GGS:บทที่ 1044 ขยะกองใหม่

เมื่อซูจิ้งได้เข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ เขาก็ได้เห็นวังวนมิติขนาดใหญ่หมุนวนไปมาอยู่บนท้องฟ้า ขยะปริมาณมหาศาลได้ไหลลงมาอย่างไม่หยุดยั้งและพวกมันก็ได้ลอยเคว้งคว้างอยู่บนอากาศด้วยสนามแม่เหล็กพิเศษของฉิงหยุน
เพียงซูจิ้งได้ปลายตามองไปทั่วๆก็ถึงกับต้องทำหน้าโง่งมพร้อมเบิกตาโตในทันที นั่นก็เพราะขยะห้วงเวลาฯในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เขาเห็นนั้นในตอนนี้มีแต่สีเขียวของต้นไม้นานาพันธุ์ แม้แต่พวกสัตว์ก็ร่วงหล่นลงมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนู เต่า นก แม้แต่ผีเสื้อ เรียกได้ว่าหากมันเป็นขยะ ก็สมควรจะเป็นขยะที่คัดแยกไว้แล้วอีกทีหนึ่ง
“แม่…เอ๊ย นี่มันขยะหรือสวนสัตว์กันเนี่ย” ซูจิ้งได้อดที่จะสบถออกมาด้วยความตกใจหลังจากเห็นสัตว์นานาชนิดและต้นไม้นานาพันธุ์อย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขานั้นก็ยังพอที่จะเห็นขยะอย่างอื่นอย่งเครื่องมือ เศษผ้า หม้อแตกๆ หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ไม้พังๆอยู่เหมือนกัน นี่ก็ยังพอจะเรียกได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้ยังพอมีของดีๆอยู่บ้างอย่างแน่นอน

เป็นไปได้ว่าการที่สิ่งที่หล่นลงมาส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์นั้นเป็นเพราะว่ามันถูกทิ้งไว้นานมากจนมีพืชปกคลุม อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นป่าย่อมๆหรือสวนสวรรค์ของสรรพสัตว์เลยก็ว่าได้
ซูจิ้งได้ทำการประเมินขยะที่ไม่ใช่พืชพรรณและสรรพสัตว์ในทันทีที่เห็น เขาประเมินโดยคร่าวๆจากเครื่องมือหิน เฟอร์นิเจอร์ไม้ เศษผ้า และหม้อแตกๆเหล่านั้น
เขาประเมินได้ในเบื้องต้นว่าห้วงเวลาฯที่ขยะกองนี้จากมาสมควรจะเป็นยุคที่เก่าแก่พอสมควร และดูจากที่พวกมันมีการเปียกชื้นพอสมควร นี่แสดงว่าต้องมาจากพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ

หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาก็ได้หยุดไหลลงมา และวังวนมิติก็ได้หายไป ซูจิ้งจึงเริ่มเข้าไปจัดการพวกสัตว์ก่อนเป็นอย่างแรก
โดยส่วนใหญ่แล้วเท่าที่เขาดู สัตว์พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ป่า ไม่ต้องบอกเลยว่าพวกมันนั้นจะอยู่ในสภาวะแตกตื่นและโกลาหลกันขนาดไหน
ซูจิ้งได้จัดการโดยปลดปล่อยพลังจิตของตัวเองให้ครอบคลุมพื้นที่ในทันทีเพื่อควบคุม แล้วทำการทำพันธสัญญากับพวกมันทั้งหมดในทันที
เมื่อทำพันธสัญญาได้หมดเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งได้ตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาพบว่าพวกมันล้วนแล้วแต่มีลักษณะทางกายภาพที่แปลกประหลาดและไม่เคยเห็นที่ไหนบนโลกมาก่อนอย่างแน่นอน

ตัวอย่างเช่นเต่าที่มีหลอดไฟสีเหลืองอยู่ที่หัวที่มีเกล็ดที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามอยู่บนยอดของมัน
กระดองหลังของมันนั้นเหมือนหลังช้าง มีลวดลายสีดำขนาดใหญ่พาดผ่านตรงกลางราวกับโล่ของพวกยุโรปยุคกลาง มันนั้นมีหลายแผลบาดลึกอยู่กลางหลัง ขาของมันเองก็มีเกล็ดที่ยับยู่ยี่ราวกับหนังช้างก็ไม่ปาน
ซูจิ้งสาบานได้เลยว่าเขานั้นไม่เคยเห็นเต่าที่หน้าตาแบบนี้มาก่อน

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือหนูฝูงนี้ พวกมันนั้นมีขนาดเท่าหนูบ้านทั่วไปแต่มีใบหูที่ใหญ่ ขาหน้าของมันสั้นมากและขาหลังของมันก็ยาวและดูทรงพลัง ซูจิ้งบอกได้เลยว่าพวกมันต้องเคลื่อนที่ไปมาด้วยการกระโดดแบบเดียวกับจิ้งโจ้อย่างแน่นอน
นอกจากหนูจำพวกนี้แล้วยังมีหนูอีกจำพวกหหนึ่งที่ลำตัวส่วนบนเป็นสีน้ำตาลเข้มแต่ส่วนล่างของมันกลับมีสีขาวปลอด รูปร่างของพวกมันเองก็ดูน่ารักต่างจากหนูทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

อีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเด่นหน่อยก็เป็นผีเสื้อ พวกมันส่วนใหญ่แล้วมีขนาดใหญ่มาก แต่ละตัวเองก็มีความสวยงามไม่ซ้ำกันแต่ก็แปลกตาเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าแต่ละตัวมีลวดลายของตัวเองก็ว่าได้
ลวดลายของปีกมันนั้นแม้แต่ข้างซ้ายและขวาเองก็ยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าข้างซ้ายนั้นสวยงามราวกับหญิงสาว แต่ข้างขวานั้นดูขาวกระจ่างอย่างกับโครงกระดูกเลยทีเดียว

ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ดูแปลกตาอยู่อีกอย่างลิงขนยาวที่มีหูขาว ขนาดซูจิ้งที่ชื่นขอบการดูสารคดีสัตว์โลก เขานั้นชื่นชอบขนาดหาหนังสือมาหาอ่านเพิ่มเติมแล้วมากมายก็ยังไม่คุ้นตากับเจ้าลิงนี่เลยแม้แต่น้อย

พวกนกเองก็ดูแปลกตาไม่ต่างกัน พวกมันมีขนสีน้ำเงินเทาทั่วทั้งตัว
จงอยปากของมันน่าจะสักประมาณยี่สิบสามเซนติเมตรมีสีดำและงุ้มงอพร้อมกับจุดสีแดงเข้มที่ปลายจงอยปาก ปีกของพวกมันสั้นมากจนไม่น่าจะบินได้ และขาของมันใหญ่มากและมีสีเหลืองอร่าม ที่น่าตลกที่สุดคือขนที่ปัดขึ้นที่ตูดของมันอย่างโดดเด่น

ตอนนี้ซูจิ้งรู้สึกได้เลยว่า สัตว์พวกนี้มันดูน่ามหัศจรรย์ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ตำนาน หรือแม้แต่หนังแนววิทยาศาสตร์
“อ่า…. ตอนนี้สถานีกำจัดขยะฯคงต้องเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์ห้วงเวลาแล้วสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ถึงแม้ว่าขยะห้วงเวลากองอื่นนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตที่ติดมาด้วยบ้างก็จริง แต่พวกมันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหายนะของโลกใบนี้
พวกมันแต่ละตัวเรียกได้ว่าแข็งแกร่งถึงขนาดที่หลุดออกจากการควบคุมของสนามแม่เหล็กพิเศษของฉิงหยุนได้อย่างง่ายดาย
แต่กับสิ่งมีชีวิตที่ติดมากับขยะห้วงเวลาฯกองนี้ ถึงพวกมันจะเยอะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ซูจิ้งรู้สึกถึงหายนะแต่อย่างใด
“อืมมมมม พลังวิญญาณของสัตว์เหล่านี้อ่อนแอนัก ความสามารถในการต่อสู้เองก็สมควรจะไม่ได้สูงอย่างแน่นอน
พวกมันสมควรจะไมใช่สัตว์สงคราม สัตว์ประหลาด สัตว์ร้ายหรืออะไรพวกนั้นที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน ไม่รู้เลยแหะว่าจะให้พวกมันทำอะไรดี” ซูจิ้งใช้ความคิดอยู่นานแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
เขาจึงเปลี่ยนเป็นเริ่มจากการหาข้อมูลสัตว์พวกนี้แทนก่อนว่าพอจะมีสายพันธุ์ไหนที่คล้ายกันบ้างรึเปล่า แต่มันก็เหมือนกับคำพูดที่เคยมีคนพูดเอาไว้ว่าขนาดไม่รู้ยังตกใจขนาดนี้ ถ้ารู้จะตกใจขนาดไหน
ยิ่งซูจิ้งค้นข้อมูล เขาก็ยิ่งตกตะลึง และตกตะลึงมากขึ้นตามลำดับจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “ก็ไม่รู้หรอกนะว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากไหน แต่ฉันต้องได้ค่าการใช้ประโยชน์พรุ่งพรวดอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งไม่รอช้า เขาได้โทรศัพท์ไปหาฟานเว่ยเชินที่เป็นผอ.สวนสัตว์และผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเมืองจงหยุนในทันที
อย่างไรก็ตามเขาโทรอยู่นานก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีคนรับสาย เขาจึงต้องเปลี่ยนไปโทรหาซิวจงหงแทน ซิวจงหงที่เห็นเป็นซูจิ้งจึงได้รีบรับสายในทันที
“โอ้…อาจิ้ง นึกยังไงถึงโทรมาได้เนี่ย ช่วงนี้นายน่าจะยุ่งแบบสายตัวแทบขาดนี่นา นับวันนายนี้ช่างยากจะหยังถึงจริงๆ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เอาน่า นายจะมีหน้ามาบอกว่าไม่ขนาดนั้นอีกเหรอ ตอนนี้ชื่อเสียงของนายแทบจะทะลุฟ้าแล้วนา ฉันว่าอีกไม่นานนายคงต้องมีชื่อขึ้นหอเกียรติยศแหงๆ ว่าแต่นี่โทรมามีอะไรล่ะเนี่ย” ซิวจงหงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พอดีฉันโทรหาฟานเว่ยเชินไม่ได้น่ะ เบอร์ที่ฉันมีโทรไปไม่มีคนรับเลย” ซูจิ้งพูดออกมา
“อ้อ เขาเปลี่ยนเบอร์ใหม่น่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งเบอร์ของเขาให้ทีหลังแล้วกัน ว่าแต่นายจะโทรหาเขาทำไมล่ะนั่น” ซิวจงหงถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันอยากจะคุยเรื่องธุรกิจกับสวนสัตว์จงหยุน”
“ธุรกิจ…ยังไง?”
“เอาง่ายๆฉันแค่จะให้เขามอบสวนสัตว์ให้ฉันเท่านั้นเอง”
“ห้ะ ธุรกิจกับผีน่ะสิ นี่มันปล้นกันชัดๆ” ซิวจงหงอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เรื่องนี้ฉันเชื่อว่าเขาต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ฉันว่าจะดีกว่าน้า…ถ้าเธอจะช่วยคุยให้ฉันน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันคุยให้ก็ได้แต่ต้องบอกมาก่อนว่านายจะเอาสวนสัตว์ไปทำอะไร ถึงแม้สัตว์เลี้ยงของนายจะสวยงามและชาญฉลาดมากก็จริง แต่ด้วยจำนวนเท่านั้นก็ไม่ได้มากพอสำหรับการทำให้เป็นสวนสัตว์หรอกนะ” ซิวจงหงพูดออกมา
“แน่นอนว่าของที่จะให้ผู้คนได้ดูนั้นย่อมไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่จะเป็นอะไรนั้นฉันว่าคงต้องรอให้เห็นด้วยตาของตัวเองนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“อะไร นี่คิดจะแกล้งฉันอีกรึไง แต่ก็เอานะ ในเมื่อนายเอ่ยปากมาขนาดนี้แสดงว่าอยากได้จริงๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันโทรไปคุยกับฟานเว่ยเชินก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะโทรไปบอกอีกที”
“รบกวนหน่อยน้า…ลูกพี่….”

หลังจากวางสาย ซิวจงหงได้โทรหาฟานเว่ยเชิน เมื่อเขาได้ยินว่าซูจิ้งต้องการสวนสัตว์ของเขา เขาถึงกับนิ่งเงียบและพูดไม่ออกในทันที
เขานั้นนึกสงสัยอย่างมากว่าซูจิ้งนั้นจะเอาสวนสัตว์ไปทำอะไร เขาเองถึงแม้จะรู้จักซูจิ้งเพียงเล็กน้อยแต่เขาเองก็ตระหนักถึงสถานะของซูจิ้งเช่นเดียวกัน
ซิวจงหงที่พอรู้เรื่องราวอยู่บ้างก็เลยเสนอว่าให้ทั้งสองมาเจอหน้าและคุยกันดีๆเขาจึงยอมตกลงด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่คิดจะขายก็จริงแต่กับซูจิ้งในตอนนี้ ยังไงซะ หากจะปฏิเสธก็ควรจะทำต่อหน้าจะดีที่สุด

เย็นวันนั้น ซูจิ้ง ซิวจงหง และฟานเว่ยเชินได้นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองจองหยุน หลังจากสั่งอาหารกันแล้ว ฟานเว่ยเชินก็ได้เปิดประเด็นถามตรงๆในทันที เขาได้พูดออกมาว่า
“คุณซู ทำไมอยู่ๆคุณถึงสนใจสวนสัตว์ขึ้นมาล่ะ ธุรกิจของคุณก็ทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาลอยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องมาสนใจกับธุรกิจเล็กๆอย่างสวนสัตว์นี่เลย”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้นะครับว่ามันเป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆ หากว่าจัดการดีๆล่ะก็กำไรของมันก็ดีพอตัวเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อออ แต่ผมมีธุรกิจในชีวิตนี้แค่ที่เดียวนี่สิ” ฟานเว่ยเชินแสดงความรู้สึกในใจออกมา
“เอาจริงๆผมเองก็ไม่ต้องการถึงขั้นที่ว่าให้คุณขายหรอกนะ พวกเรายังร่วมหุ้นกันได้อยู่ ตราบใดที่คุณยอมจะให้ผมถือหุ้นไว้ส่วนมากละก็ผมเองจะยอมให้ดูสัตว์ที่ผมจะนำไปจัดแสดงที่สวนสัตว์ตัวเป็นๆเลยเอ้า” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมาก่อนที่เขาจะหยิบรูปถ่ายออกมาสักโหลหนึ่งเห็นจะได้
เพียงแวบได้ที่เห็นฟานเว่ยเชินและซิวจงหงต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันก่อนที่จะค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆรูปถ่าย เพียงชั่วขณะหนึ่ง สายตาทั้งสองคู่แถบจะถลนออกมาในทันที