภรรยาตลอดเวลา ส่วนซ่งเวยหลันกลับมองไปที่ลูกชาย มองยังไงก็มองไม่อิ่ม ทั้งสามคนนั่งอยู่อย่างนั้นเงียบๆ และกำลังดื่มดำกับความอบอุ่นของครอบครัวที่ไม่อาจใช้คำพูดมาอธิบายได้
“ติ๊งต่อง!ติ๊งต่อง!”
เสียงกริ่งของประตูดังขึ้นและทำลายบรรยากาศอบอุ่นในห้องนอน จากนั้นเสียงของแอนนาก็ดังเข้ามาจากข้างนอก “นายหญิง ไม่ทราบว่าอาหารกลางวันให้ส่งมาที่ห้องนอนใช่มั้ยคะ?”
“ส่งเข้ามสิ แอนนา เธอก็เข้ามาด้วย!” ซ่งเวยหลันถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “แอนนา บอกให้เรียกคุณน้า ทำไมไม่เชื่อฟังกันเลย?”
มองเห็นท่าทางแปลกๆ ของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันพูดว่า “แอนนาเป็นเด็กกำพร้าที่ฉันรับเลี้ยง ตั้งแต่เด็กๆ เธอเคยได้รับการทำร้าย แล้วฉันเคยช่วยเธอเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนสรรพนามอีกเลย……”
พ่อของแอนนาเป็นพวกติดยา สร้างหนี้ไว้ข้างนอกมากมาย หลังจากที่ติดยาจนตาย พวกขี้ยากลุ่มหนึ่งมาหาแอนนาพบที่บ้าน
มองดูบ้านที่ทรุดโทรมทุกด้าน พวกขี้ยาจึงหันไปสนใจตัวของแอนนากับแม่ของเธอแทน แม่ที่ยังสาวของแอนนาถูกบังคับให้ไปขายตัวรับแขก แต่อายุเพียง 5 ขวบอย่างแอนนา ทำได้เพียงเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ
ขี้ยาพวกนั้นไม่ได้เพิ่มการป้องกันกับเด็ก 5 ขวบ มีอยู่ครั้งนึงเป็นโอกาสที่บังเอิญมาก แอนนาได้พบกับซ่งเวยหลัน บางทีอาจจะเป็นพรหมลิขิต เธอพูดอย่างติดๆขัดๆเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอให้ซ่งเวยหลันฟัง
ด้วยความสงสาร ซ่งเวยหลันจึงให้คนจัดการพวกขี้ยาพวกนั้น และช่วยแม่ของแอนนาเอาไว้ได้ แต่ตอนนั้นเธอติด HIV และได้ตายจากไปต่อจากนั้นไม่นาน
การตายของหม่ทำให้แอนนาคิดว่าซ่งเวยหลันเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ และยืนหยัดที่จะเรียกซ่งเวยหลันว่านายหญิง 10 กว่าปีที่ผ่านไม่เคยแก้คำขานคำนี้ได้เลย
หลังจากฟังเรื่องราวของแอนนาจบ เยี่ยเทียนพยักหน้าและพูดว่า “เด็กสาวคนนี้มีชะตาที่แข็งมาก เป็นดวงกินพ่อแม่ การที่เรียกคุณว่านายหญิงกลับทำให้แรงคาดแค้นนั้นบรรเทาลงได้”
เยี่ยเทียนเคยมองใบหน้าของแอนนามาก่อน แต่คนจีนกับคนต่างชาติไม่เหมือนกัน เขาไม่กล้าเชื่อบทสรุปที่ตัวเองคำนวณ แต่สิ่งที่แม่เล่าออกมากลับยืนยันได้ว่านรลักษณ์ศาสตร์สามารถใช้ได้กับคนต่างชาติ
“เด็กนี่นิ่ ห้ามพูดกับแอนนาแบบนี้”
ซ่งเวยหลันตำหนิเยี่ยเทียนเล็กน้อย เธอเลี้ยงดูแอนนามา 10 กว่าปี เลี้ยงดูดุจลูกสาวมาตั้งนานแล้ว
“เวยหลัน เยี่ยเทียนไม่ได้พูดไปเรื่อยนะ เขาดูนรลักษณ์แม่นมาก แอนนายอมเรียกแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปแก้แล้ว”
สำหรับเรื่องนี้เยี่ยตงผิงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับลูกชาย การฝืนชะตาเปลี่ยนลิขิตเยี่ยเทียนยังทำได้ แค่ดูนรลักษณ์จะไปยากอะไร? เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของภรรยา เขาไม่มีทางละเลยแน่นอน
“ตงผิง คุณเชื่อเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ซ่งเวยหลันมองสามีอย่างสงสัย จำได้ว่าสมัยวัยรุ่นเขาเป็นคนที่เชื่อมั่นที่สุดว่าไม่มีพระเจ้าไม่ใช่เหรอ?
“แค่กๆ!”
เยี่ยตงผิงทำตัวไม่ถูกและไอออกมากลบเกลื่อน และพูดกับแอนนาที่เข็นอาหารเข้ามาที่ห้องนอนว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แอนนา นั่งกินด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกินมาแล้ว!”
แอนนาปฏิเสธส่ายหัว และจัดถ้วยตะเกียบ 4 ชุดวางไว้บนโต๊ะอย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นก็นำกับข้าวแต่ละจานวางไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวเองยืนอยู่ข้างๆโต๊ะอาหาร
“ฝีมือไม่เลว แต่แรงฆ่ายังน้อยกว่ามาราไกย์นิดหน่อย”
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงเลือดลมที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวของแอนนา พบได้ยากในผู้หญิง เธอคงได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดและเหี้ยมโหดมาก่อน
แต่ถ้าพูดถึงร่างกายของคนเรา การฝึกฝนลักษณะนี้ของคนตะวันตกไม่ถูกต้อง พวกเขากำลังบีบบังคับปลุกปั่นความเป็นไปได้ของร่างกายคน ทำให้ร่างกายสามารถรักษาจุดสูงสุดของร่างกายไว้ชั่วขณะนึง
แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานั้นแล้ว ร่างกายของพวกเขาจะค่อยๆเสื่อมลง จุดจบของพวกนี้น่าสังเวชยิ่งกว่าพวกคนในประเทศที่ฝึกฝนวิชานอกรีตเสียอีก และคนที่ตายโดยธรรมชาติก็มีน้อยมาก
นักชกชาวรัซเสียท่านนั้นเป็นอย่างไร มาราไกย์และแอนนาก็เป็นฉันนั้น เมื่อพวกเขาอายุเกิน40-50ปีแล้ว โรคภัยต่างๆก็จะเริ่มปรากฏขึ้น
“มาราไกย์ยังเรียกใช้งานได้ดีมั้ย?”
ได้ยินลูกชายเอ่ยถึงบอดี้การ์ดพวกนั้น ซ่งเวยหลันจึงถาม “หรือแม่จ้างพวกเขาอีก 1 ปี ให้คอยติดตามลูก?”
ตั้งแต่ที่รู้ว่ามีคนในตระกูลคิดไม่ดีกับลูกชายของตน ความปลอดภัยของเยี่ยเทียนจึงสำคัญต่อซ่งเวยหลันเป็นอย่างมาก กลุ่มติดตามทั้ง 4 ชาวมาราไกย์ เป็นบอดี้การ์ดที่เก่งที่สุดเท่าที่เธอจะใช้งานได้แล้ว
“พอก่อน คุณปล่อยผมเถอะ ผมไม่ต้องการให้พวกเขามาปกป้อง”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น พูดว่า “ถ้าคุณอยากช่วยผมจริง คุณช่วยจ่ายค่าจ้าง 30 ล้านให้หน่อย ช่วงก่อนผมพาพวกเขาไปทำธุระมา และตอบตกลงว่าจะยกเลิกการว่าจ้างกับพวกเขา”
……………….