ที่ราบนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเส้นลมปราณฉีกขาดตีบตันได้รับการแก้ไขแล้วเช่นนั้นหรือ
เฉินฉางเซิงมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ
แม่น้ำใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนไหลไปอย่างอิสระทั่วทุ่งราบ ให้ความชุ่มชื่นกับทุ่งนาริมฝั่ง
ทะเลสาบมากมายกระจายไปทั่วที่ราบ มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก
ภูเขาสูงสง่าสายน้ำใสเป็นภาพอันงดงามหลากหลายล้วนอยู่ในกายเขาตอนนี้
ที่แท้นี่ก็คือภาพที่เส้นลมปราณธรรมดาควรจะเป็น
ที่แท้นี่ก็คือภาพจุดลมปราณปกติ
ที่แท้ปราณแท้ก็ไหลผ่านเส้นลมปราณได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นนี้ ไม่ได้เชื่องช้าติดขัดเฉกเช่นที่เขาสัมผัสมาตลอดในอดีต
เฉินฉางเซิงจ้องมองด้วยความตกตะลึง ก่อนที่เขาจะมีเวลาปีติยินดี อารมณ์เต็มตื้นก็พลันถาโถมเข้ามา
ใช่แล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ และดูเหมือนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต
อาการป่วยของเขา…เหมือนว่าจะได้รับการรักษาแล้ว
ไม่มีคำสาปอีกต่อไปแล้ว
ชะตาพลิกกลับตาลปัตร
แม้เขาจะยังถอดจิตวิปัสสนา ก็ยังสัมผัสได้ว่าร่างกายเบากว่าเก่า ประหนึ่งว่าได้สลัดภาระมากมายเหลือคณนาออกไป
บนเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า เงาดำที่เขาคุ้นเคยมากว่าเจ็ดปีไม่มีอีกต่อไป มีแต่ภูเขาลำธารที่งดงาม แสงสว่างไร้สิ้นสุด!
เขาลืมตาขึ้น
และเห็นร่างของนาง
นางเอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมถนนเสิน มองดูท้องฟ้าราตรี เสื้อผ้าเปียกชื้นอยู่บ้าง
ในราตรีที่ห่างไกล สายฟ้าใหญ่หนาเส้นสุดท้ายได้ฟาดลงมา ส่องสว่างไปทั่วสุสานเทียนซู ทำให้ร่างนางดูสูงส่งยิ่งใหญ่ใต้แสงจ้า
เขาไม่รู้จะพูดอะไร
นอกจาก ‘ขอบคุณ’
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบกลับว่า ‘ไม่เป็นไร’ ราวกับว่านางได้ทำเรื่องเล็กน้อยที่สามารถสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
แต่เหตุใดนางถึงทำเช่นนี้
“เราช่วยเจ้า มิใช่เพราะเจ้าเป็นลูกเรา มิใช่เพราะกระรอกสามตัวนั้น หากแต่เป็นเพราะเราไม่ชอบที่เจ้าเป็น”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงได้ช่วยข้า”
“เราทำตามใจเรา เจ้าเป็นลูกชายเรา ย่อมต้องอยู่ตามใจเรา”
“ข้าไม่เข้าใจ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ให้คำอธิบาย ทุกอย่างที่นางทำไม่เคยจำเป็นต้องอธิบาย ต่อให้กับเขาก็ตาม
“เราเคยได้ยินเจ้าพูดว่าอาการป่วยที่รักษาไม่ได้ของเจ้าเป็นชะตา”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ เขาเคยพูดคำนั้นกับสวีโหย่วหรง กับมังกรดำ กับตัวเองยิ่งพูดอยู่หลายครั้ง
“ต่อให้เป็นชะตาของเจ้าจริงๆ เราก็ไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องไม่ตาย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ประกาศ
ที่หานซาน สวีโหย่วหรงเคยบอกว่านางไม่อนุญาตให้เขาตาย
ใต้สะพานอุดรใหม่ มังกรดำน้อยก็กล่าวว่านางไม่อนุญาตให้เขาตาย
แต่ความรู้สึกในยามที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวคำพูดนี้ ย่อมต่างไปอย่างมาก เพราะนางทำได้อย่างที่พูด
