หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1119 บรรลุ

ความแข็งกระด้างของรูปปั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจก็เผยให้เห็นภาพเงาสีดำถือหอกยาวสีดำที่มีลวดลายโบราณสลักอยู่ที่ส่วนปลาย ทำให้มีมิติสั่นสะเทือนไปด้วยเกลียวแสง

ร่างนั้นยืนอยู่เหนือเสาหินอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว แต่มีรัศมีข่มขวัญพล่านออกมา

มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีครอบงำที่ตื่นขึ้น มุมหางตาของเขากระตุกไม่หยุด นี่คือศิษย์ระดับมังกรทอง? น่าเกรงขามอย่างแท้จริง จากการประเมินรัศมีที่อีกฝ่ายมีน่าจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อยแล้ว

อีกก้าวเดียวก็จะได้ชื่อว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

มู่เฉินกำหมัดอย่างช้าๆ ในแขนเสื้อพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขารู้สึกว่ารูขุมขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ ผิวหนังก็ตึงแน่น ร่างกายอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างมากจากศิษย์ระดับมังกรทองคำคนนี้

“ขั้นเก้าระยะเต็ม…”

มู่เฉินถอนหายใจ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้แม้แต่ตัวเขาก็พบว่ายากที่จะรับมือ แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้…

“ดูท่าจะถึงเวลาลองค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารซะหน่อยแล้ว…”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหว แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นค่ายกลระดับจงซือ หากเขาสามารถสร้างได้ก็น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับนี้ได้

ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง แม้จะศึกษามาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ล้มเหลวหลายครั้งยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

ถึงกระนั้นเขาก็ค่อยๆ ปรับแต่งข้อบกพร่องให้สมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ตามการคาดการณ์ตราบใดที่คลื่นหลิงในร่างกายหนาแน่นขึ้นอีกนิด เขาก็มีความมั่นใจที่จะจัดเรียงค่ายกลนี้

วิธีเดียวที่จะเพิ่มคลื่นหลิงในร่างก็คือบรรลุขุมพลัง ถ้าสำหรับคนอื่นอาจต้องการค้นหาโอกาสสะสมไปเรื่อยๆ แต่สำหรับมู่เฉินในตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว…

ย้อนกลับไปที่มหาสมุทรเทพสร้าง เขาก็สามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว ทว่าตัวเขาพยายามยับยั้งพลังเอาไว้อย่างรุนแรง เนื่องจากเขาต้องการสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อน

แต่ตอนนี้… ถึงเวลาที่จะบรรลุอีกครั้งแล้ว

ใบหน้าสงบนิ่ง มู่เฉินก็สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือ ของเหลวจื้อจุนมหาศาลกวาดออกล้อมรอบร่างเข้าไว้ เติมเต็มมิตินี้ด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต

ขณะที่หายใจหมอกสีขาวก็ลอยขึ้นแรงดูดพุ่งออกมา ของเหลวจื้อจุนไร้ขอบเขตแยกออกเป็นสาย เข้าสู่ร่างมู่เฉินจากทางปากและจมูก

ที่เบื้องหลังมิติผันผวน จุดจื้อจุนไห่ปรากฏเลือนราง เหมือนจะเห็นท้องฟ้าแตกออก คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูเข้าสู่ทะเลพลัง

มู่เฉินตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นเก้าที่นี่!

ศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นบนเสา ก็กระชับหอกสีดำแน่น ดวงตานิ่งไม่ไหวติง เนื่องจากไม่รู้สึกถึงรัศมีการสู้จากมู่เฉิน ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขยับ

เพราะสุดท้ายประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็มีไว้เพื่อทดสอบศักยภาพของศิษย์ ดังนั้นหากศิษย์คนใดเลือกที่จะบรรลุที่นี่ ตามกฎประตูก็จะไม่รบกวนแต่จะปกป้องแทนด้วยซ้ำ

มู่เฉินรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพัฒนาขุมพลังที่นี่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนที่ห้อมล้อมร่างมู่เฉินก็เบาบางลง เนื่องจากคลื่นหลิงภายในได้รับดูดซับโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

ระดับน้ำของทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นทะเลพลังยังดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกกลิ้งผ่านไปมา

ในเวลาเดียวกันแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างกายของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง

ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา ของเหลวจื้อจุนหยดสุดท้ายก็ถูกดูดซับไป ทั้งมิติเงียบงันลงโดยมีเพียงมู่เฉินที่ยืนนิ่งราวกับหินผาโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็หายไป มู่เฉินดูสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นเปล่งออกมาแม้แต่น้อย

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา ดังนั้นหลังจากความเงียบดำเนินไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ดวงตาปิดสนิทของมู่เฉินก็เบิกโพลง

ตู้ม!

แสงหลิงพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับคลื่นกระแทกไร้ขอบเขตกวาดออก ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าคำรน

แรงกดดันทรงพลังของคลื่นหลิงกระจายออกไปโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง

มู่เฉินค่อยๆ กำกำปั้นแน่น รับรู้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังกลิ้งตัวไปมาอยู่ในร่างกายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจประดับที่มุมปาก

หลังจากยับยั้งคลื่นพลังในร่างไว้หลายเดือนในที่สุดเขาก็บรรลุสำเร็จ เข้าสู่ขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริง!

