ตอนที่ 1862 ประตูแห่งสี่ตรา

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ฉู เมื่อสักครู่ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวเกินรับมือข้าได้เห็นศิษย์น้องเล้งนั้นยืนอยู่ไม่ห่างจากเย่หยวนคนนั้นและทั้งคู่ก็ถูกเพลิงกลืนกินไปพร้อมๆ กัน!”

เมื่อสักครู่ที่ผ่านมานั้นคลื่นเพลิงได้โหดซัดกลืนกินชีวิตผู้คนไปอย่างมากมาย

การที่เล้งชิวหลิงจะตายอยู่ภายในมันก็มิใช่เรื่องแปลกใดๆ

“ให้ตายสิ!”

เมื่อเห็นทะเลเพลิงตรงหน้าแล้วฉูชิงก็ได้แต่ร่ำร้องอย่างเจ็บใจ หญิงสาวที่เขาเกิดคิดสนใจขึ้นมาคนนั้นกลับถูกไฟคลอกตายไปเสียง่ายๆ เช่นนี้

แต่ซัวหานกลับมีสีหน้าสุดแสนดีใจเพราะเขาได้ยินว่าเย่หยวนคนนั้นได้ตายลงแล้วในกองไฟ

“ศิษย์พี่ฉูอย่าได้คิดมากไป หญิงสาวนั้นมันมีมากมายเหมือนปลาในมหาสมุทร แม้ว่าเล้งชิวหลิงนั้นจะรูปงามไม่น้อยแต่มันก็ยังมีหญิงสาวอีกมากมายที่พอจะเคียงคู่ศิษย์พี่ฉูได้บ้าง” ซัวหานปลอบ

แน่นอนว่าเมื่อฉูชิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าท่าทางโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยแต่สุดท้ายก็กลับไปทำใบหน้าเสียใจอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่ว่ามันจะมีมากมายเพียงใดแต่การตายนี้ของศิษย์น้องเล้งข้าก็ยังเจ็บแค้นใจนัก!”

ซัวหานยิ้ม “ศิษย์พี่ฉูช่างเป็นคนนับถือน้ำใจ ซัวหานขอคารวะ!”

“เอ๋ พวกเจ้าดูนั่น! มันเหมือนมีคนกำลังเดินอยู่ภายในทะเลเพลิงเลย!”

จู่ๆ ก็มีเสียงร้องบอกขึ้น

นั่นทำให้ทุกคนตื่นตกใจอย่างมากพร้อมหันไปมองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

ตอนที่ไม่เห็นก็ยังใม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อทุกผู้คนได้เห็นภำพนั้นแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง

ภายในทะเลเพลิงที่ว่านี้มีสองเงาร่างกำลังค่อยๆ ปรากฏแก่สายตาพร้อมมุ่งหน้ามาหาพวกเขาทั้งหลาย

“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? ทะเลเพลิงที่แสนรุนแรงปานนี้กลับมีคนที่สามารถเดินเหินอยู่ภายในนั้นได้”

“อืม ข้าเห็นมากับตาว่าแม้แต่นภาสวรรค์สี่ดาวยังมอดไหม้เป็นจุณไปในพริบตา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนเดินเหินอยู่ภายใน?”

“เดี๋ยวนะ มันดูเหมือนจะเป็นคู่ชายหญิง รูปร่างเช่นนี้ดูคุ้นตานัก!”

ไม่ต้องกล่าวต่อไปเมื่อทุกคนเริ่มเห็นเงาร่างทั้งสองชัดเจนขึ้นพวกเขาทั้งหลายก็บอกได้ทันทีว่ามันคือเย่หยวนและเล้งชิวหลิงนั้นเอง

เย่หยวนจับมือข้างหนึ่งของเล้งชิวหลิงไว้ก่อนจะค่อยๆ เดินหลบหลีกมาตามทะเลเพลิงเป็นภาพที่แสนน่าหวาดเสียวจนถึงขั้วหัวใจ

แต่ราวกับว่าเพลิงอันดุร้ายนี้มันหลบหลีกคนทั้งสอง ทำให้ท้ายสุดแล้วพวกเขาทั้งคู่นั้นปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนใดๆ

ซัวหานหน้าเขียวดำขึ้นทันทีด้วยความไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า

ฟุบ!

เย่หยวนกระโดดขึ้นพาเล้งชิวหลิงพุ่งตัวออกมาจากทะเลเพลิงที่โหมไหม้

โดยไม่มีรอยขีดข่วน!

ทุกคนไม่คิดอยากเชื่อสายตาของตน ในทะเลเพลิงที่บ้าคลั่งเช่นนี้คนทั้งสองกลับเดินออกมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน!

เย่หยวนมองดูฉูชิงด้วยท่าทางกลั้นขำ “ศิษย์พี่ฉูท่านนี้ไหนว่าจะคอยปกป้องศิษย์น้องเล้ง? ทำไมท่านถึงได้วิ่งหนีเร็วเสียยิ่งกว่าใครเพื่อนเลยเล่า?”

ฉูชิงแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตัวเขานั้นกล่าวอ้างตัวเหมือนเป็นยอดวีรบุรุษว่าจะปกป้องเล้งชิวหลิงอย่างนั้นอย่างนี้

แต่ตอนนี้เขาคิดหนีนั้นเขากลับพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วกว่าทุกผู้คนไม่คิดเหลียวมามองเล้งชิวหลิงแม้สักครั้ง

“ศิษย์น้องเล้ง ข้า…”

ฉูชิงนั้นกำลังคิดจะอธิบายออกมาแต่กลับได้ยินเสียงเฉยชาของเล้งชิวหลิงขัดขึ้นมาก่อน “ร่างกายของศิษย์พี่ฉูนั้นมีค่าไร้เปรียบได้ มีหรือที่จะมาเสี่ยงชีวิต? ที่สำคัญศิษย์พี่ฉูและข้านั้นก็ไม่ได้เป็นคนรู้จักมักจี่กัน ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เขาต้องมาช่วยเหลือข้าอยู่แล้ว”

ฉูชิงคนนี้เล้งชิวหลิงนั้นดูถูกเหยียดหยามเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ

คำที่เขาว่าเพื่อนยามยากคือเพื่อนแท้นั้นมันย่อมไม่มีทางผิดไปได้

ระหว่างทางเดินมาฉูชิงนั้นพยายามอย่างมากที่จะอวดอ้างตัวเองแต่เมื่อถึงคราวยากลำบากอย่างแท้จริงเขากลับไม่อาจพึ่งพาได้แม้แต่น้อย

คนเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสมที่จะไปฝากฝังภาระหรือความหวังใดๆ ไว้

ฉูชิงคิดหนีอย่างรวดเร็วจนเกินไปทำให้เล้งชิวหลิงนั้นต้องเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงที่ถาโถมด้วยตัวคนเดียว

เล้งชิวหลิงที่ไม่ทันระวังเกือบต้องเสียชีวิตไปให้แก่กองเพลิงนั้นแล้ว

ในเวลาคับขันสุดท้ายก็ยังเป็นเย่หยวนที่ช่วยนำพาเปิดทางนางหนีออกจากกองเพลิงนั้น

แต่เรื่องที่เย่หยวนทำในครั้งนี้เล้งชิวหลิงเองก็ตื่นตะลึงอย่างมากเช่นกัน

พื้นที่รอบกายของทั้งสองนั้นมันคือเพลิงร้ายที่ถาโถมแต่ราวกับว่าเพลิงเหล่านี้มันไม่คิดสนใจที่จะเผาไหม้คนทั้งสองจนทำให้เล้งชิวหลิงนั้นได้แต่รู้สึกมึนงง

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียพื้นที่ที่ถูกเพลิงกลืนกินไปมันก็คือนรกบนดินดีๆ นี่เอง แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้นคนทั้งสองกลับเดินผ่านมาได้อย่างไม่มีอันตรายใดๆ มันช่างเป็นเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์

ได้ยินคำของเล้งชิวหลิง ฉูชิงก็รู้สึกปวดจี้ดขึ้นมาในดวงใจ

ในเวลาหลายปีมานี้เล้งชิวหลิงเป็นหญิงสาวนางแรกที่ทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวได้ ไม่นึกว่าในเวลาชั่วพริบตาสายสัมพันธ์ของทั้งสองมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ไป

เขานั้นมองดูเย่หยวนอย่างดุร้ายคิดโทษความผิดทั้งหมดนี้ให้แก่เย่หยวน

ในหุบเขาที่ด้านหน้านั้นมีเหล่าเทพถ่องแท้มากมายได้ไปถึงก่อนหน้าพวกเขาทั้งหลายแล้ว

เย่หยวนหันมองดูรอบข้างและได้พบว่าเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ต่างได้รับบาดเจ็บกันมาบ้างไม่มากก็น้อย แถมยังมีจำนวนที่ลดลงไปอย่างไม่น้อยเลยด้วย

ดูท่าแล้วค่ายกลวายุนิรันดร์เพลิงสวรรค์นี่มันจะรุนแรงจนเกินไปเกินกว่าที่เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้จะหลบรอดพ้นจากความตายได้

ตอนนี้ในหุบเขานี้นอกจากนักยุทธที่มากับพันธมิตรพันทะยานแล้วมันยังมีเหล่านักยุทธที่ไม่สังกัดฝ่ายค่ายเข้ามาหลบพักกันไม่น้อยด้วย

เพราะแท้จริงแล้วนักยุทธภายนอกที่เดินทางเข้ามาในเทือกเขาครั้งนี้มทันมากเสียยิ่งกว่าจำนวนนักยุทธในสังกัดพันธมิตรพันทะยานทั้งสิ้นรวมกันเสียอีก แถมในหมู่คนทั้งหลายนี้ยังมีเทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน

แต่ในที่เช่นนี้ มันย่อมไม่มีใครกล้าใช้พลังของเทพถ่องแท้ออกมาไม่เช่นนั้นร่างกายของพวกเขาคงได้แหลกเหลวอย่างง่ายดายเป็นแน่

มีคนหนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งพักพูดบ่นขึ้นมา “เทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแสนกว้างใหญ่ เรายังไม่ทันเจอทางเข้าถ้ำที่ว่านี้ก็ต้องเสียคนไปมากมายขนาดนี้แล้ว! ที่นี่มันคงไม่ใช่แค่กับดักธรรมดาๆ หรอกใช่ไหม?”

“ใช่ไหมเล่า? มหาค่ายกลสี่ตรานี่มันแสนที่จะทรงอานุภาพ มันสามารถล้างโลกหล้าได้ง่ายๆ! มันคงไม่จบลงที่พวกเรายังไม่ทันพบเจอทางเข้าก็ต้องตายกันเสียก่อนจนหมดหรอกใช่ไหม?”

ไม่ว่าจะเป็นนักยุทธของฝ่ายพันธมิตรพันทะยานหรือว่านักยุทธอิสระ พวกเขาทั้งหลายต่างมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน

ดูท่าแล้วเรื่องนี้มันคงกวนใจพวกเขาอย่างมาก

มหาค่ายกลสี่ตราที่จอมเทพนิรันดร์วางไว้นั้นมันแข็งแกร่งจนเกินไป ทำลายพวกเขาทั้งหลายลงราวกับเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง

คนตั้งมากมายต้องตายลงไปแล้วแต่พวกเขากลับยังไม่ได้พบเจอทางเข้าถ้ำที่ว่านี้เลย มีหรือที่พวกเขาจะยังทำใจให้เข้มแข็งได้?

ตู้ม!

เวลานี้เองที่สี่ทิศของหุบเขามันกลับปรากฏประตูหินสี่บานผุดขึ้นมาจากดินทำให้พื้นแผ่นดินสั่นสะท้าน

“กุญแจที่จะเปิดถ้ำนั้นมันถูกซ่อนอยู่ภายในประตูหินทั้งสี่นี้! ในแต่ละประตูจะมีสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์อยู่ เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเก็บรวบรวมสี่ตราเลือดแท้ได้ครบเจ้าก็จะสามารถเปิดถ้ำเทพสวรรค์ออกได้และได้รับสมบัติสืบทอดของจอมเทพสวรรค์ผู้นี้ไป!”

เสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นมาราวสายฟ้าปลุกให้ทุกคนตื่นตัวอย่างฉับพลัน

สี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์นั้นมันคือสุดยอดสมบัติ!

หากมีใครสามารถเก็บสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์มาไว้ในมือได้ ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เข้าไปภายในถ้ำมันก็ยังมากพอที่จะเป็นประโยชน์ไปทั้งชีวิตได้

นั่นทำให้เหล่าผู้คนเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โดยเฉพาะตัวจีคังที่ตอนนี้สองตาของเขาแทบลุกเป็นไฟ

เขานั้นบ่มเพาะมาจนถึงขั้นสุดของเทพถ่องแท้ได้นานแสนนานแล้วแต่กลับไม่อาจหาทางบรรลุขึ้นอาณาจักรต่อไปได้เสียที

เขารู้ตัวดีว่าเขานั้นได้หมดพรสวรรค์ลงแล้วและคงไม่อาจบรรลุอาณาจักรเทพสวรรค์ได้อีกแน่ในชีวิตนี้

แต่หากเขาได้รับสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์มา เขาย่อมมีโอกาสที่จะสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์ได้!

ฟุบ!

โดยไม่คิดลังเลจีคังรีบพุ่งตัวไปยังประตูหินทางทิศตะวันออกทันที

ที่แห่งนั้นคือประตูมังกรฟ้า

ตอนนี้พันธมิตรพันทะยานจะยังมีประโยชน์ใด? เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต่างรีบมุ่งหน้าไปยังประตูหินทั้งสี่ทิศทันที

คนที่ช้ากว่ามันย่อมหมายถึงโอกาสที่จะถูกคนอื่นตัดหน้าแย่งชิงสมบัติไปก่อน

“คุณชายเย่ เจ้าคิดจะไปยังประตูใด?” เล้งชิวหลิงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เลือดแท้ของวิหคชาดนั้นน่าจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด! ทำไมเราไม่ไปประตูวิหคชาดด้วยกันเล่า?”

เล้งชิวหลิงมองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึง ได้ยินคำของเขามันย่อมหมายความว่าเมื่อพวกเขาได้สี่ตราเลือดแท้แล้วเขานั้นคิดที่จะมอบมันให้แก่ตัวนาง?

“นี่มัน… คุณชายเย่ เจ้าไม่คิดที่จะครอบครองสี่ตราเลือดแท้ไว้บ้างหรือ?” เล้งชิวหลิงถามขึ้น

เย่หยวนทำแค่ยิ้มเบาๆ ตอบกลับไป “แค่สี่ตราเลือดแท้มันมิใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่นักหรอก ไปกันเถอะ”

…………………………