ต่อให้คู่ต่อสู้ของนางคือสิ่งที่เรียกว่าชะตาก็ตาม
“เราเชื่อในสิ่งที่เรียกว่าชะตา แต่เราไม่เคยนับถือมัน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร่างดาวแล้วกล่าวต่ออย่างเรียบเฉย “เมื่อมีการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ชะตาก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ให้นับถือ แต่เอาไว้ใช้”
เฉินฉางเซิงนึกไปถึงคำแรกบนสมุดบันทึกของหวังจื่อเช่อ
พวกเขาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง แม้ว่าคำพูดเกี่ยวกับชะตาของพวกเขาจะต่างกันอยู่บ้าง แต่แก่นแท้ล้วนก็เหมือนกัน
ตอนนี้ ลมหยุดแล้วฝนก็ซาลง เมฆย่อมค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นดวงดาวพร่างพราวอย่างแท้จริง ทว่าชะตาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังก็ยังคงลึกลับ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองท้องฟ้าพร่างดาวในยามที่นางกล่าว “วิถีสวรรค์อยากให้เจ้าตาย เช่นนั้นเราก็จะให้เจ้าอยู่ วิถีสวรรค์ไม่ต้องการให้เจ้าตาย เช่นนั้นเราก็ต้องการให้เจ้าตาย เราจะสู้กับวิถีสวรรค์เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน”
นางจึงถอนสายตามามองโลกด้านนอกสุสานเทียนซู “ส่วนคนพวกนั้น สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเด็กเล่นเหลวไหล”
สายลมม้วนผ่านสุสานเทียนซูพัดมุมแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับเสียงนาง
ร่างของนางยังคงอยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู ทว่าเฉินฉางเซิงรู้สึกเหมือนนางอยู่ห่างไปกว่าพันลี้
……
……
เมืองซีหนิงที่ห่างไปหลายหมื่นลี้ ราตรีมืดสงัด ลำธารยังคงไหลเรื่อยรวยริน
ปลานอนหลับอยู่เงียบๆ ในร่องหิน ขณะที่กลีบดอกไม้ลอยละล่องมาตามสายน้ำ หมุนวนอยู่รอบเท้าขาวคู่นั้นไม่จากไปไหน
นักบวชก้มมองกลีบดอกไม้และปลาในลำธาร ดูเหมือนจมอยู่ในห้วงนึก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้กับลำธาร สงบผ่อนคลายอย่างยิ่ง แต่กลับเหมือนจะบรรจุไว้ด้วยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
ปลาที่ก้นลำธารกระจายไปด้วยความกลัว พยายามว่ายลึกเข้าไปในร่องหิน แต่ก็ไม่อาจพบทาง จึงได้พาตัวเองไปชนเข้ากับหินแหลมคม การปะทะนี้ก่อให้เกิดเลือด
เลือดปลาเบ่งบานในสายน้ำ อาบย้อมกลีบดอกไม้จนแดงเข้ม กลีบดอกไม้ลอยไปจากเท้าของเขาและรวมตัวกันเป็นวังวนเล็กๆ บนผิวน้ำ
นักบวชมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังอีกด้านของลำธารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมลำธาร มองกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงจิตของนางเดินทางหมื่นลี้ ใช้เพียงแค่ความคิดเท่านั้น
นักบวชยกเท้าซ้ายขึ้นจากลำธาร และงอค้างอยู่กลางอากาศ หัวแม่มือซ้ายจรดหัวแม่เท้าซ้าย คล้ายจะสัมผัส คล้ายจะไม่สัมผัส ก่อตัวเป็นรูปดอกบัว
มือขวาถือสร้อยประคำสีน้ำตาลเข้มที่เคลื่อนไหวช้าๆ ด้วยตัวเอง ครั้นลูกประคำเคลื่อนตัว ก็เหมือนจะแฝงไว้ด้วยความหมายที่แท้จริงของกาลเวลา
เขามองไปที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ จากนั้นริมฝีปากก็อ้าขึ้นเล็กน้อย เริ่มสวดมนต์
