ตอนที่ 514 แข็งนอกอ่อนใน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หลี่กงกงกราบทูลต่อไป สองมือของเขาประคองพระราชพินัยกรรมที่จีเฉวียนทรงทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป ยามนี้ที่ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัว มีหลงเซียวและเหล่าขุนนางใหญ่ที่จีเฉวียนทรงวางพระทัยรอเข้าเฝ้าอยู่ 

 

 

สมองของตู๋กูซิงหลันยังเจ็บระบม ถึงกับไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆชั่วขณะ ขนตายาวเป็นแพกระพริบถี่ๆ สายตาทอดลงไปที่พระราชพินัยกรรมฉบับนั้น 

 

 

เนื้อหาในพระราชพินัยกรรมเรียบง่ายอย่างยิ่ง ‘เมื่อเราสวรรคตแล้ว ขอส่งมอบราชสมบัติให้กับฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน ไทเฮาแห่งต้าโจว –ตู๋กูซิงหลัน จงเคารพนางเสมือนดังเป็นเรา’ 

 

 

พระราชพินัยกรรมถูกประกาศออกไปตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนกลับไปที่โลกปัจจุบัน ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน 

 

 

ช่วงเวลาครึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ก็คือช่วงเวลาที่นางอยู่ในเผ่ามังกรทมิฬที่ทะเลลึกไร้ก้น 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันประคองพินัยกรรมของเขาเอาไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าหนักอึ้งหาใดเปรียบ 

 

 

นี่เขาถึงกับ…..ตระเตรียมหนทางเอาไว้ให้นางตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

“ฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นฉินก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท่านอ๋องสิบเจ็ดอิ๋งฉีขอทูลถวายแผ่นดินต้าฉินทั้งหมดเอาไว้ใต้พระบารมีของฮ่องเต้หญิง…..” หลี่กงกงยืนก้มศีรษะอยู่ข้างๆกายนาง อธิบายวิธีที่จีเฉวียนทรงกำราบแคว้นฉินลงได้ออกมาอีกรอบอย่างรวบรัด 

 

 

“ในวันนี้สามแคว้นใหญ่ล้วนอยู่ภายใต้พระบัญชาของฝ่าบาทแล้ว….. ส่วนพวกแคว้นเล็กแคว้นน้อยพอเห็นแนวโน้มจากแคว้นใหญ่ ก็พากับมาขออ่อนน้อมด้วยเช่นกัน สามารถกล่าวได้ว่า ….ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นผู้นำของแผ่นดินทั้งหมด คือฮ่องเต้หญิงผู้อยู่สูงสุด” 

 

 

เรื่องที่นางกลายเป็นฮ่องเต้หญิง ตอนแรกตู๋กูซิงหลันกระทำลงไปเพียงเพราะว่าต้องการประชดจีเฉวียน ตอนที่โมโหขึ้นมาก็ออกปากยึดเอาแคว้นเหยียนเอาไว้…. 

 

 

แต่ว่านางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมด 

 

 

ฐานะยิ่งสูงส่ง ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักอึ้งตามไปด้วย 

 

 

หลี่กงกงเห็นนางเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ก็ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างๆ ยามนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าปกติแสงอาทิตย์จะเบาบาง แต่ยามเที่ยงวันก็ยังคงรู้สึกร้อนเป็นพิเศษ 

 

 

แสงสีทองที่สาดส่องลงมาบนร่างของนาง ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก…..อย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“ฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสของเรา….ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่?” มือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมพระราชพินัยกรรมเอาไว้ดังเดิม ในหัวใจปวดร้าวอย่างยิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานนางพึ่งจะถามประโยคนั้นออกมาได้เพียงประโยคเดียว 

 

 

คราวนี้ ศีรษะของหลี่กงกงถึงกับโค้งต่ำลงไปอีก 

 

 

เขาไม่กล้าตอบคำถามของนาง ฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ 

 

 

เพราะว่าแม้แต่หัวหน้าองครักษ์ลับหลงเซียวก็ยังไม่มีปัญญาเสาะหาฝ่าบาท ….ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว…..เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะ…. 

 

 

หลี่กงกงถอนหายใจลึกๆออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองก็รื้อน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ขอฮ่องเต้หญิงโปรดทรงคลายความโทมนัส” หลี่กงกงอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ค่อยหันมาปลอบโยนนาง 

 

 

เขาพึ่งจะทูลจบ ก็ได้ยินเสียงขันทีด้านนอกกราบทูลว่า “แม่ทัพผู้พิชิตขอเข้าเฝ้า” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันม้วนเก็บพระราชพินัยกรรม วางไว้ที่ข้างหน้าต่าง มองออกไปดูต้นฮว๋ายสองต้นในตำหนักตี้หัว ค่อยกล่าวว่า “เชิญพี่ใหญ่เข้ามา” 

 

 

ไม่ถึงอึดใจ ก็เห็นตู๋กูจุนที่สวมใส่เกราะเงินตลอดร่างย่างเท้าก้าวเข้ามา 

 

 

เขาเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบสอง อายุสิบสามก็พบกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน เข่นฆ่าอยู่ในสมรภูมิมานานปี จึงเหมือนมีไอสังหารครอบคลุมทั่วร่างมานานแล้ว 

 

 

แม้ว่าจะเดินเข้ามาอย่างเรียบเรื่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกเสมือนกองกำลังนับพันนับหมื่นอยู่ด้านหลัง 

 

 

ทันทีที่เข้ามาในพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูจุนก็เห็นน้องสาวของตนเองยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอก 

 

 

ใบหน้าด้านข้างของนางหมดจดงดงาม โครงหน้าเรียบละมุนเสมือนดั่งเป็นตุ๊กตาเครื่องเคลือบ 

 

 

เพียงแต่หัวคิ้วถูกย้อมด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน คนมองดูแล้วเสมือนกับว่าเติบโตขึ้นอย่างมากในชั่วข้ามคืน 

 

 

จริงสิ นางอายุสิบแปดแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ 

 

 

นับตั้งแต่ที่นางและน้องรองหายสาบสูญไป ก็ไม่มีวันใดที่เขาและท่านตาจะหยุดค้นหาคนที่ทะเลตะวันตก น้องรองนั้นหาไม่พบ ……แต่ว่าก็ยังโชคดีที่ในที่สุดก็เสาะหาน้องเล็กจนเจอ 

 

 

จนถึงตอนนี้ตู๋กูจุนก็ยังไม่ลืมว่า ตอนที่เจอนางนั้น มือของนางมีแต่เลือดเต็มไปหมด 

 

 

นิ้วทั้งสิบแตกเละเทะ ปากแผลมีแต่ดินโคลน แห้งกรัง 

 

 

นางรับบาดเจ็บภายใน ชีพจรหัวใจบอบช้ำ จนไม่รู้ว่านางไปประสบกับเหตุการณ์เช่นไรมา 

 

 

ยามนี้หัวคิ้วของนางแฝงความเย็นชา ยามที่นางหันกลับมามองนั้น คนที่เป็นผู้นำอย่างตู๋กูจุนยังถึงกับรู้สึกว่าวางมือไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่จ้องมองนางอย่างตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง 

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าของเขา ในสมองก็ปราฏภาพของซือเป่ยขึ้นมาทันที 

 

 

หากมิใช่รู้อย่างชัดเจนอยู่ก่อนว่า คนผู้นี้คือพี่ใหญ่ตัวจริงอย่างแน่แท้ เกรงว่านางก็อาจจะยกหมัดต่อยออกไปก่อนแล้ว 

 

 

นางจับจ้องมองดูตู๋กูจุน มองดูอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ค่อยกดความรู้สึกหุนหันนั้นลงไป 

 

 

บังคับตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้ ส่งเสียงออกไปคำหนึ่งว่า “พี่ใหญ่” 

 

 

ตู๋กูจุนหลั่งน้ำตาออกมาในทันที ครึ่งเดือนก่อน ที่ทะเลตะวันตกมีปีศาจอาละวาด เมืองริมทะเลทั้งหมดของแคว้นเหยียนพังทลายลง….. 