แม้ว่าจะเป็นอีกครึ่งก้าว แต่ก็เป็นการเพิ่มที่ทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสำหรับมู่เฉิน

นั่นเป็นเพราะการบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำให้เขาสามารถใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาได้… อย่างเช่นค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

“เจ้าผู้ท้าชิงบรรลุเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ขณะที่มู่เฉินกำลังชื่นชมยินดีกับพลังที่เพิ่มขึ้น เสียงแผ่วเบาก็ดังก้องไปทั่ว

มู่เฉินอึ้งไปจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นศิษย์ระดับมังกรทองคำก้มหัวลงมองมา จอมยุทธ์คนนี้ดวงตาไม่ว่างเปล่าเหมือนคนอื่น มีสติปัญญาแฝงอยู่เล็กน้อย

ดูเหมือนศิษย์ระดับมังกรทองคำจะแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ

มู่เฉินประหลาดใจไปก่อนที่จะยิ้มแล้วพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เริ่มกันเลยเถอะ ตราบใดที่เจ้าประสบความสำเร็จก็จะได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำที่มีตำแหน่งสูงของวังสวรรค์บรรพกาล หากล้มเหลวก็เป็นศิษย์ระดับมังกรขาวไป” ศิษย์ระดับมังกรทองคำชี้ปลายหอกมาที่มู่เฉิน แม้จะอยู่ในระยะไกลมู่เฉินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นบนผิวหนัง

“ถ้าล้มเหลวไม่มีกระทั่งคุณสมบัติที่จะท้าประลองศิษย์ระดับมังกรเขียวรึ…” มู่เฉินพึมพำ ดูเหมือนว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ในอดีตอีกต่อไป มีข้อบกพร่องในกฎท้าทายดังกล่าว

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก หากเขาไม่ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ จะมังกรขาวหรือมังกรเขียวก็ไม่ต่างกันหรอก

แต่ตามความเห็นของเขาดูเหมือนว่ามีเพียงศิษย์ระดับมังกรทองคำเท่านั้นที่สามารถได้รับวิธีพัฒนาร่างเทพสุริยะ ดังนั้นเขาต้องพยายามเต็มที่เพื่อครอบครองตำแหน่งนี้

ด้วยความคิดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเล สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะวาดตราประทับขึ้นมา เกลียวแสงพุ่งออกมาพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเข้มข้นนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมารวมเข้ากับอากาศ

ท่าทางมู่เฉินเคร่งเครียดลงมาก ขณะกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีจำนวนเกินขอบเขตค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงที่สร้างก่อนหน้าแล้ว

ศิษย์ระดับมังกรทองคำยังยืนนิ่งอยู่บนเสาหินโดยไม่ได้เริ่มการโจมตี ตามกฎแล้วจะต้องรับกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ท้าชิงก่อนจะประเมินขั้นสุดท้าย

การรอคอยของอีกฝ่ายให้เวลามู่เฉินอย่างเพียงพอในการเตรียมการ

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากบินฉวัดเฉวียนออกไปรัศมีหลายหมื่นจั้งก็เกิดความผันผวนพร้อมกับสายผนึกแผ่ซ่านออกมา ถักทอกันและกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

โครงสร้างค่ายกลค่อยๆ สมบูรณ์ เส้นสายแสงกลายเป็นสายผนึกที่หนาแน่นบัดนี้มู่เฉินบรรลุอีกระดับแล้ว หน้าผากของมู่เฉินปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อชื้น ตอนนี้เขาถึงได้พบว่างานนี้ต้องเสียพลังแค่ไหน

ถ้าเขาไม่ได้บรรลุขุมพลังก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลนี้ ไม่ว่าเขาจะศึกษาหรือทำความเข้าใจมานานแค่ไหนก็ตาม

ในมิตินี้ค่ายกลมหึมาถูกสร้างขึ้นเรื่อยๆ ความซับซ้อนและลึกซึ้งนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่ไม่เข้าใจศาสตร์ค่ายกลเลือดร้อนขึ้นมา

แม้แต่สายตาศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด กระทั่งอากาศครอบงำรอบตัวก็ยังถูกระงับ วงรัศมีหดลงมาเรื่อยๆ

เม็ดเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากมู่เฉินขณะที่ดวงตาจ้องไปที่ค่ายกลและจัดการอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าจะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ หากเขาล้มเหลวก็จะไม่สามารถจัดเรียงค่ายกลใหม่ได้อีกในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงการท้าทายจบสิ้นลง

แต่โชคดีที่มู่เฉินเคยฝึกฝนหลายครั้งในอดีต ดังนั้นในที่สุดค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ เอิบอาบไปด้วยแรงกดดันที่คลุมเครือ

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่กำลังก่อตัวก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแสงสีขาวหลายสายพุ่งเข้าไปในค่ายกล

มองทะลุผ่านแสงสีขาวก็จะเห็นว่านี่คือกระดูกมังกร!

กระดูกมังกรแต่ละชิ้นเปล่งพลังมังกร

ซึ่งกระดูกเหล่านี้จะเป็นใจกลางของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อกระดูกมังกรเข้าสู่ค่ายกลก็เกิดการสั่นไหว แสงหลิงนับไม่ถ้วนแปรปรวน สุดท้ายมารวมตัวกันรุนแรงพุ่งไปยังกระดูกมังกร

โฮก!

แสงหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยาน จากนั้นมู่เฉินก็เห็นว่าก่อร่างเป็นมังกรขนาดมหึมาที่น่ากลัวในค่ายกล

มู่เฉินมองไปที่มังกรก็รู้สึกโล่งอกพร้อมกับความสุขกระจายในนัยน์ตา

ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร!