บทที่ 2802 พบกันอีกครั้ง
บุตรสาวของนายกองคนนี้ก็ตกเป็นเหยื่อขององค์หญิงเช่นกัน ถึงแม้ราชันปีศาจจะตัดสินโทษประหารให้องค์หญิงแล้วแต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ดำเนินการ ราชันปีศาจโอ๋น้องสาวเป็นที่สุด ดังนั้นเรื่องนี้มีตัวแปรมากมายเกินไป นายกองผู้นี้ถือคติมีเรื่องมากขึ้นมิสู้มีเรื่องน้อยลง เลี่ยงไม่ให้ราชันปีศาจเกิดเปลี่ยนใจทีหลัง จึงห้ามไม่ให้ลูกน้องรายงานต่อเบื้องบน
ลูกน้องเหล่านี้ล้วนภักดีต่อเขาย่อมเชื่อฟังคำพูดของเขา
มีคนหนึ่งถามอย่างหวาดๆ ว่า “ใต้เท้า หากว่าคนผู้นี้คือเทพผู้สร้างโลกจริงๆ เช่นนั้นประเดี๋ยวยามนางปรากฏตัวขึ้น พวกเราต้องลงมือหรือไม่?”
นายกองคนนั้นคิดดูเล็กน้อย ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ต้อง! ตำนานบรรพกาลเล่าขาน คนที่กล้าปองร้ายต่อเทพผู้สร้างโลก จะไม่ได้รับการอำนวยพรจากทวยเทพ เคราะห์ร้ายไปชั่วชีวิต!”
เป็นเพราะการปรากฏตัวขึ้นของเทพผู้สร้างโลกถึงได้จับตัวคนร้ายที่สังหารบุตรสาวของเขาได้ ลึกๆ ในใจของนายกองคนนี้จึงเคารพเทิดทูนกู้ซีจิ่วอย่างยิ่ง ตัวปลอมนั้นยิงได้ แต่หากว่าเป็นตัวจริง เขาย่อมไม่คิดจะทำร้าย…
พวกลูกน้องมีสีหน้าสับสนงงงัน ตำนานที่นายกองเล่าพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…
เพียงแต่ สิ่งที่ท่านนายกองพูดล้วนถูกเสมอ พวกเขาจึงไม่โต้แย้งเช่นกัน
กู้ซีจิ่วเร้นกายฟังอยู่ในมุมมืด ยิ้มแวบหนึ่งอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ตำนานนี้เธอก็ไม่เคยได้ยินมาเช่นกัน
เห็นทีว่านายกองคนนี้จะหลอกพวกลูกน้องเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่าคนผู้นี้จะพูดจาโป้ปดเพื่อเธอ…
….
กู้ซีจิ่ววาดกระบวยตามน้ำเต้า ไปป้วนเปี้ยนในกองทหารหน่วยอื่นๆ เช่นนี้อีกรอบหนึ่ง ทำให้พวกเขาตระหนกสงสัย บ้างก็สงสัยว่าถูกผีหลอกแล้ว บ้างก็สงสัยว่าอาจเป็นเทพผู้สร้างโลกมาส่งสัญญาณเตือน…
คาดเดาไปอย่างไรล้วนมีหมด
และคนเหล่านี้ก็คงเกรงว่าจะถูกราชันปีศาจลงทัณฑ์เช่นกัน ไม่กล้ารายงานต่อเบื้องบน กลับปกปิดเอาไว้ ไม่เอ่ยต่อผู้ใดอีก
แน่นอน สำหรับการปฏิบัติเมื่อพบ เทพผู้สร้างโลกตัวปลอม’ โผล่มา จะต้องลงมือทันทีหรือไม่ พวกเขาก็มีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง
ข้อหาประหัตประหารเทวามิใช่สิ่งที่พวกเขาจะแบกรับได้ไหว ก่อนที่จะยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ส่วนใหญ่พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ลงมือก่อน หรือไม่ก็คอยรับมือไปตามสถานการณ์อีกที…
การวนเตร่รอบนี้ของกู้ซีจิ่วใช้เวลาไปเพียงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามเท่านั้น ทว่าสะสางความยุ่งยากใหญ่โตอย่างหนึ่งไปได้แล้ว จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนนี้เธอมีวรยุทธ์เพียงสองส่วนเท่านั้น รับมือราชันปีศาจได้ไม่มีปัญหา ขอเพียงสมุนปีศาจเหล่านี้ไม่ลงมือก่อกวน เธอมั่นใจว่าจะชนะได้แน่นอน!
เมื่อสะสางที่นี่ได้แล้ว กู้ซีจิ่วจึงย่องไปยังคุกหลวงของของเผ่าปีศาจอย่างเงียบเชียบ
ราชันปีศาจโหดเหี้ยมทารุณ ต่อให้เป็นภายในเผ่าปีศาจคนที่ต่อต้านเขาก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อคนเหล่านี้ถูกจับกุม จะถูกนำตัวมาคุมขังไว้ในคุกหลวง
เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้ก่อความวุ่นวายหรือหลบหนี ราชันปีศาจจึงสร้างคุกหลวงให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ กล่าวว่าเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กก็ไม่เกินเลยไป
กู้ซีจิ่วเดินเตร่อยู่นอกคุกหลวงรอบหนึ่ง ในใจพิศวงอยู่บ้าง
รอบๆ คุกหลวงมีอักขระอาคมแบบพิเศษวาดไว้รอบด้าน มีอักขระอาคมเหล่านี้อยู่ วิชามุดกำแพง วิชาผ่านทะลุอันใดล้วนใช้ไม่ได้ผลกับที่นี่
เธอลูบอักขระอาคมนั้น รู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายที่อยู่บนกำแพงอย่างเลือนราง ทว่านึกไม่ออกอีกแล้วว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน
ในเมื่อคิดไม่ออก เธอจึงไม่คิดเสียเลย ทำการเคลื่อนย้ายเข้าไปโดยตรง!
วิชาเคลื่อนย้ายของเธอเป็นทักษะประจำตัวของเทพผู้สร้างโลกอย่างเธอ ยังไม่มีเวทวิชาใดบนโลกใบนี้ที่สามารถสกัดขวางวิชานี้ของเธอได้
ภายในคุกมืดมิดหนาวยะเยือก
ภายในห้องขังทุกห้องล้วนคุมขังนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ไว้ แต่ละคนมอมแมมหัวเป็นกระเซิง โลหิตกรังเต็มร่าง นอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบบ้างก็ครวญครางบ้างก็สลบไสล…
กู้ซีจิ่วกำมือนิดๆ คาดเดาถึง ‘สวัสดิการ’ ที่อูเชียนเหยียนได้รับออกรางๆ แล้ว
เธอจับตาลงจับสัมผัสถึงกลิ่นอายของอูเชียนเหยียน กลับคาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสถึงไม่ได้เลย เธอค่อนข้างประหลาดใจ วิชาจับสัมผัสของเธอร้ายกาจเป็นที่สุด ขอเพียงคนที่เธอต้องการตามหาอยู่ห่างจากเธอในรัศมีสามลี้ เธอล้วนสามารถสัมผัสถึงได้
————————————————————————————-
บทที่ 2803 พบกันอีกครั้ง 2
พื้นที่ในคุกไม่ได้กว้างขวางนัก อยู่ในรัศมีการจับสัมผัสของเธอ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเธอควรจะสัมผัสได้สิ
ราชันปีศาจเร้นกลิ่นอายของเชียนเหยียนหรือ? หรือว่าเชียนเหยียนไม่ได้ถูกขังไว้ในที่นี่?
หากว่าหาที่นี่แล้วไม่พบจริงๆ อีกเดี๋ยวเธอคงทำได้เพียงไปปล้นนักโทษที่ลานประหารแล้ว!
“ปรมาจารย์ เชิญทางนี้” จู่ๆ เสียงของราชันปีศาจก็แว่วขึ้นที่หัวมุมด้านหน้า มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากทางด้านนั้น
กู้ซีจิ่วเร้นกายเข้าไปอยู่ในมุมมืด ผ่านไปครู่หนึ่ง มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากด้านหน้า
ผู้ที่เดินนำมาคือราชันปีศาจ ส่วนคนที่เดินเคียงข้างราชันปีศาจมาคือบุรุษชุดม่วงผู้หนึ่ง
ด้านหลังของสองคนนี้คือแม่ทัพนายกองมารคนสนิทของราชันมาร
เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นบุรุษชุดม่วงคนนั้นก็ใจเต้นแรงขึ้นมานิดๆ!
ใบหน้าของชายชุดม่วงผู้นี้สวมหน้ากากปีศาจอันหนึ่งไว้ บดบังดวงหน้าทั้งหมดของเขา มองเห็นเพียงดวงตาที่ลุ่มลึกดุจทะเลสาบคู่หนึ่งอยู่ด้านหลังหน้ากากรางๆ อาภรณ์ม่วงที่สวมส่องประกายเลือนรางอยู่ท่ามกลางคุกอันมืดมิด
นี่คือ…
ตี้ฝูอีผู้นั้นหรือ? ดูรูปร่างแล้วค่อนข้างคล้าย
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? มิใช่ว่าเขาล่วงเกินราชันปีศาจอย่างถึงที่สุดยิ่งแล้วหรอกหรือ?
หรือว่าจะไม่ใช่เขา? เป็นเพียงคนที่ค่อนข้างเหมือนกันเท่านั้นหรือ?
ขณะที่เธอกำลังยืนใคร่ครวญอยู่ตรงนั้น จู่ๆ ชายชุดม่วงคนนั้นก็มองมายังทิศทางที่เธออยู่แวบหนึ่ง ม่านตาหดตัวเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วพลันใจเต้น เขาพบตนแล้วหรือ?!
เป็นไปไม่ได้กระมัง
วิชาเร้นกายของเธอยังไม่เคยถูกใครมองทะลุได้มาก่อนนะ
โชคดีที่ชายชุดม่วงคนนั้นมองเธอเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก็ผละสายตาไปแล้ว เดินเคียงกับราชันปีศาจไป
กู้ซีจิ่วฉุกใจสงสัยขึ้นมา จึงย่องตามหลังคนกลุ่มนี้ไปเสียเลย
จากนั้นเธอก็ได้ยินการส่งกระแสเสียงสนทนากันอย่างลับๆ ระหว่างนักบวชคนนั้นกับราชันปีศาจ หลังจากได้ยินเนื้อความภายในอย่างชัดเจน ใบหน้าเฉิดฉันของกู้ซีจิ่วเยียบเย็นลง
ราชันปีศาจเอ่ยว่า ‘ปรมาจารย์ ปอดของอูเชียนเหยียนผู้นั้นสามารถสับเปลี่ยนให้น้องหญิงใช้ได้จริงๆ น่ะหรือ?’
นักบวชชุดม่วง ‘องค์ราชันจะไม่เชื่อข้าก็ได้!’
ราชันปีศาจยิ้มสู้ ‘เชื่อสิ เปิ่นหวางเชื่อ! หากมิได้รับการเยียวยาจากท่านนักบวช น้องหญิงคงพิการไปแล้ว เปิ่นหวางเพียงประหลาดใจอยู่บ้างเท่านั้น เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่าสามารถสลับปอดได้ด้วย’
‘เช่นนั้นองค์ราชันเคยได้ยินเรื่องการเปลี่ยนหัวหรือไม่? ข้าผู้เป็นนักบวชก็เคยแสดงต่อหน้าองค์ราชันแล้วมิใช่หรือ? ทหารสองคนนั้นของท่านที่ถูกสับเปลี่ยนศีรษะมิใช่ว่ายังอยู่ดีหรอกหรือ? ศีรษะยังสับเปลี่ยนได้ นับประสาอะไรกับปอดเล่า’ นักบวชชุดม่วงทะนงตน
ราชันปีศาจถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็วางใจแล้ว ‘เปิ่นหวางทราบดีว่าวิชาแพทย์ของปรมาจารย์เลิศล้ำ อืม เปิ่นหวางยังคงเชื่อถือปรมาจารย์ยิ่ง มีแต่ต้องทำเช่นนี้น้องหญิงถึงจะรอดชีวิตไปได้อย่างแท้จริง’
นักบวชชุดม่วงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ‘ความหมายขององค์ราชันคือ หลังจากสับเปลี่ยนศีรษะแล้ว ต่อไปจะให้สาวใช้นางนั้นรับโทษแทนองค์หญิงหรือ?’
ราชันปีศาจชะงักไปแวบหนึ่ง ทว่าไม่ได้ปิดบัง ‘แน่นอน หนึ่งชีวิตอันไร้ค่าของสาวใช้คนนั้นแลกกับชีวิตอันสูงศักดิ์ขององค์หญิง นับเป็นวาสนาของนางแล้ว…หรือว่าปรมาจารย์มีความคิดเห็นอื่นใดในเรื่องนี้?’
นักบวชชุดม่วงสะบัดชายชุด น้ำเสียงเฉยเมย ‘ข้าผู้เป็นนักบวชรับผิดชอบเพียงเยียวยารักษาผู้คน ไม่ยุ่งเรื่องอื่น! องค์ราชันจ่ายเงินแล้ว ในสายตาของข้าผู้เป็นนักบวช องค์หญิงก็เป็นเพียงคนไข้ มิใช่นักโทษประหาร’
ราชันปีศาจยิ้มอย่างโล่งใจ ‘ปรมาจารย์เป็นผู้รู้ความโดยแท้’ แล้วเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า ‘อูเชียนเหยียนคนนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่ต้องตายอยู่แล้ว ได้ช่วยชีวิตของน้องหญิงก็นับว่ามีบุญมหาศาลแล้ว มิได้ตายอย่างเสียเปล่า’
นักบวชชุดม่วงราบเรียบไร้ระลอกอารมณ์ ‘เกรงว่าก่อนตายนางจะกรีดร้องโวยวาย ทำลายชื่อเสียงขององค์ราชันน่ะสิ เรื่องนี้องค์ราชายังคงต้องจัดการด้วยตัวเองอยู่’
แววเหี้ยมโหดวาบผ่านนัยน์ตาของราชันปีศาจ ‘ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวปรมาจารย์ก็ทำลายเสียงนางเสียเถิด ทำให้นางไม่อาจก่อเรื่องได้อีก ยอมรับความตายไปเสียก็พอ’