บทที่ 736 คิดบัญชีแค้นคนโฉด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 736 คิดบัญชีแค้นคนโฉด

ท่านอ๋องน้อย?

ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าท่านอ๋องจะต้องเป็นผู้ที่มีเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากนี้อีกแล้ว

อย่างเช่น ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันที่ถูกหลินเป่ยเฉินฆ่าตายระหว่างปลอมตัวเป็นเซียวปิง

และครั้งนี้ ท่านอ๋องน้อยอีกหนึ่งคนก็ร่างกายระเบิดกระจายตายไปเสียแล้ว

“นี่ เจ้าหยุดกินก่อนดีหรือไม่”

หลินเป่ยเฉินใช้นิ้วสะกิดไหล่เซียวปิงและพูดว่า “ยินดีด้วยนะ เจ้าเพิ่งสังหารเชื้อพระวงศ์อีกคนหนึ่งแล้ว จักรวรรดิคงเพิ่มค่าหัวเจ้ามากกว่าเดิมเป็นสองเท่าแน่นอน”

เซียวปิงอ้าปากเหวอด้วยความตกตะลึง

ฉับพลันนั้น เนื้อไก่ในปากของเขาก็ไม่มีรสชาติเอร็ดอร่อยอีกแล้ว

“บัดนี้ เจ้ากลายเป็นผู้สังหารท่านอ๋องมืออาชีพไปแล้วล่ะ”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเครียด “ยังจะมีอารมณ์มายืนกินน่องไก่ได้อีกหรือ? นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร?”

เซียวปิงกลืนเนื้อไก่ลงคอและพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ ข้าควรทำอย่างไรดี?”

“แน่นอนว่าควรฆ่าคนสิ”

หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังกลุ่มชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียวที่ยืนอยู่หน้าตึกสีเลือดหมู

หลังจากหายตกตะลึงแล้ว เซียวปิงก็เข้าใจความหมายของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มร่างอ้วนเก็บปืนไรเฟิล 98k และวิ่งทะยานเข้าไปหากลุ่มชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมาย

ถึงวันๆ จะเอาแต่กินน่องไก่ต้ม ทว่าระดับพลังของเซียวปิงก็ไม่ต่ำต้อย

เขาฝึกต่อสู้อยู่กับอากวงในทุกวัน และถ้าอยากจะเพิ่มทักษะการต่อสู้มากกว่านั้น เซียวปิงก็จะเข้าไปรับการฝึกพิเศษในเกม Lost Castle พลังลมปราณในร่างกายของเขาจึงเพิ่มขึ้นทวีคูณ ยามลงสู่สนามรบเมื่อต้องปกป้องกำแพงเมืองเขตหนึ่ง เซียวปิงก็มีความดุดันไม่แพ้เฉียนเหมยเลยทีเดียว

วูบ!

ดาบใหญ่ปรากฏขึ้นมาในมือของเซียวปิง

ตัวคนเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งกว่าสายลม

คมดาบสาดประกายระยิบระยับ

เซียวปิงไม่พูดอะไรมาก เขาเหวี่ยงดาบไปรอบตัวด้วยความคล่องแคล่ว เพียงพริบตาเดียว กลุ่มชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียวก็ล้มลงไปนอนทอดร่างอยู่ท่ามกลางกองเลือดสีแดงสด

เสี่ยวเย่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างถึงกับปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

กี่คนแล้วนะ

วันนี้ผู้ที่มีสถานะเป็นท่านอ๋องน้อยต้องเสียชีวิตไปกี่คนแล้ว?

ให้ตายเถอะ

นี่คือสิ่งที่เสี่ยวเย่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต

น้ำตาของนายทหารหนุ่มแทบจะไหลออกจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว

ทำไมกันนะ…?

ทำไมเขาถึงต้องมีส่วนรู้เห็นเรื่องราวเช่นนี้ด้วย!!

ใบหน้าของเสี่ยวเย่กระตุกมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเวลาเดียวกันนี้

หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองก็บุกเข้ายึดครองตึกสูงสีเลือดหมูได้สำเร็จ

ด้านในตึก ได้ยินเสียงอู๋หงร้องไห้ปานจะขาดใจ

ได้ยินดังนั้น หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็แทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

อย่าบอกนะว่า…

เขารีบวิ่งเข้าไปด้านในตึกทันที

จึงได้เห็นว่าอู๋หงกำลังประคองซากศพที่มีเลือดท่วมตัวของใครบางคนอยู่ในอ้อมแขน

อู๋หงร้องไห้สะอึกสะอื้น

รอบกายของนางเต็มไปด้วยซากศพถึง 16 ศพ แต่ละศพมีสภาพเนื้อตัวเปื้อนเลือดและปรากฏบาดแผลจากการถูกทรมานทุกรูปแบบ แม้กระทั่งใบหน้าก็แทบไม่เหลือเค้าโครงของหน้ามนุษย์อีกต่อไป

ชุดสีขาวแปดเปื้อนด้วยโลหิตสีแดง…

“ท่านพี่… นี่พวกเรา…”

เซียวปิงดวงตาแดงก่ำ น่องไก่ที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งถูกกำอย่างแรงจนแหลกละเอียดคามือ เขากัดฟันกรอดขณะพูดว่า “พวกเรา… มาช้าเกินไป… พวกนางจึงต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน… ฮื่อ!”

แล้วเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ร้องไห้โฮออกมาเช่นกัน

บรรยากาศในตึกหลังนี้ปกคลุมด้วยความเศร้าและความเกลียดชัง

ใช่แล้ว

เฟิงซือเหนียงและเพื่อนร่วมชะตากรรมของนางถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม

เนื่องเพราะก่อนหน้านี้ อู๋หงสามารถหลบหนีออกไปจากป้อมอสรพิษได้สำเร็จ จึงสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่คนของป้อมอสรพิษเป็นอย่างมาก พวกมันจึงมาระบายความแค้นกับพวกนางโดยการทรมานด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณที่สุด

ดังนั้น เมื่ออู๋หงพาผู้คนมาช่วยเหลือในขณะนี้ พวกเขาจึงพบเพียงซากศพและหลักฐานของการถูกทรมานเท่านั้น ผิวหนังของผู้เสียชีวิตแทบจะไม่มีอยู่ติดกับร่างกาย พวกนางถูกจับแขวนอยู่บนกำแพงอย่างวิปริต เลือดในกายไหลลงมาสู่รางระบายน้ำที่ด้านล่าง…

“ซือเหนียง ข้าทำให้ท่านต้องตาย ซือเหนียง…”

อู๋หงโอบกอดร่างของเฟิงซือเหนียง ร่ำไห้ออกมาราวกับเป็นเด็กน้อย

“ข้าไม่ควรเชื่อท่านเลย ข้าไม่ควรหนีออกไปจากที่นี่เพียงผู้เดียว ท่านเป็นคนวางแผนทั้งหมด ท่านเป็นคนให้ความหวังกับพวกเรา ข้าอุตส่าห์ยืนยันให้ท่านหลบหนีมาด้วยกัน แต่ท่านก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่าต้องอยู่ดูแลพี่น้องคนอื่นๆ ที่นี่ ท่าน…”

อู๋หงร้องไห้แทบขาดใจ

“ซือเหนียง ท่านสมควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ สวรรค์ไม่ยุติธรรม…”

“ซือเหนียง จงหลับให้สบายเถิดนะ ข้าจะพาท่านกลับไปฝังร่วมกับเสี่ยวหลิง ในที่สุด พวกท่านแม่ลูกก็จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

อู๋หงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะต้องพบเจอความลำบากแสนสาหัส รวมไปถึงต้องพบเจอความเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่มีสักครั้งที่อู๋หงจะเสียน้ำตาแม้หยดเดียว

ทว่าบัดนี้…

หญิงสาวผู้มีร่างกายกำยำไม่ต่างจากบุรุษผู้หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องแสดงความอ่อนแอของสตรีออกมา

หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าตนเองสมควรปลอบโยนนางอย่างไรดี

พลัน เด็กหนุ่มนึกถึงภาพจำของเฟิงซือเหนียงและหญิงสาวผู้เป็นสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ

พวกนางเป็นกลุ่มหญิงสาวที่มีความสดใสและรักในอิสรเสรี

ถึงพวกนางจะเป็นสตรี แต่ก็ดูแลกันและกันอย่างอบอุ่นสามัคคี ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุรุษ พวกนางใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ควรค่าต่อการได้รับความเคารพยกย่อง

เฟิงซือเหนียงถือเป็นเจ้าสำนักที่มีสง่าราศีและหน้าตางดงาม โชคร้ายที่แต่งงานกับคนผิด สุดท้ายจึงมีชีวิตที่ขมขื่น แต่นางก็ไม่กล่าวโทษผู้ใด เฟิงซือเหนียงรวบรวมพี่น้องสตรีนักล่าอสูรตั้งสำนักพึ่งพาตนเอง และสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องผู้คนได้โดยไม่ต้องอับอายผู้ใด…

พวกนางเป็นคนดี

พวกนางสมควรมีชีวิตที่ปกติสุขและอบอุ่น

แต่โชคร้ายที่โลกนี้อำมหิตมากเกินไป

ความสุขและความอบอุ่นเหล่านั้นถูกพรากไปจากพวกนาง

ความรู้สึกเหล่านี้คือไฟแค้นที่แผดเผาอยู่ในใจหลินเป่ยเฉิน

เขาไม่สนใจเรื่องคลังสมบัติที่อยู่ในป้อมอสรพิษอีกแล้ว

สมควรตาย!

พวกมันสมควรตายไปให้หมด!!

ล้างบาง

เขาต้องล้างบางพวกมันให้หมด

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

เลือดล้างเลือด

ชีวิตแลกด้วยชีวิต

เสี่ยวเย่ผู้เดินตามอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินก็พบเห็นซากศพที่น่าอนาถของหญิงสาวผู้น่าสงสารเหล่านี้ เมื่อสลัดความตกตะลึงออกไปได้ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ที่ผ่านมา เสี่ยวเย่เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าป้อมอสรพิษเป็นสถานที่แห่งความเลวร้าย มักจะกระทำเรื่องราวที่ผิดศีลธรรมอยู่บ่อยครั้ง

แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะชั่วร้ายถึงเพียงนี้

ความโหดเหี้ยมของพวกมันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก

ไม่สิ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่เลวทรามถึงขนาดนี้

“อภัยให้ไม่ได้ พวกมันสมควรตายกันทั้งหมด”

เสี่ยวเย่ระเบิดเสียงคำราม

สัญชาตญาณดิบในตัวเขาถูกปลุกขึ้นมา

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบไหล่หญิงสาวร่างกำยำและพูดว่า “พี่อู๋หง พวกเราเก็บศพของท่านพี่ซือเหนียงกับทุกคนก่อนดีกว่า หลังจากนั้น ท่านกับข้าจะมาคิดบัญชีแทนพวกมัน เมื่อพวกเราร่วมมือกัน แม้แต่ภูตผีสักตัวก็จะปล่อยให้หลงเหลืออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป”

อู๋หงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาหลินเป่ยเฉิน

“ประเสริฐ”

นางถอดเสื้อคลุมของตนเองออกมาห่มให้แก่ร่างไร้วิญญาณของเฟิงซือเหนียง

จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน

อู๋หงสวมใส่ชุดเกราะหนามแหลมที่ป้องกันหน้าอกและแผ่นหลัง ซึ่งดูเข้ากับร่างกายกำยำของนางเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้นางจะดูซูบผอมไปเล็กน้อยเพราะโดนทรมานอยู่หลายเดือน แต่กล้ามเนื้อหัวไหล่ ช่วงแขน เอวและหน้าท้องยังคงอัดแน่นเป็นมัดๆ รอยแผลเป็นทุกชนิด ไม่ว่าจะจากการถูกไฟเผา แผลจากคมกระบี่ แผลจากแส้ แผลจากยาพิษ… ต่างก็เป็นร่องรอยแห่งความระลึกถึงช่วงเวลาที่เลวร้าย ซึ่งนางต้องเผชิญเมื่อถูกจับตัวอยู่ในป้อมอสรพิษแห่งนี้

“ต่อให้ต้องตาย วันนี้ข้าก็จะล้างแค้นให้แก่ซือเหนียงให้จงได้”

อู๋หงกัดฟันกรอด

ดวงตาของนางมีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า

“ท่านพี่อู๋หงไม่ต้องตายหรอกขอรับ แค่ใช้กำปั้นและกระบี่ของท่านในการแก้แค้นก็พอแล้ว…”

หลินเป่ยเฉินว่า “เตรียมตัวให้ดี ข้ากำลังจะมอบพลังให้ท่านได้ไปแก้แค้นพวกมัน”

เมื่อพูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็เปิดสัญญาณไวไฟ และค้นหาชื่อของหญิงสาวในรายชื่อตัวรับสัญญาณ

ปรากฏชื่อของอู๋หงในรายชื่อตัวรับสัญญาณอย่างที่คิด

สัญญาณขึ้นเต็มห้าขีด

หลินเป่ยเฉินกดเชื่อมต่อ

แล้วพลังแห่งความโกรธแค้นในตัวเขาก็ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของนักล่าอสูรหญิงผู้นี้

อู๋หงระเบิดเสียงคำราม รู้สึกได้ว่าร่างกายมีพลังเพิ่มพูนมากขึ้น

นางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากนั้น เนื้อตัวจึงสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น

นี่คือพลังที่มากมายมหาศาลนัก

ต่อให้วิญญาณของนางต้องแหลกสลาย แต่ถ้าแลกมาด้วยการรับพลังเหล่านี้เพื่อแก้แค้นให้แก่ซือเหนียงและคนอื่นๆ อู๋หงก็ไม่คิดหวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว

“ไปเถิด”

หลินเป่ยเฉินเดินกลับมายืนอยู่หน้าตึกสีเลือดหมูและตะโกนออกคำสั่งว่า “ทุกคนฟังให้ดี นับจากนี้ไปไม่ต้องระวังว่าจะทำให้สิ่งของหรือสถานที่เสียหายอีกแล้ว ไม่ว่าพบเจอผู้ใด พวกเจ้าสามารถฆ่าตายได้โดยทันที… บัดนี้ เป้าหมายเดียวของพวกเราคือ… การแก้แค้น!”

“แก้แค้น”

“แก้แค้น”

“แก้แค้น”

นายทหารคนงานขุดเหมืองประสานเสียงคำรามดังก้องกระหึ่ม

กลุ่มคนผู้โกรธแค้นบุกทะลวงเข้าไปในป้อมอสรพิษ

ในที่สุด สมาชิกระดับสูงของป้อมอสรพิษก็ต้องตื่นตัวแล้ว

พลังกดดันของยอดฝีมือจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของหมู่ตึกด้านใน

บังเกิดแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ต่างไปจากกระบี่เล่มหนึ่งที่พยายามตัดผืนฟ้าให้ขาดออกจากกัน

นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

เงาร่างหลายสิบสายลอยเข้ามาทางตึกสูงสีเลือดหมู

“ใครกันบังอาจมาก่อความวุ่นวายในป้อมอสรพิษ?”

เสียงตะโกนดังกึกก้องท้องนภา เงาร่างหลายสายทิ้งตัวลงมายืนขวางหน้ากลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมือง และผู้นำกลุ่มผู้พิทักษ์หมู่ตึกเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลงเสี่ยวเถียนซึ่งเคยหักหลังฉุยเฮาเฟิงในอดีตนั่นเอง…

นอกจากนั้น ยังมียอดฝีมือจากเมืองเจี้ยนหยวนอย่างเฉินตงหยางรวมอยู่ด้วยเช่นกัน

“ฆ่าพวกมันให้หมด!”

หลินเป่ยเฉินตะโกนออกคำสั่ง

เมื่อได้รับพลังวิเศษจากหลินเป่ยเฉิน อู๋หงก็วิ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามด้วยความดุดันไม่ต่างจากสัตว์ร้ายกระหายเลือด

ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่หลงเสี่ยวเถียน

เพราะเจ้าหน้าที่ผู้นี้เป็นแขกขาประจำของป้อมอสรพิษ

เขาคือชายโรคจิตที่นำตัวซือเหนียงไปทรมานนับครั้งไม่ถ้วน

วูบ!

กำปั้นถูกต่อยออกไป

“เป็นเจ้าเองหรือ?”

หลงเสี่ยวเถียนจำหน้าอู๋หงได้ดี จึงหัวเราะเยาะและพูดว่า “เป็นเพียงสตรีต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงมาอาละวาดต่อหน้าข้า วันนี้แหละข้าจะทำให้เจ้า…อ๊ะ…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค

กำปั้นของอู๋หงก็กระแทกเข้าใส่หัวไหล่ของหลงเสี่ยวเถียนเต็มแรง

“เจ้าต้องตาย”

อู๋หงไม่ต่างจากวิญญาณแค้นที่กลับขึ้นมาจากขุมนรก นางกระชากลำคอของหลงเสี่ยวเถียนเหวี่ยงลงไปบนพื้นดิน ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อม แล้วก้มหัวลงกัดกระชากกล้ามเนื้อบนใบหน้าของอีกฝ่ายขาดร่องแร่ง…

“อ๊าก…”

หลงเสี่ยวเถียนร้องโหยหวน

พยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง

แต่ผู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้คืออู๋หงซึ่งได้รับพลังพิเศษมาจากหลินเป่ยเฉิน เจ้าหน้าที่โรคจิตจึงมีสภาพไม่ต่างไปจากมุสิกที่อยู่ในอุ้งเท้าเสือร้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางรอดอีกแล้ว

อู๋หงลงมือด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต นางกัดกระชากกล้ามเนื้อบนใบหน้าชายโรคจิต ตามด้วยหักแขนหักขา และรัวหมัดใส่ร่างกายหลงเสี่ยวเถียนระบายความแค้นที่อัดแน่นเต็มหัวใจ

หลงเสี่ยวเถียนพยายามส่งเสียงร้องขอความเมตตา “ไม่นะ ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย ปล่อยข้าไปเถิด ข้าเป็นคนของทางการ ข้าเป็นคนขององค์จักรพรรดินะ…”

“เฮอะ”

อู๋หงเลียเลือดที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของตนเอง ก่อนพูดว่า “คนขององค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่มีค่ามากพอหรอก”

ผลั่ก!

หลังจากนั้น กำปั้นของอู๋หงก็กระแทกศีรษะหลงเสี่ยวเถียนแตกกระจายเป็นม่านหมอกเลือด

พลัน อู๋หงลุกขึ้นยืนหันไปมองหน้าผู้พิทักษ์หมู่ตึกคนอื่นๆ ของป้อมอสรพิษ

ในเวลาเดียวกันนี้ เฉียนเหมยก็สามารถสังหารผู้พิทักษ์ตึกไปได้ถึงสามคนแล้ว

ในขณะที่นายทหารหน่วยคนงานขุดเหมืองก็บุกโจมตีเข้ามาไม่ต่างจากฝูงสิงโตบ้าคลั่ง

“คนต่อไปคือเจ้า”

อู๋หงโผกายพุ่งเข้าไปหาเฉินตงหยางด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด