ตอนที่ 516 เทวบุตรจากสำนักหงเหมิง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สำนักหงเหมินเป็นรองก็แต่เพียงวังตันติ่งกง สถานฝึกฝนวิชาเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวเท่านั้น 

 

 

รองจากวังตันติ่งกงมีสามสำนักใหญ่ ในบรรดานั้น สำนักหงเหมิงถือว่าอ่อนแอที่สุด 

 

 

ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอที่สุด แต่เหล่านักพรตที่พวกเขานำมาก็ยังแข็งแกร่งกว่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิงซานในดินแดนนี้มากมายนัก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสวมฉลองพระองค์สีแดงตลอดร่าง บนเศียรสวมกว้านเยี่ยงฮ่องเต้หญิง ลูกปัดหยกแดงบนพระมาลายาวถึงบ่า ผิวพรรณขาวดุจหิมะแรก ดวงเนตรเย็นชาเสมือนทะเลสาบน้ำแข็ง 

 

 

หลังผ่านประสบการณ์มาช่วงหนึ่ง นางก็เพิ่มพูนความเย็นชาในตัว ลดทอนความอ่อนประสบการณ์ออกไป 

 

 

ยามประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ เพียงกวาดพระเนตรมองออกไป ก็เปี่ยมล้นไปด้วยบารมีสูงส่ง 

 

 

ในตำหนักจิ่นซิ่วมีเหล่าขุนนางมาร่วมเข้าเฝ้าอยู่ไม่น้อย แม้แต่นักพรตอู๋เจินและอู๋ซื่อจากอารามเทียนเก๋อกวนก็ยังถูกเชิญมาร่วมเข้าเฝ้าในวัง 

 

 

เทวบุตรของสำนักหงเหมิงและเหล่านักพรตทั้งหลายได้รับประทานอนุญาตจากตู๋กูซิงหลันให้นั่งลงได้ ตำแหน่งที่พวกเขานั่งลงอยู่กึ่งกลางของตำหนักจิ่นซิ่ว 

 

 

ยามนี้ แต่ละคนต่างก็จับจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

“ยามอยู่ที่จิ่วโจว เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้หญิงทรงพระสิริโฉมดุจเทพธิดา วันนี้ได้มาพบ นับว่าชื่อเสียงที่เลื่องลือนั้นจริงแท้” เทวบุตรสำนักหงเหมิงลุกขึ้นยืน ในมือถือจอกสุราใบหนึ่ง ยกขึ้นไปทางตู๋กูซิงหลันด้วยความเคารพ “กระหม่อมคือ เซียวเฉิน ขอบพระทัยฮ่องเต้หญิงที่ทรงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น กระหม่อมขอดื่มถวายพระพรหนึ่งจอก” 

 

 

บุรุษผู้นี้มองดูเหมือนจะอายุไม่เกินยี่สิบ ท่าทางสุขุมสุภาพ ในร่างเหมือนมีพลังวิญญาณกำจายออกมาอยู่ตลอดเวลา ยามยกมือวางเท้าก็ดูดีมีราศีเหมือนดั่งผู้ที่มาจากสกุลใหญ่โต 

 

 

“ท่านไม่จำเป็นต้องมากมารยาท” ตู๋กูซิงหลันประคองจอกสุราในมือยกขึ้นช้าๆ เงาสุราในจอกก็ถูกจิบหายไปจนหมด 

 

 

ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นหรี่ลง ขนตาหนาเป็นแพแต่ละเส้นทั้งยาวและคมชัดจนงอนงาม 

 

 

แค่กริยาตอบรับเพียงเล็กน้อย ก็ทำเอาเซียวเฉินถึงกับไม่อาจละสายตาจากไปได้เลย 

 

 

โฉมงามในดินแดนจิ่วโจวมีอยู่มากมายดุจก้อนเมฆ แต่กับไม่มีผู้ใดที่ดูเจิดจ้าบาดตาเช่นนี้ 

 

 

เดิมทีเขาคิดว่าข่าวลือเรื่องรูปโฉมของตู๋กูซิงหลันนั้นออกจะเกินจริงไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าวินาทีที่ได้เห็นด้วยตาของตนเองนั้น เขาจะถูกดึงดูดจนถึงกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว 

 

 

สายตาของเขาไม่อาจละจากร่างของตู๋กูซิงหลันได้เลย เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ในที่นี้ มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นผู้ภักดีที่จีเฉวียนทิ้งไว้ให้ แต่ละคนล้วนเป็นบุรุษที่มีเลือดเนื้อ พอได้เห็นสายตาของเซียวเฉิงต่างก็พากันรู้สึกไม่พอใจ 

 

 

เทวบุตรผู้สูงส่งในที่ใด เห็นได้ชัดว่าเขามีประสงค์ไม่ดีต่อฮ่องเต้หญิงอยู่ชัดๆ 

 

 

ท่านผู้เฒ่าตู๋กูก็อยากจะลุกขึ้นไปคว้าไม้กวาดประจำตัวมาอยู่เหมือนกัน เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะ ยังจะกล้ามาทำท่าสนใจหลานสาวของเขาอีกหรือ? 

