ภาคที่ 5 บทที่ 105 ภูติลั่นแสง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 105 ภูติลั่นแสง

ร่างเลียนแบบซูเฉินทั้ง 7 บินไปทั่วทั้งแดนว่างเปล่าทำให้การรับรู้เชิงพื้นที่ของซูเฉินเปิดกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว

ซูเฉินค้นพบว่าความเข้าใจของเขาในหลักการเชิงพื้นที่นั้นเพิ่มความสามารถในการสื่อสารกับร่างเลียนแบบของเขาได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้น ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขายังเพิ่มขึ้นขณะที่ร่างเลียนแบบของเขาสำรวจด่านว่างเปล่าอีกด้วย

เพราะเขาเชื่อมต่อกับร่างเลียนแบบหลายร่างไปพร้อม ๆ กัน จิตใจของซูเฉินจึงเปี่ยมไปด้วยภาพมากมายหลายชนิด ไม่เพียงเท่านั้น ภาพเหล่านี้ยังถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันในสมองของเขาด้วยความช่วยเหลือจากผลึกวิญญาณของเขาและประกอบเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบภายในหัว แผนที่ขนาดใหญ่นี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยมีซูเฉินเป็นใจกลาง และซูเฉินแทบจะถูกห้อมล้อมอย่างมิดชิดด้วยสิ่งรอบกายในความทรงจำของเขา

ซูเฉินไม่คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ เขาทั้งตกตะลึงและสุขสำราญใจ

แม้ว่าแผนที่นี้จะไม่เพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้น แต่มันสามารถเพิ่มพูนความสามารถทางยุทธวิธีของเขาได้ดีอย่างยิ่ง ทำให้เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่นี้ยังเป็นผลของการผสมผสานกันระหว่างทักษะทั้งหมดที่เขาเชี่ยวชาญมาจนถึงปัจจุบัน ผลึกวิญญาณ การรับรู้เชิงพื้นที่ และร่างเลียนแบบของเขา ทั้ง 3 ต่างทำงานร่วมกันอย่างสามัคคีเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้

บางทีเขาอาจสามารถทดลองการผสมผสานอื่น ๆ ด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่านี้

เพราะตอนนี้เขามีแผนที่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซูเฉินรู้สึกเหมือนว่าเขามีอำนาจการควบคุมที่เพิ่มขึ้นมากมาย

ทางทิศตะวันออกเป็นแม่น้ำที่มีอสูรกายหลบซ่อนอยู่ภายใน พวกมันคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองในพื้นที่แห่งนั้น ทางทิศตะวันตกเป็นกลุ่มเผ่าปักษา ปักษาจากตระกูลกุยซานในตอนนี้นั้นติดอยู่ในการต่อสู้กับฝูงสิ่งมีชีวิตพลังสูญแปลกประหลาด

เนื่องจากซูเฉินเพียงแค่ใช้งานตระกูลกุยฐาน เขาจึงไม่ได้ใส่ใจว่าพวกเขาจะเป็นหรือตาย หลังจากที่มองอย่างคร่าว ๆ แล้ว ร่างเลียนแบบของเขาก็จากมาและออกสำรวจในทิศทางอื่นแทน

ขณะที่เขาสืบสวนต่อไปนั้น เขาก็สังเกตเห็นฝูงสิ่งมีชีวิตพลังสูญที่รวมกลุ่มกันอยู่บนยอดเขาลูกเล็กทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ในทันใด

ความเข้าใจของซูเฉินในสิ่งมีชีวิตพลังสูญเหล่านี้มีอยู่จำกัด เขาไม่รู้ว่าพวกมันคืออะไร แต่พวกมันก็ไม่สูงไปกว่าครึ่งจั้ง ผิวของพวกมันเป็นสีดำอมม่วง และพวกมันยังมีรูปร่างที่ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์อีกด้วย แต่บางแขนขาที่เชื่อมกับข้อต่อของพวกมันนั้นแท้จริงแล้วคือใบมีดโลหะมากมาย

ใบมีดกระดูกโลหะเหล่านี้ไปกระตุกต่อมความสนใจของซูเฉินเข้า

พวกมันทำมาจากโลหะ

กระดูกของพวกมันทำมาจากโลหะ !

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ที่เช่นนี้จะผลิตแร่โลหะขึ้นมาโดยธรรมชาติเพราะอายุของมัน รวมถึงเพราะเหตุผลทางสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ซูเฉินคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับโลหะมาเพิ่มเติม แต่เขาก็สามารถหาสิ่งที่เขาต้องการพบได้อย่างน่าเหลือเชื่อเพราะสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเหล่านี้

เมื่อเขาเห็นดังนั้น ซูเฉินจึงอยากจะเดินเข้าไป

แต่เพียงเพราะเขาสามารถมีสายตาที่กว้างไกลนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถบินไปที่นั่นได้ในทันที

ตอนนั้นเองที่ความคิดพลันปรากฏขึ้นในจิตใจของซูเฉิน ถ้าเขาสามารถสลับตำแหน่งกับร่างเลียนแบบของเขาได้ล่ะ ?

มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ?

บางทีนี่อาจทำให้ซูเฉินในอดีตต้องเสียเวลาและพลังงานมากมายไปกับการค้นคว้า

แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้แล้วสำหรับซูเฉินที่จะแก้ปริศนานี้ได้ตราบใดที่สภาวการณ์นั้นถูกต้อง

เนื่องจากร่างเลียนแบบเหล่านั้นเชื่อมกับเลือดของเขา และเขารู้จักวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย ความเข้าใจในหลักการเชิงพื้นที่และพื้นฐานวิชาอาร์คาน่าที่เก่งกาจของเขาหมายความว่ามันอาจเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถเคลื่อนกายออกไปในระยะไกล

วินาทีต่อมา ซูเฉินดึงเอาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดออกมาและสังเวยผลึกต้นกำเนิดระดับสูงเป็นเครื่องเซ่น

ซูเฉินมีของสังเวยระดับสูงมากเกินกว่าที่เขาะสามารถสังเวยได้หมด หากเขาไม่ได้ใช้พวกมันที่นี่ เขาคงจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ในการใช้พวกมันทั้งหมด

ตอนนี้เขาให้เวลากับตัวเองสักพักและรูปแบบพื้นฐานของวิชาอาร์คาน่าเคลื่อนกายแบบใหม่ได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว

ด้วยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเป็นรากฐาน ซูเฉินได้ทำการดัดแปลงมากมายเพื่อให้ตัวเขาเองสามารถสลับตำแหน่งโดยตรงกับร่างเลียนแบบของเขาได้และขยายขีดจำกัดในระยะทางที่เขาจะสามารถเคลื่อนกายได้

การพัฒนาวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินทำได้เพียงส่งเขาออกไปประมาณ 6 ลี้เท่านั้น ในขณะที่วิชาอาร์คาน่านี้ทำให้เขาสามารถเคลื่อนกายออกไปได้ราว 200 ลี้ !

ตราบใดที่ร่างเลียนของซูเฉินอยู่สักที่ภายในรัศมีนี้ เขาก็สามารถที่จะเคลื่อนกายไปที่มันโดยตรง การย้ายตำแหน่งเป็นระยะไกลเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อนในทวีปนี้

กระทั่งอาณาจักรอาร์คาน่าและอาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็ไม่เคยสร้างวิชาเคลื่อนกายด้วยระยะที่มากไปกว่า 40 ลี้ และพวกมันมักถูกพัฒนาขึ้นโดยปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานผู้มีความเข้าใจอยากลึกซึ้งในความว่างเปล่าและพื้นที่ ซึ่งทุกครั้งที่ผู้ใดใช้หนึ่งในวิชาเหล่านั้น มันจะเผาผลาญพลังงานของพวกเขาเป็นปริมาณมาก

แม้ว่าวิชาอาร์คาน่าของซูเฉินจะต้องการการสร้างร่างเลียนแบบเชื่อมสายเลือดขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ตำหนิที่ใหญ่โตอะไร

หากซูเฉินเกิดต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นมาในอนาคต เขาก็สามารถซ่อนร่างเลียนไว้ในอีก 200 ลี้ห่างออกไปจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาและเคลื่อนกายไปที่นั่นเพื่อหลบหนี