บทสวดที่เขากำลังท่องอยู่มีความพิเศษเฉพาะ ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ทั่วไปในคัมภีร์เต๋า บทสวดค่อนข้างจะคลุมเครือและฟังประหลาดอยู่บ้าง เสียงสูงต่ำฟังเป็นทำนองบางอย่าง
มันเป็นบทสวดพุทธ
ความเชื่อทางพุทธได้หายไปจากต้าลู่นานแล้ว ทว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยังเข้าใจอยู่บ้าง ผมดำของนางพลิ้วไหวแม้ไร้สายลม ดูราวกับนางกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
กลีบดอกไม้ที่หมุนวนบนลำธารเคลื่อนเข้าหากันพร้อมคำสวด แล้วก่อตัวเป็นดอกบัว
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่โปร่งใสอย่างยิ่งค่อยๆ แผ่ออกมาจากกลีบดอกที่ทับซ้อน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ริมลำธาร แต่นางดูเหมือนจะยืนอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราตรี
รูปที่มายังเมืองซีหนิงไม่ใช่ร่างกายนาง ทว่าเป็นภาพฉายของดวงจิตในอากาศ แม้เพียงอำนาจคิด ภาพนั้นก็สามารถสูงขึ้นหาใดเปรียบแล้ว
แรงกดดันที่ยากจะบรรยายเริ่มแผ่ออกมาจากกายนาง และดวงตาสว่างเจิดจ้าราวกับดวงดาวจริงๆ
ดอกบัวในลำธารก็เริ่มออกจากวังวน กระจายไปทุกทิศทาง บ้างก็ลอยไปหานาง แต่ส่วนที่มากกว่าลอยไปอีกฝั่งของลำน้ำ
สีหน้านักบวชเคร่งขรึมกว่าเดิม ลูกประคำในมือเริ่มเคลื่อนที่ช้าลงราวกับภูเขาเคลื่อนอยู่ในฝ่ามือ
ลำธารเปลี่ยนเป็นแน่นิ่ง ทุกอย่างหยุดไหล ต้นไม้ริมลำธารก็เหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวด้วย แต่พวกมันก็พลันสั่นไหวใต้สายลมแรง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวกับนักบวช “เจ้ากล้ากลับมา ก็อย่าได้คิดจากไป”
……
……
ทุกครอบครัวยังหลับใหล แต่นักพรตผู้นั้นยังตื่นอยู่
เขามองไปทางสุสานเทียนซู สีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หันกลับและจากไป
เขาหันกลับแล้วเดินไปในความมืดท่ามกลางฝนปรอยสาย มุ่งหน้าไปยังที่ใดก็ไม่ทราบ
จากนั้นร่างเขาก็ปรากฏขึ้นบนสะพานหน่ายเหอเหนือแม่น้ำลั่ว
เขานำนาฬิกาทรายเล็กๆ ที่สร้างอย่างประณีตวางไว้บนราวสะพาน
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันง่ายที่จะมองผ่าน เกิดเป็นเครื่องมือวัดขึ้นมากมาย
นาฬิกาทรายก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือโบราณที่ใช้ในการประมาณเวลา แต่มันก็เป็นความโบราณที่สามารถวางใจได้
นักพรตมองดูนาฬิกาทรายอย่างใจเย็น รู้ว่าหลังจากผ่านไปยี่สิบลมหายใจ อีกฝ่ายจะสามารถยืนยันที่อยู่ที่แท้จริงของเขาได้
ทรายละเอียดไหลลงมาจากส่วนบนสู่ส่วนล่างของนาฬิกาทราย และในตอนที่ทรายกำลังจะหมดนักพรตก็หายตัวไปอีกครั้ง
ครั้นเขาหายตัวไป ปราณเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนสะพานหน่ายเหอ แม่น้ำลั่วตอบสนองด้วยคลื่นที่ลอยสูงจากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว สะเก็ดน้ำแข็งจำนวนเล็กน้อยปรากฏขึ้นในแม่น้ำ
เงาดำปรากฏขึ้นตรงจุดที่นักพรตเคยยืนอยู่ คือหยกสมประสงค์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
หยกสมประสงค์เหมือนจะบรรจุเอาไว้ด้วยวิญญาณอันน่าเกรงขาม หยกพลันมีชีวิตขึ้นมาและออกตามหาที่อยู่ของนักพรตผู้นี้
ในถ้ำเย็นเยียบใต้สะพานอุดรใหม่ เด็กสาวชุดดำกำลังหลับใหลอยู่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง จุดสีชาดบนหน้าผากของนางดูสว่างล้ำเป็นอย่างมาก
ในครั้งนี้ นักพรตผู้นั้นมาอยู่ที่แผงขายซาลาเปาเนื้อแกะทางตะวันตกเฉียงเหนือของจิงตู
เขามองไปที่นาฬิกาทรายในมือ ในครั้งนี้เขาหยุดไปเป็นเวลายี่สิบสามลมหายใจ
เวลาที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต้องใช้เพื่อยืนยันว่าเขาอยู่ที่ไหนนั้นสั้นลงเรื่อยๆ นี่ยังหมายความว่าสถานที่ที่ร่างจริงของเขาจะปรากฏก็จะใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
หากนางยืนยันตำแหน่งของนักพรตได้ นางย่อมใช้กำลังทั้งหมดสังหารเขา
……
……
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู มองไปทางพระราชวังหลีอย่างสุขุม
คืนนี้ได้ดำเนินมานานแล้ว คงอีกไม่นานก่อนที่จะถึงรุ่งอรุณ
แต่พระราชวังหลีก็ยังนิ่งเงียบมาตลอดเวลา ชายชราอยู่ข้างในนั้นเป็นชายชราที่นางต้องรับมืออย่างรอบคอบ ไม่เคยส่งเสียงออกมาให้ได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว
……
……
จูลั่ว กวนซิงเค่อ เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ เหล่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่ก่อพายุได้ ล้วนได้ยินสุรเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
สิบห้าอ๋องแห่งราชสกุลเฉินผู้อาศัยความมืดยามราตรีเข้าสู่จิงตู รวมถึงคู่ต่อสู้ของนางที่รู้สึกกระสับกระส่ายไปแล้ว ก็ล้วนได้ยินเช่นกัน
เสียงนี้เฉยชาอย่างยิ่ง แต่ก็กดขี่หาใดเปรียบ
ก่อนหน้านี้ นักพรตจี้เคยกล่าวว่านางไม่กล้ากินเฉินฉางเซิงเพราะนางขลาดกลัว ไม่กล้าเดิมพันเพราะนางกลัวการดำรงอยู่ของวิถีสวรรค์
แต่นางกลับบอกว่าจะใช้ผลไม้อย่างเฉินฉางเซิงมาเดิมพันกับวิถีสวรรค์ แต่เป็นการเดิมพันแพ้ชนะกับวิถีสวรรค์!
นอกจากยอดฝีมือไม่กี่คน ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้เดินทางไปไกลหมื่นลี้ ของวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของนางก็อยู่ตามท้องถนนของต้าลู่ตามหาร่องรอยของศัตรู พวกเขาเห็นเพียงร่างของนางยืนเงียบๆ อยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู มือนางไพล่อยู่ด้านหลัง ความกลัวที่ไม่อาจระงับได้ผุดขั้นในส่วนลึกของหัวใจ
ที่แห่งนี้คือจุดสูงสุดของจิงตู และยังเป็นจุดสูงสุดของโลกด้วย เพราะนางยืนอยู่ที่แห่งนี้และอยู่ที่นี่มานานกว่าสองร้อยปีแล้ว
พื้นดินไกลออกไปเริ่มสั่นเทา และน้ำฝนที่รวมตัวกันก็สาดกระจายไปทุกทิศทาง
ฟ้าร้องคำรามจากทุ่งราบ สายฟ้าฟาดลงมาเป็นระยะๆ เผยให้เห็นเงาร่างทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วน
มีทั้งเสียงฟ้าร้องจริงๆ และเสียงกีบเท้าที่ดังกระหึ่ม
นอกเหนือจากกองทัพที่ประจำอยู่ตามด่านสำคัญทางเหนืออย่างด่านยงเสวี่ยที่จำเป็นต้องมีกำลังทหารจำนวนมากแล้ว ทหารม้าชั้นยอดของต้าโจวหลายหมื่นนายล้วนอยู่ใต้การนำของสิบเอ็ดขุนพลเทพในจิงตู!
พวกเขาคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีที่สุดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ในโลกนี้ และยังเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของนางอีกด้วย
……