 

 

สายตาเช่นนั้น ต้องถือว่าบังอาจเกินไปแล้ว! 

 

 

สีหน้าของตู๋กูจุนเองก็ไม่ดีสักเท่าไร น้องสาวของตนกลายเป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินแล้ว ฝีมือในการปกครองแว่นแคว้นของนางต้องนับว่าสูงส่งกว่าบรรดาฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เหล่าขุนนางในราชสำนักลดทอนเรื่องขัดแย้ง ปวงประชาสงบสุข ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็ให้ความเคารพนาง 

 

 

ถึงแม้ว่าอาจจะมีผู้ที่ริษยาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดที่กล้าจ้องมองดูนางด้วยแววตาที่ดูจงใจเช่นนี้ 

 

 

สายตานั่นช่างทำให้ผู้คนรู้สึกหงุดหงิดเสียจริง 

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับมานั้น ก็ได้ส่งมอบดาบยักษ์คืนให้กับพี่ใหญ่ไปแล้ว เพียงแต่กลางตัวดาบชำรุดเป็นรู รูหนึ่ง ยังไม่ทันได้ซ่อมแซมให้ดี 

 

 

แต่ว่านั่นก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการพกพาดาบเอาไว้กับตัวของตู๋กูจุนอยู่แล้ว 

 

 

ยามนี้เขาก็เป็นเช่นเดียวกับท่านตา คิดจะฉวยดาบขึ้นมาบ้าง 

 

 

บรรยายกาศในตำหนักจิ่นซิ่วเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมา 

 

 

สีพระพักตร์ของตู๋กูซิงหลันยังคงสงบนิ่ง นางยกจอกเหล่าขึ้นช้าๆ จิบน้อยๆคำหนึ่ง เสมือนมิได้รู้สึกถึงประกายตาที่เร่าร้อนของเซียวเฉินเลยสักนิด ครู่ต่อมานางค่อยเงยพระพักตร์ขึ้น กวาดเนตรไปทางเขาแวบหนึ่ง 

 

 

นางรู้สึกว่า จิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาช่างดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่ใช่แบบที่นางชื่นชอบ 

 

 

จิตวิญญาณคล้ายกับซ่งเจียงเสวี่ย…..หรือปีศาจที่ไม่มีผิวหนังตนนั้น 

 

 

วิธีการฝึกฝนจิตวิญญาณของพวกเขา น่าจะมีที่มาจากพื้นเพเดียวกัน 

 

 

พอนางหันไปมอง หัวใจของเซียวเฉินก็ระทึกขึ้นมาอีก 

 

 

เขาวางจอกสุราในมือลง ถวายคำนับตู๋กูซิงหลันอีกครั้งเอ่ยว่า “ที่ข้ามาในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องจะทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาท” 

 

 

“หืม” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงรับอย่างไม่หนาวไม่ร้อนครั้งหนึ่ง 

 

 

เซียวเฉินรู้สึกเหมือนดั่งได้รับการตอบรับแล้ว แม้แต่ด้วยตาก็ยังฉายแววยินดีอย่างปิดไม่มิด 

 

 

เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ก็เห็นบรรดาเหล่านักพรตที่ติดตามเขามาต่างสำแดงวิชาเวทย์ออกมา เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏ**บบรรจุทรัพย์สินล้ำค่าออกมามากมาย ทั้งยังนำสมบัติที่ส่องประกายแวววาวออกมาให้ชม 

 

 

มีทั้งไข่มุก หินโมรา ปะการังโบราณอีกจำนวนนับไม่ถ้วน 

 

 

ทันทีที่เปิด**บออกมา ก็ทำให้ตำหนักจิ่นซิ่วเรืองรองไปด้วยแสงสว่างขึ้นมา 

 

 

หากว่าเป็นเมื่อสองปีก่อน ยามที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ สายตาของตู๋กูซิงหลันจะต้องลุกวาว เป็นประกายขึ้นมาแล้ว แต่ว่าในตอนนี้ดวงตาของนางกลับสงบนิ่ง ทั้งยังไม่ได้เหลือบแลสมบัติเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ในเมื่อเป็นถึงฮ่องเต้หญิงแห่งแผ่นดินโบราณทั้งหมด นางยังจะขาดสมบัติพัสถานใดอีก? 

