ถึงอย่างไรก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ได้รีบร้อน เขายังคงอดทนตีฝีปากกับผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูต่อไป
ไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็พอจะแน่ใจได้แล้วว่าเด็กรุ่นหลังในยุทธภพผู้นี้ นอกจากจะชอบพูดเรื่องเหลวไหลชวนให้คนเข้าใจผิดไปไกลแล้ว อันที่จริงก็ไม่ใช่คนเลวอะไร จึงขวางอีกฝ่ายไว้ที่นอกประตูแล้วก็เริ่มพูดคุยกับเขา ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้ว แต่ผู้เฒ่าก็อดนินทาในใจไม่ได้ คนหนุ่มผู้นี้ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย คุยกับตนมาตั้งนาน ตัวเขาเองหยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่มอยู่หลายที แต่กลับไม่ถามตนบ้างว่าอยากดื่มหรือไม่ ต่อให้เป็นแค่คำกล่าวตามมารยาทก็ยังไม่ยอมเอ่ย เขาไม่ได้คิดจะดื่มเหล้าของเขาจริงๆ เสียหน่อย ตอนนี้เขายังทำหน้าที่เฝ้าประตู ย่อมไม่สามารถดื่มเหล้าได้ อีกอย่างเหล้าหมักของหมู่บ้านตนก็รสชาติยอดเยี่ยมนัก ยังจะอยากดื่มเหล้าในกาผุๆ นั่นด้วยหรือ? ดมดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะหอมอะไร ดื่มไม่ดื่มเป็นเรื่องหนึ่ง แต่คนหนุ่มอย่างเจ้าจะชวนดื่มหรือไม่ชวนดื่มก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนี่นา
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็มีความลำบากใจของตัวเอง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นี้แค่ร่ายเวทอำพรางตาไว้เท่านั้น หากผู้เฒ่ารับไปถือไว้ในมือย่อมเผยพิรุธอย่างแน่นอน อีกอย่างจะให้เขาเฉินผิงอันเรียกเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งจากในวัตถุจื่อชื่อให้ ‘โผล่มาจากความว่างเปล่า’ ก็คงไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาตัดใจยกให้อีกฝ่ายไม่ลงจริงๆ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายอะไรกัน ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เอาเหล้าตระกูลเซียนไปมอบให้คนที่พบเจอกันอย่างผิวเผินดื่ม ความขี้เหนียวของเขาเฉินผิงอันขึ้นชื่ออยู่ในยุทธภพเชียวนะ
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ด้านหนึ่งก็ขุ่นเคืองที่คนหนุ่มไม่รู้ประสา อีกด้านหนึ่งก็พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับแคว้นซูสุ่ยที่ตัวเองรู้ไปตามคำชักจูงของอีกฝ่าย
ในราชสำนัก ฉู่หาวประกาศไว้แล้วว่า หากภายในหนึ่งเดือนหมู่บ้านวารีกระบี่ยังไม่ย้ายออกไปจากที่นี่ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมากันเอง
ส่วนหวังอี้หรานนั้นยังนับว่ามีคุณธรรม เขาไม่ได้มาหาเรื่องที่หมู่บ้าน เพียงแต่ว่ากำลังจะจัดงานประชุมใหญ่ในยุทธภพ เชื้อเชิญให้วีรบุรุษผู้กล้าจากสถานที่ต่างๆ ไปเป็นแขกที่หมู่บ้านเหิงเตา ร่วมกันเลี้ยงฉลอง
ส่วนซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้น ช่วงนี้ก็มักจะมา ‘ถามกระบี่’ กับเจ้าประมุขผู้เฒ่า ผู้มามีเจตนาไม่ดี หากไม่มีความมั่นใจอยู่หลายส่วนจริงๆ ไหนเลยจะกล้าเอาเรื่องประเภทนี้มาล้อเล่น
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยังบอกว่าพวกเขาปฏิเสธการท้าทายของซูหลางไปอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นยังถือว่าเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน เขาประกาศแก่ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยว่าจะต้องมาเหยียบหมู่บ้านวารีกระบี่สักครั้งให้จงได้
หลังจากเฉินผิงอันฟังจบก็เงียบงันไป