 

 

ยามที่พวกเขาบุกไปถึงทะเลตะวันตก ฮ่องเต้หญิงทรงขี่สัตว์อสูรที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกร ในมือถือดาบยักษ์ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั่นอย่างดุเดือด 

 

 

เจ้าสัตว์ประหลาดในทะเลตะวันตกตัวนั้นทำให้เกิดคลื่นทะเลขึ้นมาบนฝั่ง แทบจะทำลายแคว้นเหยียนไปเกือบครึ่งหนึ่ง 

 

 

หากมิใช่ว่าฮ่องเต้หญิงทรงออกศึกกำราบมันด้วยตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายไปอีกสักเท่าไหร่ 

 

 

“อืม” ตู๋กูจุนพยายามอดกลั้นความอ่อนไหวที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งเอาไว้ เขากระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เดินเรื่อยๆมาถึงตรงหน้านาง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเสียจนอยากจะกอดน้องสาวของตนเองเอาไว้ 

 

 

แต่ว่าตอนนี้นางกลายเป็นประมุขของแผ่นดินทั้งหมดไปแล้ว หากเขาทำเช่นนั้นออกจะเป็นการผิดกาลเทศะ ไม่เคารพเบื้องสูง คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร 

 

 

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดึงมือที่ยื่นออกมากลับมา 

 

 

“ตื่นแล้วก็ดี ตื่นแล้วก็ดี” เขาพูดออกมาซ้ำกัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงความโล่งใจที่ผ่านพ้นเภทภัยครั้งใหญ่มาได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปหา เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปโอบกอดเขาเอง เอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว” 

 

 

พี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ ซือเป่ยก็คือซือเป่ย ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน นางไม่อาจเกลียดชังญาติสนิทของตนเองเพียงเพราะเคียดแค้นซือเป่ย 

 

 

ได้แต่บอกว่าระหว่างพี่ใหญ่และซือเป่ย บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกันบางประการ 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์กับซือเป่ยต่อสู้กัน นางได้ยินซือเป่ยเอ่ยถึงพี่ชายของเขาอยู่หลายครั้ง….ซือหนาน 

 

 

ผู้ที่ทรยศต่อเผ่าสวรรค์มาเป็นกำลังให้กับอาจารย์ 

 

 

บางทีพี่ใหญ่กับซือหนานอาจจะเกี่ยวข้องกัน? 

 

 

ด้วยความเฉลียวฉลาดของตู๋กูซิงหลัน นางย่อมสามารถเชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

อาจารย์จากไปอย่างกระทันหัน แม้แต่เรื่องราวที่ก่อนหน้าของเขานางก็ยังไม่ทันได้เข้าใจชัดเจน เขาไม่เคยเล่าให้มากความ นางก็ไม่เคยถามให้มากเรื่อง ตอนนี้จึงเหลือแต่ความเสียดายอย่างที่สุด 

 

 

เดิมทีนางคิดจะไปรออาจารย์ที่ธารน้ำพุเหลือง ….แต่ว่ากลับถูกส่งกลับมาที่โลกโบราณนี้อย่างไม่ตั้งใจ แต่ว่าในเมื่อกลับมาแล้ว นางก็จะต้องปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของตนเองให้ดี และทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น…. 

 

 

สักวันหนึ่งนางจะขึ้นไปสังหารเหล่าเทพบนสวรรค์ แก้แค้นให้กับอาจารย์และจีเฉวียน 

 

 

ความแค้น ยิ่งต้องกักเก็บเอาไว้ในใจ มันก็จะผลิหน่อแตกกอขึ้นมา 

 

 

หากว่านางไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้ สุดท้ายก็ต้องถูกโจมตีจนแหลกอยู่ดี 

 

 

…………….. 

 

 

แค่เพียงได้รับอ้อมกอด ก็ทำให้ตู๋กูจุนที่เป็นบุรุษกำยำสูงเกือบสองเมตรต้องน้ำตาคลอหน่วย 

 

 

เขาพลิกมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเช่นกัน จากนั้นก็ตบไหล่ของนางเบาๆ คนที่แข็งนอกอ่อนในอย่างเขามักแสดงออกแต่เพียงเท่านี้ 

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสองคลายกอดกัน 

 

 

“พี่รองกับชือหลียังอยู่ดีหรือไม่?” ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันที่ตู๋กูซิงหลันกังวลมากที่สุดก็คือสองคนนี้ 

 

 

ถ้อยคำไร้สาระไม่พึงต้องเอ่ยถึง นางเลือกมุ่งประเด็นไปยังสิ่งที่ค้างคาในใจ 

 

 

สีหน้าของตู๋กูจุนหนักอึ้ง เขายื่นมือมาลูบไล้เส้นผมของนางเบาๆ “เจ้าพึ่งจะฟื้น พักผ่อนให้ดีเสียก่อน พี่ใหญ่จะค่อยๆเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง” 

 

 

………………….