 

 

เซียงเฉินเห็นนางไม่ได้สนใจในสมบัติเหล่านั้นแม้แต่น้อย ก็เอ่ยปากท่องคาถาบางอย่างออกมา ทันใดนั้นก็เห็นร่างกายของเขาปรากฏแสงสว่างงดงาม ผีเสื้อเจ็ดสีตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านหลังของเขา 

 

 

ผีเสื้อตัวนั้นยามสะบัดปีก ก็มีระยะกว้างถึงสองเมตร บนร่างของมันมีลวดลายสายรุ้งเจ็ดสี เกิดเป็นแสงสว่างที่ทำให้ผู้คนต้องหลงใหลจนตาพร่า 

 

 

ในร่างของมันยังมีจิตวิญญาณที่เข้มข้นกำจายออกมา 

 

 

“นี่คือผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสี สามารถสร้างบรรยาศอันงดงามได้เล็กน้อย เป็นสัตว์วิญญาณระดับสาม มีแต่สิ่งที่สวยงามเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับฮ่องเต้หญิง” สายรุ้งของเซียวเฉินเปล่งประกายออกมา น้ำเสียงของเขาพึ่งจะขาดหาย ฝ่ามือขยับเล็กน้อย ก็เห็นผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีตัวนั้นขยับปีก บินช้าๆไปที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ยามที่ผีเสื้อตัวนี้โบยบินผ่านไปผู้คนรอบด้านพลันได้กลิ่นหอมของบุปผาที่เข้มข้น 

 

 

ชั่วขณะนั้นสายตาของทุกผู้คนจับจ้องอยู่ที่ร่างของมัน 

 

 

สัตว์วิญญาณ ผู้คนในดินแดนนี้ต่างเคยได้ยินมาบ้างแต่ว่าน้อยคนนักที่จะเคยเห็นสัตว์วิญญาณจริงๆ 

 

 

ผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่งดงาม ทั้งยังเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับสาม นับว่าหายากอย่างยิ่ง 

 

 

อู๋เจินและอู๋ซื่อต่างก็หรี่ดวงตาลง สัตว์วิญญาณแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงห้า ระดับหนึ่งนั้นดีที่สุด ระดับห้านับว่าต่ำสุด ในแผ่นดินโบราณนี้ นานครั้งจึงจะได้เห็นระดับห้าสักตัว แต่ระดับสามนี้นับว่าหาได้ยากจริงๆ 

 

 

นอกจากเจ้าสัตว์อสูรที่ออกมาอาละวาดจนพลิกกลับท้องทะเลของทะเลตะวันตกเท่านั้น….. 

 

 

พวกเขาก็แทบจะไม่เคยเห็นระดับสามขึ้นไปมาก่อนเลย 

 

 

เมื่อผีเสื้อสายรุ้งเจ็ดสีโบยบิน ก็ดึงดูดทุกสายตาเอาไว้บนร่างของมัน ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเซียวเฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของฮ่องเต้หญิงมาเนิ่นนานแล้ว ปักใจต่อท่าน วันนี้ที่นำสมบัติล้ำค่าและสัตว์วิญญาณระดับสาม เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา หวังว่าจะได้รับการเหลียวแลจากฮ่องเต้หญิง ขอฝ่าบาททรงอภิเษกสมรสให้กับข้า” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ทั่วทั้งตำหนักก็ตกตะลึงไป 

 

 

เขาว่าอะไรนะ? 

 

 

จะขอฮ่องเต้หญิงอภิเษก? 

 

 

“เจ้าบังอาจล้อเล่นอะไรกัน!” 

 

 

พี่ใหญ่ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เขาแทบจะควงดาบยักษ์ของตนออกไปสับเซียวเฉินเป็นชิ้นๆแล้ว 

 

 

แค่หอบสมบัติกองหนึ่งกับสัตว์วิญญาณมาตัวหนึ่ง ก็คิดจะมาขอน้องเล็กแต่งงาน? 

 

 

เมื่อเขากุมดาบขึ้นมา เหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของเสียวเฉินก็พากันขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ละคนสาดสายตาเปี่ยมไอสังหารออกมา ว่าตามจริงแล้ว ผู้ที่เป็นถึงบุตรของเจ้าสำนักหงเหมิน เดินทางไกลนับพันลี้มาขออภิเษกสมรส ก็ต้องถือว่าเป็นการให้เกียรติฮ่องเต้หญิงผู้นี้มากแล้ว ทำไม ยังจะกล้าไม่พอใจอีกหรือ? 

 

 

นางคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน! 

 

 

ในดินแดนจิ่วโจว มีสตรีตั้งมากมายต่างก็วาดหวังว่าจะได้แต่งให้กับเขาทั้งนั้น! 

 

 

…………………………