เขากับซูหลางผู้นั้นเคยประมือกันอยู่สองครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดภายหลังซูหลางถึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ หันกลับไปใช้กระบี่ตัดหัวหลินกูซานที่เดิมทีควรเป็นพันธมิตรกันแทน
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูพูดอย่างปลงอนิจจัง “เด็กรุ่นหลังที่มาจากต่างถิ่นอย่างเจ้า ตอนนี้คงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าถึงไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปข้างใน หากเป็นเวลาปกติก็คงปล่อยให้เจ้าเข้าไปแล้ว หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราไม่ได้ขาดสุราดีๆ ที่ไว้ใช้รับรองแขกแค่ไม่กี่กาหรอก เพียงแต่ว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่วันเวลาที่สงบสุขอย่างในอดีต สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าทางฝั่งของเมืองเล็กมีสายลับของทางราชสำนักจับตามองอยู่หรือไม่ หากเจ้าเข้ามาแล้วเดินออกไป ก็บอกได้ไม่ชัดเจนแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอมในยุทธภพ นำพาหายนะมาสู่ตัว มันคุ้มกันแล้วหรือ? จะลำบากแบบนั้นไปไย รีบไปซะเถอะ”
เฉินผิงอันพลันหันขวับไปมองด้านในของประตู ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูจึงหันตามไปด้วย นึกว่ามีใครในจวนเดินมาที่หน้าประตู
ผลกลับไม่เห็นเงาร่างใครสักคน
รอจนผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูดึงสายตากลับมา คนหนุ่มผู้นั้นก็ยื่นเหล้ากาหนึ่งให้กับเขา ยิ้มกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าคนคือเก่าแก่ในยุทธภพ อาศัยถ้อยคำด้วยความหวังดีประโยคนี้ ก็ควรรับเหล้ากานี้เอาไว้”
ผู้เฒ่าที่กำลังสงสัยว่าเหตุใดคนหนุ่มถึงใช้สายตาสืบเสาะมองไปข้างในไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป ในใจคิดว่าเจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นี้ยังนับว่ามีคุณสมบัติในการใช้ชีวิตในยุทธภพอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากทำตัวเซ่อซ่า ต่อให้วรยุทธดี นิสัยดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสร้างชื่อเสียงโด่งดังอะไรได้ ผู้เฒ่ายังคงส่ายหน้ากล่าวว่า “เอาเหล้าของเจ้ามาแล้ว อีกทั้งยังขวางไม่ให้เจ้าเข้าไปอยู่เป็นครึ่งๆ วัน ไม่ใช่ว่าข้าใจจืดใจดำหรอกหรือ ช่างเถิด ดูแล้วเจ้าเองก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เก็บไว้เองเถอะ อีกอย่างข้าเป็นคนเฝ้าประตู เวลานี้จะดื่มเหล้าไม่ได้”
เฉินผิงอันเปิดผนึกดิน แกว่งกาเหล้า “ไม่ดื่มจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูแค่สูดดมหนึ่งครั้ง ใจก็พลันหวั่นไหว แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับไว้ ต่อให้สุราดีแค่ไหนก็ไม่ถูกกฎ แล้วนับประสาอะไรกับที่ใจคนยังมีหนังหน้าท้องกั้นไว้ *(เปรียบเปรยว่าจิตใจคนยากจะคาดเดา ยากจะเข้าใจ)*เขาไม่กล้ารับเด็ดขาด
แต่แล้วจู่ๆ คนหนุ่มผู้นั้นก็สวมงอบ ยัดกาเหล้าใส่มือเขา หมุนตัวเดินลงบนบันไดไป ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะมีคนมา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเหมือนข้า ข้าจะไปทักทายเขาแทนท่านผู้เฒ่าสักหน่อย จะบอกเขาว่าอย่าได้มาแสวงหาชื่อเสียงจอมปลอมที่หมู่บ้าน”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูใช้สองมือประคองไหเหล้า ทอดสายตามองไป จุดที่สายตาของเขามองเห็น บนทางเส้นนั้นไร้เงาคน
ทว่าคนหนุ่มคนนั้นกลับยังคงเดินจากไปช้าๆ
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่ม หน้าบาง ต้องมากินน้ำแกงประตูปิดแบบนี้ก็เลยหาข้ออ้างส่งเดช เพื่อหาทางลงให้กับตัวเอง?
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ในใจอดเวทนาอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้
ทว่าคนเราอยู่ในยุทธภพก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เดิมทียังคิดจะบอกคนหนุ่มที่แสร้งว่าตัวเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นสักคำว่า รอให้คลื่นลมมรสุมของหมู่บ้านสงบลงเมื่อไหร่ค่อยมาเยือนใหม่ ตนจะไม่ขวางเขาไว้อีกแน่นอน
เพียงแต่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูก็ยังคงกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไป
คนหนุ่มออกจากบ้านมาท่องอยู่ในยุทธภพ ไปชนตอเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
……
เมืองเล็กที่คึกคักใกล้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ ในห้องหรูหราอักษรตัวเทียน (เทียนแปลว่าฟ้า สวรรค์ ในที่นี้ใช้เป็นการแบ่งแยกระดับห้อง จึงหมายถึงห้องระดับดีที่สุด ห้องอันดับหนึ่ง หากเป็นภาษาปัจจุบันก็คือห้องวีไอพี) แห่งหนึ่งของโรงเตี๊ยม ‘คนหนุ่ม’ คนหนึ่งที่อายุจริงคือสี่สิบปีแล้ว แต่โฉมหน้ากลับยิ่งงดงามดุจหยก เมื่อสิบปีก่อนโฉมหน้าของเขาเหมือนคนวัยสามสิบปี ตอนนี้กลับยิ่งเหมือนคุณชายอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง กำลังเช็ดกระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักด้วยท่วงท่าละเมียดละไมอย่างถึงที่สุด ฝักกระบี่วางพาดขวางไว้บนหัวเข่า สลักตัวอักษรสองคำว่า ‘ไข่มุกมรกต’ เคยเป็นกระบี่รักประจำกายของหลินกูซานมือกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นกู่อวี๋ ปีนั้นหลังจากตัดหัวหลินกูซานแล้ว อาวุธเทพที่ตัดเหล็กเหมือนตัดโคลนชิ้นนี้ก็กลายมาเป็นกระบี่ประจำกายของเขา
ตรงเอวของคนผู้นี้ยังห้อยไม้ไผ่สีเขียวเปล่งประกายใสแวววาวยาวสองฉื่อหกชุ่น ความยาวเท่าเทียมกับกระบี่เอาไว้ด้วย
ตอนที่มือกระบี่ชุดเขียวซึ่งสวมงอบสะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลังออกจากเมืองเล็ก
สตรีหน้าตางดงามที่ติดตามคนที่กำลังก้มหน้าตั้งใจเช็ดกระบี่ออกจากแคว้นซงซีมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้ก็เดินฝีเท้าแผ่วเบามาหยุดอยู่ที่นอกประตู แล้วเคาะประตูห้อง นางที่เป็นทั้งสาวใช้ผู้ถือกระบี่และเป็นทั้งลูกศิษย์เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์ ในที่สุดก็มีคนไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่แล้ว”
คนสองคนที่เป็นทั้งอาจารย์และศิษย์ แล้วก็เป็นทั้งนายบ่าวมาถึงที่นี่ได้เกือบสิบวันแล้ว บุรุษกำชับนางว่า รอวันใดที่มีใครไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ที่เงียบสงัดวังเวงแห่งนั้น ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ตนได้ออกกระบี่
หลายวันมานี้นางจึงคอยไปอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเมืองเล็กเพื่อรอคอยให้คนผู้นั้นปรากฏตัว
นางรอจนเริ่มหงุดหงิดใจแล้ว เพราะนางเชื่อเป็นอย่างยิ่งกว่า การประลองกระบี่ระหว่างอาจารย์กับซ่งอวี่เซาครั้งนี้ หลังผ่านศึกนี้ไปจะต้องทิ้งชื่อเลื่องลือไปหลายแคว้นไม่ว่าจะทั้งซูสุ่ย ซงซีหรือไฉ่อีก็ตาม!
เพียงแต่รอคอยอย่างน่าเบื่อหน่ายมาเกือบสิบวัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนในยุทธภพคนไหนไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่เสียที
บุรุษในห้องยิ้มบางๆ “ดีมาก”
สตรีที่เป็นสาวใช้ผู้ถือกระบี่จึงถอยออกไป
นางทะยานร่างขึ้นไปบนหลังคาเรือนด้วยอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม รอคอยการถามกระบี่และออกกระบี่ของอาจารย์
กระบี่นั้นจะต้องเปี่ยมไปด้วยมาดอันเลิศล้ำของเอกบุรุษแห่งยุทธภพอย่างแน่นอน!
เพราะบุรุษในห้องคนนั้นก็คือซูหลาง เซียนกระบี่ไผ่เขียว!
ซูหลางที่อยู่ในห้องไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน เขายังคงก้มหน้าเช็ดกระบี่ ‘ไข่มุกมรกต’ เล่มนั้น
เช็ดคมกระบี่ เดิมทีก็เป็นการหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ สั่งสมปณิธานกระบี่อย่างต่อเนื่องอย่างหนึ่ง
สาวใช้ผู้ถือกระบี่รู้สึกเพียงว่าเวลาผ่านไปช้าเหมือนนานเป็นปี นางมองไปทางหมู่บ้านวารีกระบี่ ด้วยกลัวว่าซ่งอวี่เซาผู้นั้นจะเผ่นหนีไปกะทันหัน แล้วค่อยมองไปทางโรงเตี๊ยมอีกครั้ง คาดหวังให้เงาร่างของอาจารย์รีบปรากฏเสียที
ในที่สุด ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่กลับมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวอีกครั้งก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม มายืนอยู่ใจกลางถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีผู้คนแออัดสัญจร
ตรงเอวห้อยไม้ไผ่เขียวที่เป็นตัวบ่งบอกถึงสถานะของเขา ส่วนในมือของซูหลางถือไข่มุกมรกตเอาไว้
บนถนนใหญ่ ปราณกระบี่เปี่ยมล้นดุจกระแสน้ำขึ้นอันเชี่ยวกรากดุดัน
คนเดินเท้าบนถนนใหญ่ตกใจพากันแตกฮือหนีหาย
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนนามของเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นออกมาก่อน จากนั้นเสียงผู้คนที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงก็ดังขึ้นๆ ลงๆ ต่อกันไปเป็นทอดๆ
ตามมาด้วยพวกคนชอบสอดรู้สอดเห็น หรือไม่ก็พวกอันธพาลจำนวนนับไม่ถ้วนที่บ้างก็เลียนแบบสาวใช้ของซูหลาง ป่ายปีนขึ้นไปรอชมศึกอยู่บนหลังคา ในบรรดานั้นมีบุรุษและสตรีบางส่วนที่สีหน้าเครียดขรึม พวกเขาแยกกันยืนอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของเมืองเล็ก เมื่อเทียบกับพวกคนที่มามุงดูซึ่งเอะอะโหวกเหวกใบหน้าใบหูแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว พวกเขากลับมีเพียงความเงียบงัน เพราะพวกเขาก็คือสายลับและนักรบเดนตายที่แคว้นซูสุ่ยจัดให้มาแฝงตัวอยู่ที่นี่
สตรียืนอยู่บนหลังคาเรือนที่การมองเห็นเปิดกว้างมากที่สุด หัวเราะเสียงหยันไม่หยุด
ซูหลางเริ่มเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ปราณกระบี่พุ่งตวัดฉวัดเฉวียนไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ
ก้าวที่สอง แค่ก้าวเดียวก็ไกลถึงหนึ่งจั้ง
คนที่อยู่สองฝั่งทางของถนนใหญ่อย่างไม่รู้จักกลัวตายเริ่มหายใจไม่ออก พากันหลบเข้าไปตามร้านที่อยู่ข้างทาง ถึงจะพอหายใจคล่องคอได้บ้าง
เมื่อเซียนกระบี่ใหญ่แห่งยุทธภพซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายแคว้นผู้นี้ก้าวออกไปเป็นก้าวที่สาม ก้าวนี้ก็ไกลหลายจั้ง
สายลับและนักรบเดนตายทั้งหลายที่ถูกแม่ทัพใหญ่ฉู่จัดตัวมาไว้ในเมืองเล็กที่ต่อให้มองดูอยู่ไกลๆ ในใจก็ยังสั่นสะเทือนไม่หยุด ใต้หล้ามีปราณกระบี่ที่เฉียบคมได้ขนาดนี้เชียวหรือ
ก้าวที่สี่ของซูหลางก็พ้นออกไปจากซุ้มป้ายหินของเมืองเล็กพอดี
ปณิธานกระบี่และพลังอำนาจทั่วทั้งร่างไต่ทะยานไปสู่จุดสูงสุดของวรยุทธที่ฝึกฝนมาชั่วชีวิต
ทว่าเวลานี้เอง ซูหลางกลับหยุดเท้ากะทันหัน
ห่างออกไปไกลมีมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งเดินมา
การที่ซูหลางหยุดเดิน ไม่ได้พุ่งไปหมู่บ้านวารีกระบี่เพื่อประชันกระบี่กับซ่งอวี่เซา ก็เพราะแขกไม่ได้รับเชิญที่จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าผู้นี้
เพราะว่าตอนที่คนผู้นี้ปรากฏตัว มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง วินาทีที่ซูหลางคิดจะชักไข่มุกมรกตในมือออกไป จิตใจที่เดิมทีซูหลางคิดว่าไร้จุดด่างพร้อยและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจกลับเหมือนจะปรากฎความสกปรกและการหยุดชะงักขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ดังนั้นซูหลางจึงเลือกที่จะหยุดเท้า ไม่เดินหน้าต่อ
แต่ปล่อยให้คนผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าตัวเองใน ‘ก้าวเดียว’
ซูหลางไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้ประชิดตัวกับผู้อื่นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยิ่งดี
คนที่สวมงอบผู้นั้นมองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่?”
คนผู้นั้นเปิดปากถาม “แต่ผู้อาวุโสซ่งไม่ได้ปฏิเสธการประลองกับเจ้าไปชัดเจนแล้วหรอกหรือ? สำหรับผู้อาวุโสในยุทธภพอย่างผู้อาวุโสซ่งนี้ นี่ถือว่ามีความหมายที่ใหญ่มากแล้ว แต่เจ้ายังคิดจะได้คืบแล้วเอาศอกอีก?”
ซูหลางรู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ไร้เดียงสาสิ้นดี แต่ละคำถามช่างน่าขัน ไม่ควรเป็นคำถามที่คนซึ่งสามารถขัดขวางอยู่เบื้องหน้าตนได้ชั่วคราวจะถามออกมา
คนผู้นั้นลังเลไปชั่วขณะ “ขอเพียงแค่มีหนึ่งเหตุผลโดยไม่สนว่าผิดหรือถูกก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาแล้วใช่ไหม?”
ซูหลางยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองหามาสักข้อสิ?”
คนผู้นั้นกลับทำท่าครุ่นคิดจริงจัง หลังจากนั้นก็จับประคองงอบ ยิ้มกล่าวว่า “คิดได้แล้ว เหตุผลคือเจ้าถ่วงเวลาการเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งของข้า”
สภาพจิตแห่งกระบี่ของซูหลางกลับคืนมาไร้จุดด่างพร้อยสมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองดูว่าจะขัดขวางกระบี่ของข้าได้หรือไม่”
หลังจากปล่อยหนึ่งหมัดออกไป
ก็ยังไม่อาจทำให้เฉินผิงอันใช้ยันต์ย่อพื้นที่ได้
เซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้นลอยหวือเป็นเส้นตรง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น สุดท้ายร่างไปร่วงกระแทกอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กที่เขาออกมาก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันไม่คิดจะชายตาแลทางฝั่งนั้นแม้สักครั้ง เขาหมุนตัวเดินกลับไปทางหมู่บ้านวารีกระบี่ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “น่าจะเพิ่งถึงขอบเขตเจ็ด? มิน่าเล่าถึงได้ไม่ต่างจากกระดาษเปียกเช่นนี้”
กลับไปที่หมู่บ้านวารีกระบี่อีกครั้ง
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูมึนงง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าประมุขผู้เฒ่าเท่านั้นที่ปรากฏตัว แม้แต่นายน้อยกับฮูหยินก็ยังมาที่นี่ด้วย
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
หรือว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นปรากฏตัวแล้ว?
แต่พอคนเฝ้าประตูผู้เฒ่าเห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่จากไปแล้วย้อนกลับคืนมาผู้นั้น ผู้เฒ่าก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที โอ้โห ไอ้หนูนี่หน้าหนาไม่เบา ช่างเถิด เห็นแก่เหล้ากานั้น จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรุ่นหลังคนนี้ก็แล้วกัน อีกอย่างใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ บางครั้งความหน้าหนาก็มีข้อดีของมัน
ในสายตาของคนเฝ้าประตูเฒ่ามองเห็นว่าคนหนุ่มที่ขยับเข้ามาใกล้ประตูใหญ่เรื่อยๆ ผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง แล้วก็เริ่มโบกมือมาแต่ไกล “ผู้อาวุโสซ่ง ไปกินหม้อไฟกันไหม?”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูเอามือลูบหน้า ไอ้หนุ่ม นี่ก็ออกจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?
—–