ตอนที่ 1415 การโจมตีที่มาอย่างกะทันหัน โดย Ink Stone_Fantasy
ในเวลานี้คนงานคนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทุกคนต่างหยุดฝีเท้า สายตามองดูฝูงนกดำทะมึนพร้อมส่งเสียงพูดคุยกัน
แต่ชาร์มกลับรับรู้ได้ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์
นั่นไม่ใช่สัญญาณเตือนที่ใช้ในเมือง หากแต่เป็นสัญญาณเตือนที่กองทัพที่หนึ่งใช้ในเวลารบ นี่หมายความว่าศัตรูได้บุกเข้ามาอยู่ข้างหน้ากองทัพแล้ว การต่อสู้สามารถเริ่มขึ้นได้ทุกเมื่อ…พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่สัญญาณเตือนดังมาถึงที่นี่ พวกเขาก็กำลังสู้กับศัตรูแล้ว
หรือว่าปีศาจจะกลับมาโจมตี?
ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!
เขาตามพ่อออกไปรบตั้งแต่ป่าเร้นลับไปจนถึงสถานีหมายเลขสิบ ดังนั้นเขาจึงพอจะรู้สึกสถานการณ์ทางเหนืออยู่บ้าง
จุดประสงค์หลักๆ ที่กองทัพที่หนึ่งทำการปรับปรุงซากเมืองทาคิลาก็เพื่อใช้ป้องกันพื้นที่ตรงนี้ บนที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ หอสังเกตการณ์สูงๆ หอหนึ่งสามารถมองออกไปได้ไกล 10 กว่ากิโลเมตร ส่วนหอหมอกแดงนั้นไม่เพียงแต่จะต้องใช้เวลาสร้าง แต่ระยะทางจากซากเมืองทาคิลามาถึงพื้นที่บุกเบิกใหม่ของเนเวอร์วินเทอร์แห่งนี้นั้นห่างกันถึง 300 – 400 กิโลเมตร ศัตรูจะบุกเข้ามาในพื้นที่ใกล้เมืองหลวงแห่งใหม่นี้โดยไร้ซุ่มเสียงได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาครุ่นคิดเรื่องนี้
ทหารที่ประจำการอยู่ที่หอสังเกตการณ์ของสถานีหมายเลขสองมีอย่างมากที่สุดก็ร้อยกว่าคน แถมยังเป็นทหารใหม่ทั้งหมดด้วย ถ้าพวกเขาถูกลอบโจมตีจริงๆ พวกเขาจะสามารถป้องกันที่นี่จากพวกปีศาจได้หรือเปล่า?
ภายในใจชาร์มไม่มีความมั่นใจเลย
จู่ๆ โบแชงพลันวิ่งไปทางสถานี
“เฮ้ เจ้าจะไปไหน?”
“ดัสก์ยังอยู่บนรถไฟ ข้าจะไปรับนาง!”
คำพูดนี้ช่วยเรียกสติให้ชาร์ม — ตามระเบียบการอพยพ หลังจากได้ยินสัญญาณเตือน ทุกคนควรจะหนีไปยังหลุมหลบภัยที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่สถานีสำหรับขนของลงจากรถไฟนั้นตั้งอยู่รอบนอกสุดของพื้นที่ ตอนนี้ถ้าให้พวกเขาวิ่งกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แถมยังต้องวิ่งย้อนกลับด้วย แทนที่จะพาดัสก์หนีไปยังที่หลบภัย สู้พาเธอขึ้นรถไฟหนีไปดีกว่า
“ทุกคนดูนี่!” ชาร์มแกะเอาเหรียญตราออกมาชูไว้ในมือ “ข้าคือชาร์ม เป็นทหารของกองทัพที่หนึ่ง พื้นที่บุกเบิกหมายเลขสองถูกลอบโจมตี ทุกคนวางของในมือแล้วตามข้ามา — ที่นี่อยู่ห่างจากที่หลบภัยไกลเกินไป พวกเราจะหนีไปบนรถไฟ!” พอพูดจบเขาก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาอีกประโยค “อดีตทหารน่ะ”
แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงพูดเบาๆ ของเขา พริบตาที่อ้างชื่อกองทัพที่หนึ่งออกไป เหล่าคนงานก็ยกเขาเป็นผู้นำทันที คนที่ตอนแรกวิ่งไปทางใต้ก็หยุดฝีเท้าแล้ววิ่งกลับมารวมอยู่ข้างเขา
ภาพแบบนี้ทำเอาชาร์มรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ตอนที่อยู่ในกองทัพที่หนึ่ง เขาเป็นแค่พลสังเกตการณ์บนแบล็คริเวอร์และเป็นลูกมือให้พ่อตัวเองเท่านั้น ประสบการณ์ในการนำคนอื่นเรียกได้ว่าไม่มีเลย แล้วตอนนี้ต้องมานำคนกลุ่มหนึ่ง ภายในใจเขาพลันเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา เพียงแต่เขาพูดออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องลุยไปข้างหน้าต่อ
“ไปทางนี้!” ชาร์มพาคนนั้นวิ่งไปข้างรถไฟ ก่อนจะชนเขากับแฮงค์ที่กำลังหน้าตาตื่นเข้า
“พะ เพื่อน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ข้าแค่ออกมาหาที่ปลดทุกข์เท่านั้น…”
“เจ้ายังไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้น” ชาร์มคว้าแขนของเขาไว้ “ถ่านหินกับน้ำเติมเรียบร้อยยัง? ความดันในหม้อน้ำเป็นยังไงบ้าง?”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างลนลาน “ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ….”
“ดีมาก!” เขาตะโกนสั่งเสียงดัง “ตอนนี้เจ้ารีบไปโยกคันบังคับทิศทางกลับมา พวกเราจะกลับไปยังสถานีหมายเลขหนึ่ง หลังปลดเบรกแล้วให้เปิดหวูดเตือนด้วย เข้าใจไหม! แล้วก็เอาปืนมาใส่กระสุนให้เรียบร้อยแล้ววางในที่ที่ตัวเองสามารถหยิบขึ้นมาได้ทุกเมื่อ!”
“แล้ว…เจ้าล่ะ?”
“ข้าจะไปจัดการคนอื่นๆ ก่อน แล้วเดียวตามไปรวมกับเจ้าที่หัวรถ”
หลังจากนั้นไม่กี่นาที รถไฟก็พ่นควันสีขาวออกมา ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีหมายเลขสอง
ในช่วงเวลานี้ คนงานหลายๆ คนบนสถานีก็สังเกตเห็นพวกเขา ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นมาบนขบวนรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ ในนั้นมีทหารชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มาเฝ้าลานวางของด้วย —- ถึงแม้จะมีแค่สิบกว่าคน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พกปืนมาด้วย นี่ทำให้ชาร์มเบาใจได้ไม่น้อย
ถึงแม้เขาจะอยากไปอยู่ข้างกายดัสก์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลาแบบนี้ก็คือพาทุกคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ด้วยเหตุนี้หลังมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไร เขาก็วิ่งกลับไปที่หัวรถไฟ
ในเวลานี้เอง ชาร์มก็ได้เห็นโฉมหน้าของศัตรูที่บุกเข้ามาโจมตี
สัตว์อสูรฝูงหนึ่งวิ่งบุกเข้ามา!
“พระเจ้า ไหนบอกว่าพวกมันจะปรากฏตัวแต่ตอนเดือนแห่งปีศาจไง?” แฮงค์หมอบอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมบ่นพึมพำขึ้นมา
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ชาร์มหยิบเอาปืนของตัวเองออกมาจากล็อกเกอร์ ก่อนจะปีนขึ้นไปบนหลังคารถไฟอย่างชำนาญ เนื่องจากรถไปกำลังวิ่งกลับ เขาซึ่งอยู่ท้ายขบวนจึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านหลังได้อย่างชัดเจน สัตว์อสูรจำนวนมากแห่กันเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีทั้งสัตว์อสูรธรรมดา แล้วก็มีพันธุ์ผสมที่ตัวใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ความเร็วในการบุกเข้ามาของพวกมันเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ หลังออกมาจากสถานีได้ไม่นาน เขาก็มองเห็นเงาสีดำๆ วิ่งข้ามรางเหล็กเข้าไปในพื้นที่ขนของแล้ว
ถ้าทุกคนอาศัยสองเท้าวิ่งหนี ไม่มีทางที่พวกเขาจะวิ่งหนีสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งพวกนี้ได้เลย
—- เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว
ความคิดนี้ทำให้ชาร์มถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจ
แต่ความสงสัยยังอยู่มีอยู่
สัตว์อสูรแบบนี้ถูกสกัดเอาไว้ด้วยกำแพงซีเมนต์และอาวุธปืนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว พวกมันไม่สามารถก้าวเข้ามาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้อีก ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แล้วสัตว์อสูรพวกนี้มันจะบุกเข้ามาได้ยังไง?
เสียงปืนที่ดังขึ้นหลังจากนั้นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ —- พันธุ์ผสมหลายตัวสังเกตเห็นรถไฟที่กำลังส่งเสียงดัง พวกมันวิ่งไล่เข้ามาจากทางด้านเหนือ จากนั้นจึงถูกสังหารลงด้วยปืนยาวแวนนา น้ำเลือดสีดำเจิ่งนองเต็มพื้น ช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่ได้ทำให้พวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย การโจมตีของสัตว์อสูรยังคงใช้แต่เขี้ยวและกรงเล็บเหมือนสัตว์ป่าอยู่ ความน่ากลัวของพวกมันไม่อาจเทียบปีศาจที่ขว้างหอกได้ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าศัตรูแบบนี้ต้องทำยังไงถึงจะสามารถบุกเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียงได้
“ปัง!”
หลังเสียงดังสนั่นขึ้นมา รถไฟพลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกับว่าชนเข้ากับอะไรบางอย่าง
ชาร์มเกือบกระเด็นตกลงมาจากหัวรถไฟ เขาหันหน้ากลับไปมองอย่างโมโห ก่อนจะรู้สึกเย็บวาบขึ้นมาทันที! ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ด้านข้างรถไฟพลันมีสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกๆ ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันแนบติดกับตู้โดยสารรถไฟ เห็นได้ชัดว่ามันถูกชนจนยุบเข้าไป เลือดสีน้ำเงินไหลทะลักออกมาจนเปื้อนผิวรถไฟไปเป็นแถบ สัตว์ประหลาดมีขาจำนวนมากและเปลือกที่เหมือนกับแมลง เขี้ยวที่เหมือนเคียวคู่หนึ่งที่อยู่ตรงหัวมันแสดงให้เห็นว่ามันอยู่ในตำแหน่งผู้ล่า
สิ่งที่น่าสงสัยก็คือก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตรงหน้ารถไฟจะมีสัตว์ประหลาดอยู่ แล้วเจ้านี้มันโผล่มาจากไหนกันแน่?
แต่ทันใดนั้นชาร์มก็ไม่มีเวลาจะมานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีก
เพราะเขาเห็นว่ารางรถไฟที่อยู่ไม่ไกลขาดออกเป็นสองท่อน!
“แฮงค์ รีบเบรคเร็ว!” เขาตะโกนพร้อมกับรีบมุดกลับเข้าไปในขบวนรถไฟ ก่อนจะรีบคว้าราวจับเอาไว้แน่นๆ ด้วยความเร็วสูงสุด ถึงแม้เพื่อนของเขาจะงุนงง แต่อีกฝ่ายก็รีบดึงเบรกทันที เสียงหวีดที่เล็กแหลมดังไปทั่วทั้งขบวนรถ ชาร์มได้กลิ่นเหม็นไหม้จากจานเบรกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว รถไฟวิ่งผ่านพื้นที่ที่รางขาด ตัวรถที่หนักอึ้งกดล้อรถจมลงไปในพื้นหินแตกๆ จากนั้นหัวรถก็พุ่งลงไปในคันทาง ตู้โดยสารที่สูญเสียรางในการจำกัดความเร็วชนเข้าด้วยกัน ก่อนจะพลิกคว่ำอย่างรุนแรง
………………………………………………………………..