ตอนที่ 1407 ออกเดินทาง

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1407 ออกเดินทาง โดย Ink Stone_Fantasy

เช้าวันรุ่งขึ้น ขอบฟ้าที่ยังสลัวมีแสงสว่างลอดออกมา

ในเวลานี้คนส่วนใหญ่ยังคงนอนหลับอยู่ แต่ในสนามบินแห่งใหม่ตรงชานเมืองกลอรี ทหารยามและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินนั้นยุ่งอยู่กับงานมาครู่ใหญ่แล้ว พวกเขาฝ่าลมหนาวในฤดูใบไม้ผลิวิ่งไปวิ่งมาบนรันเวย์จนเสื้อซับในเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เครื่อยบินลำแล้วลำเล่าถูกลากออกมาจากโรงเก็บเครื่องบินไปยังปลายสุดอีกด้านหนึ่งของรันเวย์ งานเติมน้ำมัน ประกอบและตรวจสอบขั้นสุดท้ายใกล้เสร็จเรียบร้อย

ภายในค่ายที่อยู่ข้างสนามบิน ทิลลีได้เรียกอัศวินอากาศที่มีประสบการณ์ในการรบจริงทั้งหมดให้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

หลังผ่านการรับสมัครมาหลายครั้ง บวกกับวิธีการเรียนที่ให้คนเก่าเป็นคนนำคนใหม่ ทำให้จำนวนอัศวินอากาศที่สามารถลงสู่สนามรบได้ในตอนนี้มีมากกว่าร้อยคนแล้ว ส่วนนักเรียนที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามรบในตอนนี้ก็มีจำนวนถึงสองเท่ากว่า ในเวลานี้ ‘กองทัพใหม่’ ที่แยกเป็นอิสระออกมาจากกองทัพภาคพื้นดินเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

ในศึกโจมตีบนเทือกเขาสิ้นวิถีก่อนหน้านี้ ถึงแม้เครื่องบินจะเสียหายไปจำนวนมาก แต่เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของนักบินนั้นค่อนข้างสูงเลยทีเดียว —- เมื่อเทียบกับทหารภาคพื้นดินที่ยากจะหนีรอดจากการไล่ตามของปีศาจได้แล้ว เฮฟเว่นเฟลมเวลาที่ถูกปีศาจโจมตีจนเสียความสามารถในการรบไป มันก็ยังสามารถอาศัยการร่อนหนีออกมาจากสนามรบได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะถูกศัตรูโจมตีจนเครื่องตกหรือว่าเครื่องตกเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องยนต์ ขอเพียงไม่โชคร้ายจนเกินไป นักบินที่มีประสบการณ์ก็สามารถบังคับให้เครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัย

แต่แน่นอน ปัจจัยที่ทำให้นักบินมีโอกาสรอดชีวิตสูงมันยังมีเรื่องของความเร็วของเครื่องบินที่ไม่สูงนัก แรงยกตามธรรมชาติดีและการขว้างหอกของปีศาจที่ไม่รุนแรงพอจะทำให้เครื่องตกได้ในทันทีด้วย

และปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้ทั้งกองทัพเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

“รายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว” ทิลลีเอามือกอดอก ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยืนอยู่ด้านหน้าแถวทหาร — เธอสวมชุดกันลมหนาๆ สำหรับออกรบเหมือนนักรบที่กำลังจะออกรบ ผมยาวสีเทาถูกมัดรวบเอาไว้ด้านหลังด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ดูเรียบร้อยและสวยงาม “ทำลายแนวป้องกันของศัตรู เอาระเบิดไปโยนใส่ตรงพื้นที่ใจกลางของป้อมปราการลอยฟ้าเหมือนกับที่ฝึกกันมาก่อนหน้านี้”

“แต่ว่าน่านฟ้าที่พวกเจ้าจะบินในครั้งนี้ไม่ใช่ชานเมืองของเมืองกลอรีอีกต่อไป หากแต่เป็นด้านบนของป้อมปราการลอยฟ้า คนที่จะมาหยุดพวกเจ้าก็ไม่ใช่เพื่อนนักเรียน หากแต่เป็นอสูรสยองและปีศาจระดับสูง”

“องค์หญิง!” ในกลุ่มนักเรียนมีคนยกมือขึ้นมา

“ว่ามา”

“อย่างนั้นมันก็ง่ายน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ?”

คนที่พูดคือกู๊ด คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเพื่อนนักเรียนขึ้นมา

ทิลลีเองก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา เธอไม่ได้ปฏิเสธคำพูด ‘อวดดี’ นี้ ในทางกลับกัน คำพูดแบบนี้มันกลับจะช่วยคลายความตื่นเต้นให้กับทุกคน

ยิ่งไปกว่านั้น กู๊ดเองก็เป็นคนที่ฆ่าอสูรสยองได้ 12 ตัว หากเขาเป็นคนพูดแบบนี้ นั่นกลับไม่ถือเป็นการหยิ่งผยอง

“ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ปีศาจระดับสูงที่อยู่บนหลังอสูรสยองยังคงเป็นศัตรูที่เราไม่อาจประมาทได้ หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับมาเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้นะ” ทิลลีพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนประเด็น “นอกจากนี้ข้าต้องขอเน้นย้ำว่าพื้นที่ของแผ่นดินลอยฟ้านั้นใหญ่อย่างมาก การเข้าไปพื้นที่ใจกลางของมันก็หมายความว่ารอบๆ ตัวพวกเจ้านั้นเป็นดินแดนของพวกปีศาจ ถ้าลงไปจอดด้านล่าง จุดจบจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าคงจะรู้ดี ดังนั้นปฏิบัติการครั้งนี้พยายามอย่าให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ความคิดที่จะวัดดวงให้ปีศาจปาหอกใส่ทีหนึ่งเพื่อที่จะได้ฆ่ามันนั้น ข้าอยากจะให้พวกเจ้าโยนมันทิ้งไปก่อน เข้าใจไหม!”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!”

“ดีมาก อย่างนั้นต่อไปก็จะเป็นการจัดกลุ่ม — คนที่ถูกจัดให้ขับ ‘ฟิวรี่ออฟเฟลม’ จะเป็นคนรับผิดชอบในการทิ้งระเบิด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ อัศวินอากาศทุกคนพลันหูผึ่งขึ้นมา

ฟิวรี่ออฟเฟลมนั้นคือเฮฟเว่นเฟลมที่ถูกทำการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ตัวเครื่องมีความกระชับ ห้องคนขับมีกระจกครอบด้านบนเพิ่มขึ้นมา ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกที่มีความสวยงามกว่าเฮฟเว่นเฟลม แต่ประสิทธิภาพของมันก็ยังดีขึ้นอย่างมากด้วย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนั้นมาจากเครื่องยนต์สูบดาวรุ่นใหม่และระบบอาวุธภายนอก โดยเครื่องยนต์สูบดาวนั้นเป็นเครื่องยนต์ของฟินิกส์ในเวอร์ชั่นรองลงมา กำลังเครื่องถูกจำกัดเอาไว้ในระดับที่ค่อนข้างดำและไม่มีระบบเทอร์โบ เพื่อที่จะได้สะดวกในการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ส่วนระบบอาวุธนั้นก็สามารถติดตั้งไปตามภารกิจที่ต้องไปทำได้ ซึ่งประกอบไปด้วยปืนใหญ่อัตโนมัติและระเบิด

โดยฟิวรีออฟเฮฟเว่นสิบลำแรกที่ออกมาจากโรงงานนั้นถูกส่งมาถึงที่นี่ทางเรือ พวกมันคือหัวใจสำคัญในการทดสอบโจมตีทางอากาศในครั้งนี้ ใครได้ขับเครื่องบินรุ่นใหม่ ก็หมายความว่าคนนั้นคือสุดยอดนักบิยที่องค์หญิงทรงให้การยอมรับ

ทิลลีจงใจชะงักเล็กน้อยก่อนจะหยิบรายชื่อขึ้นมา “ตามแผนการที่วางไว้ เครื่องบินสิบลำนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยจะมีทีมเครื่องบินคุ้มกันคอยบินคุ้มกันด้วย หัวหน้ากลุ่มที่หนึ่งคือ — กู๊ด”

“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนต่างมองดูเขาด้วยสายตาอิจฉา ในฐานะที่เป็นอัศวินอากาศที่ทำผลงานได้ดีที่สุด จึงไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่เขาถูกเลือก

“หัวหน้ากลุ่มที่สองคือ — แมนเฟล”

อีกฝ่ายตกตะลึงเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงเลือกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ที่นี่มีแมนเฟลคนที่สองหรือไง?” ทิลลีเลิกคิ้ว

“พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

แมนเฟลตอบรับด้วยสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง

นี่ทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นมาทันที เมื่อเทียบกับอัศวินอากาศที่มีประสบการณ์จำนวนมากแล้ว จำนวนครั้งในการเข้าร่วมรบของเขาเรียกได้ว่าน้อยจนแทบจะนับครั้งได้ ถือได้ว่าเป็นนักบินหน้าใหม่ ในศึกโจมตีที่เทือกเขาสิ้นวิถีก่อนหน้านี้ เขาก็จัดการอสูรสยองไปได้แค่ตัวเดียว ถึงแม้เขาจะทำผลงานในการฝึกได้ยอดเยี่ยม แต่ตำแหน่งหัวหน้าทีมนี้มันค่อนข้างจะเหนือความคาดคิดของทุกคนไปหน่อย

แต่ทิลลีกลับรู้ดีว่านักบินหน้าใหม่คนนี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก พรสวรรค์ของเขาตรงนี้ไม่เพียงแต่จะแสดงออกมาในการขับเครื่องบิน แต่มันยังแสดงออกมาให้เห็นในระหว่างที่ทำศึกอย่างดุเดือดด้วย ถ้าพูดถึงทักษะการบินแล้ว แมนเฟลถือได้ว่าติดหนึ่งในสิบ แต่ถ้าพูดถึงเซนส์การต่อสู้แล้ว เขากลับเหนือกว่าคนอื่นมาก

ในการทำศึกบนเทือกเขา มีแค่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าเครื่องบินของแมนเฟลจะบินไปอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอที่สุดของทีมเสมอ แล้วก็ไล่ศัตรูที่พยายามฉวยโอกาสโจมตีเข้ามาในตำแหน่งนั้นหลายครั้ง ซึ่งนั่นเป็นการปลดปล่อยให้ฟินิกส์ของเธอได้บินอย่างอิสระมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องเพื่อนร่วมทีมให้เข้าไปโจมตี หรือว่ากำจัดอันตรายให้เพื่อนๆ อีกฝ่ายก็มักจะไปอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นที่สุดเสมอ

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แน่นอน การทำศึกบนท้องฟ้านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า คนส่วนใหญ่มักจะระวังแค่ตัวเองกับคู่หูเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าต้องจัดรูปแบบการบินให้ละเอียดมากที่สุด การที่เขาสามารถสังเกตดูสถานการณ์โดยรวมได้ในระหว่างที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด อีกทั้งยังหาช่องโจมตีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดได้ ไหวพริบและสายตาของเขานั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าทักษะการบินของเขา

เมื่อเทียบกับกู๊ดที่มีทักษะส่วนตัวที่ดีเยี่ยมแล้ว ความได้เปรียบของแมนเฟลนั้นอยู่ที่การทำงานเป็นทีม ด้วยเหตุนี้บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่รู้ถึงพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา

ความจริงหลังศึกโจมตีจบลง ทิลลีก็รีบหาประวัติของคนๆ นี้มาอ่านอย่างละเอียด การเกิดอยู่ในตระกูลอัศวินสามารถอธิบายได้ว่าทักษะของเขาตรงนี้มาจากไหน แต่สิ่งที่น่าคิดก็คืออัศวินแบบนี้กลับไม่สามารถฟื้นฟูตระกูลที่ตกต่ำขึ้นมาได้ — ร่างกายและพละกำลังของแมนเฟลได้จำกัดความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาเอาไว้ ถ้าเป็นการสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เกรงว่าคาร์เตอร์ใช้แค่มือเดียวก็สามารถล้มเขาได้แล้ว

แต่เครื่องยนต์และปืนกลอัตโนมัตินั้นไม่สนใจว่าคนที่ขับเครื่องบินจะแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ ด้วยกำลังของเครื่องบินปีกสองชั้น ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ต่างหากถึงจะเป็นดินแดนที่เหมาะจะให้เขาได้แสดงฝีมือ

ทิลลีไม่ได้บอกเหตุผลที่เธอเลือกเขาออกมา เธอเชื่อว่าขอเพียงให้เขาได้มีประสบการณ์รบมากอีกหน่อย แมนเฟลและคนอื่นๆ จะต้องสังเกตเห็นถึงจุดๆ นี้เหมือนกันแน่

หลังส่งมอบรายชื่อสมาชิกของทั้งสองกลุ่มเสร็จเรียบร้อย เธอก็เงยหน้ามองดูตำแหน่งของพระอาทิตย์ ก่อนจะออกคำสั่งปฏิบัติการ

ภายใต้การให้สัญญาณของธง ฟินิกส์บินออกจากรันเวย์ไปเป็นลำแรก เมื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองอันเจิดจ้าของแสงแดดได้สะท้อนออกมาจากปีกเหล็กของมัน

ลำต่อมาคือซีกัล — หลังซีกัลลำแรกพังเสียหายไป อันนาก็รีบสร้างลำที่สองขึ้นมาตามแบบเดิมอย่างรวดเร็ว สำหรับเธอแล้ว งานสร้างที่เธอเคยชินแบบนี้นั้นใช้เวลาไม่นานนัก

สุดท้ายก็เป็นเฮฟเว่นเฟลม 40 ลำกับฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่บรรทุกระเบิดอีก 10 ลำ พวกมันจัดกลุ่มกลายเป็นฝูงบินขนาดใหญ่บินข้ามเมืองกลอรีไป ก่อนจะหายไปในชั้นเมฆทางตะวันตก

……………………………………………………………………