หากเขาซ่อนไว้มากกว่านั้น เขาจะสามารถกระทั่งกระโดดย้ายไปมาได้อย่างต่อเนื่อง

หากเขาเชื่อม 10 ร่างเลียนเข้าด้วยกัน เขาจะสามารถกระโดดข้ามไปได้ถึง 20,000 ลี้ทีเดียว …ความเร็วระดับนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะจับตัวได้ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันก็ตาม

ซูเฉินไม่เคยคิดที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ …ผลที่ออกมาทำให้เขาพูดไม่ออก

ซูเฉินตัดสินใจที่จะเรียกวิชานี้ว่าภูติลั่นแสงเพื่อรำลึกถึงการที่เขาได้รับทักษะแสนทรงพลังขณะที่ยังคงอยู่ในด่านสู่พิสดาร !

ซึ่งก็แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้ไร้เหตุผล วิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดนั้นมีไว้เพื่อการเติบโตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ อันเป็นเหตุผลที่เขาต้องการจะแพร่กระจายมันออกไปอย่างอิสระ แต่หากผู้อื่นต้องการจะเรียนรู้ทักษะใด ๆ ที่เพิ่มพละกำลังในการต่อสู้… เสียใจด้วย เจ้าจะต้องไปยังนิกายของข้าเพื่อศึกษามัน !

ตอนนี้เมื่อซูเฉินได้รับอักขระวิชาอาร์คาน่าที่สอดคล้องกัน เขาจึงตัดสินใจที่จะทดลองใช้มันทันที

วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็หายวับไปและร่างเลียนแบบที่ดูบางเบาไปเล็กน้อยที่ยืนมองสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่นั้นได้กลับกลายเป็นร่างที่จับต้องได้มากขึ้นไม่น้อย

ซูเฉินได้สำเร็จลุล่วงในการกระโดดข้ามระยะทาง 200 ลี้

นี่เป็นตัวอย่างของการที่สิ่งที่ดูจะเป็นภาพลวงตาพลันกลายเป็นร่างกายภาพที่จับต้องได้ กระทั่งซูเฉินยังรู้สึกถึงความวิงเวียนที่อาบไปทั่วทั้งร่างกาย

“งั้นปริมาณพลังงานที่ข้าต้องใช้ในการขยายระยะทางการกระโดดออกไปนั้นยังค่อนข้างสูงทีเดียว บางทีการเคลื่อนกาย 10 ครั้งติดต่อกัน…… อาจจะเกินความสามารถข้าไปหน่อย” ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขื่นขม

เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเท่ากับที่ใช้ในการต้มชาหนึ่งกาเพื่อฟื้นฟูจากการกระโดดหนึ่งครั้ง

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนี่คือครั้งแรกที่ซูเฉินใช้วิชานี้ ขณะที่การควบคุมหลักการเชิงพื้นที่และความแข็งแกร่งของเขาต่างก็เพิ่มขึ้น การล่าช้าระหว่างการกระโดดที่ต่อเนื่องจะลดลงเช่นกัน

ซูเฉินส่ายหัวเพื่อสลัดความวิงเวียนศีรษะออกไปก่อนจะหันไปมองยังสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้น แล้วเขาก็หัวเราะ “ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันโชคดีของข้า อย่างแรก ข้าได้รับทักษะต้นกำเนิดเชิงพื้นที่ใหม่ถึง 2 ทักษะ และตอนนี้ข้าสามารถใช้พวกมันในการเติมเต็มคลังโลหะของข้าได้ เยี่ยมมาก เยี่ยมไปเลย !”

เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไปและบินตรงออกไปข้างหน้า

สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเริ่มส่งเสียงจอแจอย่างตื่นอกตื่นใจเมื่อพวกมันเห็นซูเฉินและพุ่งเข้าไปหา

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ดูธรรมดาทั่วไป แต่พวกมันสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว เท้าของพวกมันกระแทกอย่างหนักแน่นลงบนพื้นขณะที่พวกมันพุ่งตรงมายังซูเฉินพร้อมขู่คำรามอย่างไม่ลดละ

“พวกมันบินไม่ได้ ?” ซูเฉินตะลึง

พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตพลังสูญอย่างแน่นอน แต่พวกมันก็ไม่รู้จักวิธีการบิน นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดทีเดียว

แต่ในวินาทีต่อมา คลื่นพลังที่แข็งแกร่งก็กดทับเขาในทันใด ซูเฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักหน่วงขึ้นขณะที่เขาเสียการควบคุมในการบินอย่างฉับพลันและถูกกดลงมาบนพื้นเบื้องล่าง

สนามพลังกระแสแสง ?

ซูเฉินตะลึงงัน

ไม่ ! นี่ไม่ใช่สนามพลังกระแสแสง แต่วิชานี้ดูจะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงแรงโน้มถ่วง พวกมันเพิ่มน้ำหนักของเขาทำให้เขาร่วงลงมาสู่พื้น

ไม่เพียงเท่านั้น แต่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นยังทำให้เขาดำดิ่งลงด้วยความเร็วที่น่าตื่นตกใจ

ซูเฉินรีบรุดใช้สนามพลังกระแสแสงและปรับเปลี่ยนแรงโน้มถ่วงอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือตัวเองในคราวนี้ ตอนนั้นเองที่เขาสามารถรักษาความมั่นคงในอากาศได้

เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเห็นว่าซูเฉินไม่ได้กำลังร่วงลงสู่พื้น พวกมันก็โกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด พวกมันชี้มายังซูเฉินพร้อมส่งเสียงเห่าหอนและขู่คำรามราวกับว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่ยอมให้ตัวเองตกลงไปสู่ความตาย

ซูเฉินกระแอม “น่าสนใจ”

เขาปล่อยฝ่ามือโจมตีไปยังสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านหน้าสุด

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา การโจมตีด้วยฝ่ามือธรรมดา ๆ นั้นก็เพียงพอที่จะชำแหละหินก้อนใหญ่ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ อสูรกายระดับสูงใด ๆ จะถูกฆ่าด้วยการโจมตีฝ่ามือนี้เพียงครั้งเดียว

พลังต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นด้อยกว่าอสูรกายระดับสูง ในทางทฤษฎีแล้วเขาควรจะสามารถเชือดเฉือนพวกมันได้ราวกับเต้าหู้ แต่ฝ่ามือของซูเฉินกลับทำได้เพียงแค่ทำให้อสูรนั้นก้มตัวลงครู่หนึ่งก่อนจะยืนกลับขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่าตกใจ มันไม่แม้แต่พ่นเลือดออกมาจากปากด้วยซ้ำ

“หืม ?” ซูเฉินพึมพำด้วยความตกตะลึง

สิ่งมีชีวิตที่ถูกหวดเข้าไปนั้นโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด มันเริ่มกรีดร้องเสียงดังลั่น

เท้าของมันกระทืบลงบนพื้นดินทำให้มันแตกระแหงออกพร้อมกับส่งเสียงหวีดหวิวในอากาศ แล้วจึงหวดหมัดไปยังซูเฉิน

ซูเฉินต้องการประเมินความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เขาจึงตอบโต้ด้วยหมัดของเขาเอง หมัดทั้งสองประสานงากัน แต่เขาก็ต้องตกตะลึงจนเขาต้องถอยหลังออกมาเล็กน้อย

ทั้งสองนั้นเทียบเคียงกันในเชิงของความแข็งแกร่ง

“แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ !” ซูเฉินประหลาดใจ

ร่างกายของสิ่งมีชีวิตอสูรกายเหล่านี้นั้นแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ มันไม่ได้น่าแปลกใจนักเมื่อนึกถึงกระดูกของพวกมันที่ประกอบไปด้วยโลหะ

ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูเฉินชะงักงันไปจริง ๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาต่างหาก

สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ได้ตกกลับลงไปยังพื้น แต่มันยังคงเห่าหอนใส่ซูเฉินขณะที่มันล่องลอยอยู่กลางอากาศ

“เป็นเช่นนี้เอง” ซูเฉินเข้าใจ “แม้ว่ามันจะบินไม่ได้ มันก็สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงและสามารถทำให้คู่ต่อสู้ร่วงหล่นลงไปหรือทำให้ตัวเองลอยขึ้นได้ แต่เจ้าจะเปลี่ยนทิศทางยังไงล่ะ ?”

สิ่งนั้นให้คำตอบแก่ซูเฉินอย่างรวดเร็ว

มวลอากาศความเร็วสูงพุ่งออกมาจากก้นของมัน มวลอากาศนี้ขับคลื่อนตรงไปยังทิศทางของซูเฉิน

ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย ?

พวกมันบินไปมาด้วยการปล่อยแก๊สได้อย่างไร ?

ซูเฉินได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมาแล้วมากมาย แต่เขาไม่เคยพบเจออะไรเช่นนี้มาก่อน

แต่เพียงเพราะว่ามันแปลกประหลาดก็ไม่ได้แปลว่าซูเฉินจะสามารถดูถูกความแข็งแกร่งของมันได้

พลังต้นกำเนิดของมันอยู่ในขั้นอสูรกายระดับกลาง แต่ร่างกายภาพของมันนั้นแข็งแรงเช่นเดียวกันกับร่างกายของเผ่าคนเถื่อนระดับสูงสุดทีเดียว สิ่งนี้เพียงตัวเดียวก็แข็งแกร่งพอ ๆ กับขั้นด่านสู่พิสดารระดับล่างแล้ว

ปัญหาคือสิ่งมีชีวิตด่านสู่พิสดารระดับล่างนี้มีจำนวนหลายร้อยตัว ไม่ใช่แค่หนึ่ง

วินาทีต่อมา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นมาบนอากาศและปล่อยการโจมตีมายังซูเฉิน ข้อต่อคมกริบของพวกมันส่องประกายวิบวับขณะที่เหวี่ยงมันไปยังซูเฉิน

ด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายที่ล้วนเข้าจู่โจมเขาในคราวเดียว ซูเฉินจึงตะเกียกตะกายที่จะรับมือให้ได้อย่างเหมาะสม

เขาได้ทำผิดพลาดร้ายแรงที่ดูถูกคู่ต่อสู้เกินไป

การพิจารณาจากพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามด้วยคุณภาพในพลังต้นกำเนิดของพวกมันนั้นไม่สามารถพึ่งพาได้เลยแม้แต่น้อย

หากซูเฉินกำลังเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจำนวนหลายร้อยคนจริง ๆ เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งหนี

โชคดีที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจริง ๆ ยังมีบางอย่างที่ซูเฉินสามารถตอบโต้พวกมันได้

“ร่างกายของพวกเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่โชคร้ายสำหรับเจ้าที่ข้ามีวิธีแก้พอดี” ซูเฉินพลิกมือของเขาขณะที่พูดและแหวนไร้แสงก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา

ไม่ คงจะแม่นยำกว่าหากเรียกมันว่าดาบไร้แสงในตอนนี้

แหวนไร้แสงได้ปรับรูปร่างเป็นดาบด้ามจับโค้งขนาดใหญ่

เมื่อเขาไม่ได้ใช้ดาบศิราทองคำ ดาบไร้แสงก็เป็นเพียงแค่ดาบที่ผุพัง แต่ดาบพัง ๆ นี้กำลังถูกใช้ให้เกิดผลที่มหัศจรรย์ภายใต้การควบคุมของซูเฉิน

ฟึ่บ !

ดาบคมกริบทะลวงผ่านอกของหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น

ซูเฉินสามารถเฉือนผ่านผิวของพวกมันราวกับก้อนเนยด้วยดาบผุพังเล่มนี้ ในขณะที่ฝ่ามือจู่โจมของเขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย

พลังชีวิตที่แข็งแกร่งของสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกมันสามารถฟื้นฟูแขนขาที่เสียไปได้อย่างง่ายดาย

แต่มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนเมื่อซูเฉินเชือดผ่านพวกมันด้วยดาบไร้แสงของเขา

ดาบไร้แสงส่องประกายขึ้นอย่างเบาบางก่อนที่ของเหลวสีทองที่ดูราวกับโลหะเหลวปริมาณมากจะปรากฏขึ้นบนผิวหนังของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แล้วจึงหลั่งไหลเข้าไปในผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายและดาบไร้แสง หลังจากนั้น ดาบไร้แสงก็ส่องแสงสว่างขึ้นและสว่างขึ้น ในขณะที่กระดูกของสิ่งเหล่านั้นถูกฉีกขาดออก พวกมันดูอ่อนแอลงทันทีและล้มลงไปในกองเนื้อขณะที่พวกมันร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง