ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 631 ข้าเนื้อหอมน่าดู

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในใจถึงแม้จะมีข้อกังขา แต่พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็อยู่ที่หอสักการะย่อยสำนักความมืดบนเกาะเซิ่งเหออย่างว่าง่าย

กิจกรรมในยามปกติของพวกเขาก็ไม่ได้ถูกจำกัด มีอิสระเสรียิ่ง

มีอะไรต้องการ ส่วนใหญ่สำนักความมืดจะพยายามหามาให้

หากต้องการพบยอดฝีมือระดับสูงเช่นเนี่ยเซิ่ง ก็ไม่ถูกปฏิเสธเช่นกัน

ทว่าคนในสำนักความมืดกลับไม่พูดถึงหัวข้อต่อไป โดยเฉพาะยังไม่พูดถึงเรื่องที่จะพาพวกเยี่ยนจ้าวเกอไปยังหอสักการะหลัก

“ต้องใช้เวลาพิสูจน์ข่าวการตายของพวกเติ้งเซิงที่เป็นยอดฝีมือสำนักแสงสว่างหรือ?” อาหู่เกาศีรษะ “หรือมีเรื่องอื่นจริงๆ?”

รอบๆ หอสักการะย่อยสำนักความมืดมีเมืองหลายเมืองตั้งอยู่ ในเมืองค่อนข้างคึกครื้น พวกเยี่ยนจ้าวเกอสามคนเดินเล่นอยู่กลางเมือง สำรวจทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่

ครั้นได้ยินคำถามของอาหู่ เยี่ยนจ้าวเกอตอบก็อย่างไม่รีบร้อน “ดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาสักพักก่อน”

เขากวาดสายตามองรอบๆ เห็นในเมืองมีจอมยุทธ์อยู่จำนวนไม่น้อย นอกจากลูกศิษย์สำนักความมืด ยังมีคนจากขุมกำลังสำนักอื่นบนเกาะเซิ่งเหอด้วย

ทุกคนมีพลังฝึกปรือบ้างสูงบ้างต่ำ แต่ว่าคนที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้าต่ำมีจำนวนมากกว่า เห็นจอมยุทธ์ระดับหลอมกายจำนวนไม่น้อย

เหล่าพ่อค้าที่ทำมาค้าขายอยู่ในเมือง มีทั้งจอมยุทธ์และคนธรรมดาที่ไม่ฝึกวรยุทธ์

เยี่ยนจ้าวเกอเดินอยู่ในเมืองอย่างสนอกสนใจ

สังคมของที่นี่ค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเฉพาะคนที่ฝึกวรยุทธ์ไม่มีอะไรให้กริ่งเกรง เดินได้พักเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็พบว่ามีสตรีวัยเยาว์หลายคนชะม้ายชายตามองเขาอยู่

เพียงแต่หลังจากเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้างเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างก็ละสายตากลับอย่างอิจฉาและจนปัญญา

“ข้าเนื้อหอมน่าดู” เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิง พูดกลั้วหัวเราะ ท่าทางได้ใจอย่างอธิบายไม่ถูก

เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “สมควรซ่อนท่านไม่ให้พบเจอผู้คน”

ทั้งสองสบตากัน ต่างส่ายหน้าและอดหัวเราะขึ้นไม่ได้

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมืองที่มีชื่อเสียงอะไรมาก ระดับมาตรฐานเองก็ค่อนข้างต่ำ กระนั้นขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอเดินเล่น กลับเห็นสิ่งของที่ภายนอกดูธรรมดา แต่ไม่มีในโลกแปดพิภพ และโลกผืนสมุทรอยู่ไม่น้อย

ก่อนวิกฤตการณ์ ของเหล่านี้มีให้เห็นมากมาย แต่ว่าวิกฤตการณ์ทำให้ของหลายอย่างสาปสูญไป

แต่แค่ดูจากร้านค้าเล็กๆ ในเมืองขนาดเล็กก็รู้แล้วว่า มีของหลายอย่างเหลืออยู่ในโลกซ้อนโลก

บางทีก็มีของที่สูญหายไปบ้าง ถึงขั้นที่ที่นี่ไม่มี แต่โลกเบื้องล่างกลับมี

กระนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ร่องรอยของมหาจักรวาลก่อนวิกฤตการณ์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในโลกซ้อนโลก มีมากที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด

พวกเยี่ยนจ้าวเกอกำลังคาดเดาอยู่ว่าสำนักความมืดมีแผนการอะไร ส่วนเนี่ยเซิ่งซึ่งเป็นผู้อาวุโสสำนักความมืดหลังจากหาที่พักให้พวกเขาแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกที่สุดของหอสักการะย่อยของสำนักความมืดแห่งนี้

ณ ที่แห่งนั้น ด้านในห้องสงบใจห้องหนึ่ง มีชายชราในอาภรณ์สีดำกำลังมองค่ายกลเบื้่องหน้าอย่างเหม่อลอย

ค่ายกลนี้เหมือนกับถูกครอบคลุมอยู่ในหมอกสีดำผืนหนึ่ง ไม่มีประกายวิญญาณของค่ายกลแม้แต่น้อย

เนี่ยเซิ่งเข้าไปในห้องสงบใจ คารวะผู้อาวุโสอาภรณ์ดำ “ผู้อาวุโสอู๋”

อู๋จื่อซิว ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งตำหนักไร้แสงของสำนักความมืด ยังคงมองค่ายกลตรงหน้า ไม่ได้หมุนตัวกลับมา “ไม่ต้องมากพิธี”

ผู้อ่อนอาวุโสกว่ามาถึงด้านข้างอู๋จื่อซิว กล่าวว่า “แม้จะอายุน้อย แต่ระวังคำพูดยิ่ง ไม่อาจล้วงเอาสิ่งที่มีประโยชน์มาได้”

เมื่ออู๋จื่อซิวได้ยินก็ผงกศีรษะเล็กน้อย เงียบงันไม่พูดจา

เนี่ยเซิ่งมองค่ายกลตรงหน้าแวบหนึ่ง “ผู้อาวุโสอู๋ จะส่งพวกเขาไปก่อนหรือไม่? พิธีไว้อาลัยใกล้จะมาถึงแล้ว ปล่อยให้คนนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ไม่เหมาะสม แน่นอน ยิ่งไม่อาจส่งไปยังหอสักการะหลัก”

อู๋จื่อซิวเอ่ย “ถ้าหากไม่พบอะไร ก็ทำได้เพียงส่งพวกเขาไปก่อน ทว่า…”

“ผู้อาวุโสอู๋ ท่านใช่สงสัยอะไรหรือไม่? สงสัยว่าพวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักแสงสว่าง ตั้งใจหลอกลวงพวกเราหรือ?” เนี่ยเซิ่งถาม

“พวกเติ้งเซินสุดท้ายตายหรือไม่ อีกไม่นานก็รู้แล้ว” อู๋จื่อซิวพูดว่า “คนหนุ่มคนนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักแสงสว่าง วรยุทธ์ของเขาไม่ได้มาจากสำนักแสงสว่าง หวังเหวินหมินย่อมมองออก”

“มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมสังหารจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ คนหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์น่าทึ่งจริงๆ วรยุทธ์ที่เขาฝึกฝนสมควรไม่ธรรมดา น่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โต ต่อให้เกี่ยวข้องกับสำนักแสงสว่าง ก็สมควรเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบการร่วมมือ ไม่ใช่สวามิภักดิ์”

“แต่ข้ากลับเอนเอียงเชื่อว่าเขากับคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่พวกเดียวกับสำนักแสงสว่าง”

อู๋จื่อซิวพึมพำ “คนผู้นี้บอกว่ามาจากด้านนอกทะเลหวงเจีย น่าจะเชื่อถือได้ แต่ปัญหาก็คือเขามาจากที่ใด”

“คนหนุ่มผู้นี้เป็นไปได้มากว่ามีเบื้องหลังยอดเยี่ยม หวังเหวินหมินบอกว่าภาษาที่เขาใช้ เป็นภาษาโบราณที่ใช้ก่อนวิกฤตการณ์ใช่หรือไม่”

เนี่ยเซิ่งพยักหน้า “ถูกต้อง”

“ภาษาโบราณที่ใช้ก่อนวิกฤตการณ์ ที่โลกซ้อนโลกในตอนนี้ก็มีคนใช้เช่นกัน” เขาทำความเข้าใจกับคำพูดของอู๋จื่อซิว “ผู้อาวุโสอู๋คาดเดาอะไรได้บ้างแล้วกระมัง?”

อู๋จื่อซิวลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า เขาน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับประมุขตงหนานกระมัง?”

เนี่ยเซิ่งตกใจ “ประมุขตงหนานสมควรไม่ยุ่งเรื่องในทะเลหวงเจียกระมัง? สำหรับพระองค์ เป็นแค่เรื่องเล็ก เหตุใดต้องเสด็จลงมา”

“ถูกต้อง ตามเหตุผลสมควรไม่ใช่” ถึงแม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าของอู๋จื่อซิวกลับเคร่งขรึม ไร้แววผ่อนคลายใดๆ “แต่สำนักเรากับบรรพบุรุษของสำนักแสงสว่าง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ขุมกำลังอื่นไกล…”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเนี่ยเซิ่งก็เคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง “สำนักเก่าวุ่นวายเหมือนหมอกควันผ่านตา ถูกคนจำนวนมากตีชิงตามไฟ ถูกปล้นรอบแล้วรอบเล่า ผ่านไปหลายปี ไม่มีของที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต้องการอีกแล้ว ถ้าหากมี พวกเราสมควรรู้ดีที่สุด”

อู๋จื่อซิวส่ายหน้าเล็กน้อย “อีกฝ่ายใช่ว่าจะคิดเช่นนี้”

เนี่ยเซิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง “หรือว่าทางสำนักแสงสว่างจะมีแผนการอะไร? ก่อนหน้านี้พวกเราเองก็สงสัยว่า เหตุใดพวกเติ้งเซินถึงหายสาปสูญไปไม่ใช่หรือ?”

ผู้อาวุโสอู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่มีความเป็นไปได้นี้”

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น โชคและเคราะห์ที่ว่าสมควรหยั่งคาดไม่ถึง” เนี่ยเซิ่งยิ้มอย่างหนักใจ “สำนักเรากับสำนักแสงสว่าง แม้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ตอนนี้กลับมีราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเป็นศัตรูร่วมกัน ปัจจุบันเป็นเวลาช่วงเวลาที่สงครามหยุดชะงัก ถึงข้าจะคาดหวังให้สำนักแสงสว่างล่มจมอยู่ทุกวินาที ทว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต้องพึ่งพาอาศัยกัน”

อู๋จื่อซิวถอนใจ “ตรวจสอบสถานะของอีกฝ่ายไม่ได้ ก็ไม่อาจจัดการได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไม่อาจส่งไปยังหอสักการะหลัก…”

เนี่ยเซิ่งพยักหน้าด้วยความรู้สึกเดียวกัน “การตรวจสอบว่าพวกเติ้งเซินอยู่หรือตายยังจำเป็นต้องใช้เวลา พวกเราช่วยหอสักการะหลักค้นหาความจริงได้พอดี…”

เขาหัวเราะเสียงขื่น “…ทว่าทางพวกเรายังวุ่นวาย อีกไม่นานพิธีก็จะเริ่มแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกับหอสักการะหลัก”

ผู้อาวุโสอู๋ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ให้ศิษย์ในสำนักสืบหาเบื้องหลังของพวกเขาก่อนดีหรือไม่?”

เนี่ยเซิ่งขมวดคิ้ว “สืบหาอย่างไรหรือขอรับ คนหนุ่มที่มีศักยภาพน่าทึ่งเช่นนี้ ถ้าไม่ผูกมิตรไมตรี ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดลงมือกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด การหยั่งเชิงแบบไม่รู้จักหนักเบา จะทำให้กลายเป็นศัตรูกับเขา หากไม่ฆ่า จะเป็นการเหลือภัยใหญ่ไว้”

อู๋จื่อซิวส่ายหน้า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ความคิดที่แท้จริงของคนหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างไรยังไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยดูจากภายนอก เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อสำนักเรา กลับสร้างความแค้นกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องและสำนักแสงสว่าง

“จะหาความจริง แน่นอนว่ามีวิธีอยู่หลายวิธี”