บทที่ 1475 เอาชนะกำลังพลนับพัน Ink Stone_Fantasy
หลังจากสังหารฝ่าออกมาแล้ว เฮยทั่นที่วิ่งข้ามแม่น้ำข้ามภูเขาราวกับวิ่งบนพื้นราบมาตลอดทางก็มีท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยหมดแรง ถึงแม้จะเป็นเพราะพลังเท้าของมันแข็งแกร่งเกินใคร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ชอบความรู้สึกเวลาที่เท้าได้เหยียบพื้นวิ่งห้อ ความรู้สึกเวลาได้วิ่งอย่างเต็มที่นั้นทำให้มันชอบยิ่งกว่าตอนเหาะเสียอีก
เหมียวอี้ก็ชอบความรู้สึกเวลาได้ปล่อยตัวแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ข้างนอกมีสาเหตุเยอะเกินไปที่ทำให้เขาไม่ได้ปลดปล่อยฝีมือเต็มที่ ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยอย่างถึงอกถึงใจแล้วจริงๆ โดยเฉพาะการได้ร่วมมือกับเฮยทั่นบุกสังหาร เหมือนได้รื้อฟื้นความรู้สึกในปีก่อนๆ อีกครั้ง
แต่ตลอดทางที่ผ่านมานี้ จากป่าไม้และท้องทุ่งที่ได้เห็นในบางครั้ง เขาก็รู้แล้วว่ายากที่จะหลุดพ้นออกจากค่ายป่าครึ้มได้ ตลอดทางล้วนมีคนจับตาดูอยู่ แล้วจะหนีพ้นได้อย่างไร?
ขณะที่ขี่เฮยทั่นวิ่งตะบึงตลอดทาง เขาก็กำลังรออยู่เช่นกัน เขาเชื่อว่าประมุขค่ายอั้นโยวหลินแห่งค่ายป่าครึ้มใกล้จะมาแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นเกือบสองชั่วยาม บนท้องฟ้าก็มีเงาคนสิบกว่าคนเหาะมา ไล่ตามเขาอยู่บนฟ้าด้านข้างพร้อมมองสำรวจเขา
เหมียวอี้ก็เอียงหน้ามองสำรวจพวกเขาเช่นกัน คนที่นำหน้ามาเป็นผู้หญิงสวมเกราะรบผลึกแดง เกราะรบชุดนั้นไม่ค่อยพอดีตัวนางสักเท่าไร มันเป็นเกราะรบของผู้ชาย ทว่าสถานที่แบบแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรปัจจัยก็มีจำกัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่นับว่าสวย แต่ก็ไม่นับว่าอัปลักษณ์ นางกำลังทำหน้าบึ้งตึง ทำเหมือนเขากำลังติดหนี้นางอยู่ แต่จะสวยหรือไม่สวยก็ไม่เป็นไร ถึงแม้เหมียวอี้เพิ่งจะได้คลุกคลีกับวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้หลังจากมาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ที่แดนฝึกตนแค่วันสองวัน รู้ถึงลักษณะพิเศษของร่างวิญญาณประเภทนี้ ถ้าพวกเขายังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ ก็จะไม่แบ่งแยกตัวเมียและตัวผู้ ตอนที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็ค่อยกำหนดเพศตามความชอบของตัวเอง วิญญาณชั่วร้ายบางดวงก็อยากกลายเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ
ดังนั้นชายหญิงที่อยู่ที่นี่จึงไม่มีความปรารถนาเรื่องความรัก ยกตัวอย่างเช่นอนุภรรยาสิบสามคนของประมุขหวังกงค่ายพยัคฆ์ดำ นักหมดล้วนเป็นแต่ในนามตามประเพณีของนักพรตข้างนอก เกรงว่าที่มากกว่านั้นจะแค่เป็นสัญลักษณ์ ที่จริงแล้วจะเอาไว้ทำลูกน้องเพื่อใช้งาน ให้คอยช่วยคุมเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกระหว่างชายหญิงสักเท่าไร
เหมียวอี้เดาว่าต่อให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้จะรู้จักการผสมพันธุ์ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วอยู่ดี หลังจากรู้สถานการณ์จากปากย่วนต๋า เขาสงสัยว่าถ้าวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เล่นไม่ซื่อ ยกตัวอย่างเช่นถ้าวิญญาณสังหารกับวิญญาณอาฆาตอยู่ด้วยกัน ถ้าผสมพันธุ์กันกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะเป็นการปลิดชีพกันและกัน
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คนของที่นี่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือว่าเป็นสัตว์บกสัตว์ปีก ที่จริงแล้วเป็นสิ่งของชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงวิญญาณชั่วร้าย ตามธรรมชาติไม่มีการแบ่งแยกตัวเมียและตัวผู้ ที่จริงนักพรตผีก็คล้ายกับพวกเขานิดหน่อย เพียงแต่จุดที่นักพรตผีแตกต่างก็คือ ก่อนที่นักพรตผีจะกลายเป็นนักพรตผีก็มีการแบ่งแยกเพศเมียและเพศผู้อยู่แล้ว รู้จักความรักระหว่างชายหญิงโดยธรรมชาติ
ที่จริงไป๋เฟิ่งหวงก็เป็นร่างวิญญาณประเภทหนึ่ง ถึงแม้จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ค่อนข้างสงสัยว่าไป๋เฟิ่งหวงจะเข้าใจความรู้สึกระหว่างชายหญิงหรือเปล่า
แน่นอน วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน ต่อให้วรยุทธ์จะต่ำกว่านี้แต่ก็จะไม่แก่ชราลง ตอนที่กลายเป็นคนมีหน้าตาเป็นแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้นตลอด เป็นสิ่งที่ทำให้คนอิจฉาเหมือนกัน
ความคิดเพ้อเจ้อแบบนี้ก็แค่แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้เท่านั้น วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองตรงหว่างคิ้วของผู้หญิงหน้าบึ้งทำให้เหมียวอี้เดาออกแล้วว่านางคือตัวหลักที่ตนกำลังรออยู่
ชายวัยกลางคนสองคนที่เหาะตามอยู่ทางซ้ายและขวาล้วนมีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง ข้างหลังคือกลุ่มนักพรตที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดขึ้นไป
ฝ่ายหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนพื้น อีกฝ่ายกำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้า ต่างก็กำลังมองประเมินกันอยู่
“เป็นเขาเหรอ?” ผู้หญิงที่กำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้าหันกลับมาถาม
ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นที่โชคดีที่รอดพ้นเงื้อมมือเหมียวอี้ไปได้ตอบว่า “ประมุขค่าย เป็นคนคนนี้แหละขอรับ แค่ชั่วพบหน้ากันหัวหน้าก็ตายด้วยทวนของเขาแล้ว เขาพุ่งฝ่ากระบวนทัพของพวกเราร้อยคนไปได้ในอึดใจเดียว ชั่วพริบตาเดียวก็ใช้ทวนเสยพวกเราร่วงไปสิบกว่าคนแล้ว คนร้อยกว่าคนทำให้เขาหยุดการพุ่งสังหารเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ห้าวหาญมากจริงๆ!”
จากชื่อเรียกก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเหมียวอี้ตัดสินไม่ผิดพลาด คนคนนี้ก็คืออั้นโยวหลิน ประมุขค่ายป่าครึ้ม
“เขาไม่มีของวิเศษที่ร้ายกาจอะไรเหรอ?” อั้นโยวหลินขมวดคิ้วถาม
“ไม่มี มีแค่สัตว์พาหนะกับทวนด้ามเดียวเท่านั้น ไม่มีใครขวางได้” คนคนนั้นตอบ
“เฮอะ!” ชายวัยกลางคนวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งที่อยู่ทางขวาทำเสียงฮึดฮัด “บางทีเจ้าอาจจะพูดเกินไปหรือเปล่า เขามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าเท่านั้น เจ้าคงไม่จงใจพูดเกินจริงเพื่อปกปิดที่พวกเจ้าต่อสู้ไม่ดีหรอกใช่มั้ย?”
คนคนนั้นรีบบอกว่า “หัวหน้าใหญ่ขุย เปล่าจริงๆ ข้าน้อยพูดความจริงทุกประโยค ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามพวกพี่น้องที่รอดชีวิตได้เลย หัวหน้าชงรบตายไปแล้ว จะปลอมแปลงเรื่องราวได้ยังไง! หัวหน้าใหญ่ว่าน…” เขามองไปทางนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งอีกคนด้วยสายตาขอร้อง เห็นได้ชัดว่าหวังให้เขาช่วยพูดให้
หัวหน้าใหญ่ว่านท่านนั้นมองไปที่อั้นโยวหลิน แล้วบอกว่า “ประมุขค่าย ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก แค่ทดสอบก็รู้แล้ว ลองทดสอบฝีมือสักหน่อยค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
“ใช่แล้ว! ใครอยากจะไปทดสอบสักหน่อยมั้ย?” อั้นโยวหลินพยักหน้า
หัวหน้าใหญ่ว่านมองไปที่อีกคนหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ในเมื่อหัวหน้าใหญ่ขุยไม่เชื่อ คิดว่าลูกน้องของข้าโกหก ไม่สู้ให้คนของหัวหน้าใหญ่ขุยไปทดสอบสักหน่อยสิ”
อั้นโยวหลินเอียงหน้ามองมา “หัวหน้าใหญ่ขุยยินดีจะไปทดสอบสักหน่อยมั้ย?”
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ แค่ไปตั้งกระบวนทัพทดสอบเขาให้ประมุขค่ายเอง” หัวหน้าใหญ่ขุยกุมหมัดคารวะอย่างหนักแน่น จากนั้นก็แสยะยิ้มใส่หัวหน้าใหญ่ว่าน
อั้นโยวหลินเตือนว่า “เกราะรบบนตัวเขาดูไม่ธรรมดา แม้แต่สัตว์พาหนะก็ยังสวมเกราะรบขั้นสูง ทั้งยังกล้าบุกเดี่ยวมาตลอดทาง เกรงว่าคงจะไม่ใช่คนธรรมดา ต้องระวังเอาไว้”
“ขอรับ!” หัวหน้าใหญ่ขุยเอ่ยรับแล้วเร่งความเร็ว
เหมียวอี้ที่ขี่เฮยทั่นวิ่งตะบึงตลอดทางเงยหน้าเป็นระยะ พอจะเข้าใจความคิดของพวกเขาแล้ว พวกเขาตกใจที่ตนบุกไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของตนจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่คงจะไม่ให้ตนออกจากอาณาเขตของอั้นโยวหลินไปได้ง่ายๆ เช่นกันสินะ?
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สิ่งที่เขาเดาก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว
ตอนที่เพิ่งพุ่งออกจากหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็เห็นบนแนวภูเขาด้านหน้ามีกลุ่มคนรออยู่อย่างหนาแน่นแล้ว เกรงว่าจะมีประมาณหลายพันคน
หัวหน้าใหญ่ขุยยืนอยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้าม ข้างหลังเป็นกำลังพลของเขา
พออั้นโยวหลินยกมือ ผู้ติดตามก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า แล้วมองไปยังเหมียวอี้ที่อยู่ด้านล่าง ดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร
ในหลายปีมานี้ของเหมียวอี้ เพื่อความอยู่รอด เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี เพื่อให้พวกพี่น้องได้มีอนาคตดีๆ ตามเขาทัน เขาต้องเอาตัวรอดจากความตายนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่เสี่ยงอันตรายก็ไม่รวย ในศึกเล็กต้องสู้กับคนหลายสิบถึงหลายร้อย ในศึกใหญ่ต้องสู้ตายกับคนนับล้าน เคยควบสัตว์พาหนะวิ่งตะบึงผ่ากลางทัพใหญ่หลายแสนเช่นกัน ทั้งยังเคยบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านด้วย ผ่านศึกเล็กศึกใหญ่มาตั้งกี่รอบเขาเองก็นับไม่ถ้วนแล้ว กระบวนทัพเล็กๆ นี้มีหรือที่จะอยู่ในสายตาเขา
ถ้าเปลี่ยนเป็นหยางชิ่ง ถ้ามีวิธีการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องใช้กำลัง ก็จะไม่ใช้กำลังไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ถึงอย่างไรก็มีนักพรตบงกชรุ้งหลายคนกำลังจ้องมองมาอย่างดุร้ายเหมือนเสือ
แต่สำหรับเหมียวอี้ วิธีการแก้ปัญหาของเขาไม่เหมือนหยางชิ่ง
ตอนนี้เขาใช้สองเท้าเตะท้องสองข้างของเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นที่วิ่งแบบเฉลี่ยความเร็วจึงเร่งความเร็วทันที ความเร็วเพิ่มขึ้นย่างกะทันหัน พุ่งออกจากหุบเขาด้วยความเร็วสูง พุ่งไปหาแนวภูเขาที่อยู่ตรงข้ามจนมีฝุ่นควันฟุ้งตามหลังตลอดทาง
“ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ถ้าใครจับเขาไว้ได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม!” หัวหน้าใหญ่ขุยที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันซ้ายหันขวา แล้วโบกทวนตะโกนว่า “ฆ่า!”
เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว มีหนึ่งร้อยคนพอดี แต่กลับรวบรวมไว้แต่คนฝีมือดี ล้วนเป็นนักพรตบงกชทอง ไม่เหมือนกำลังพลร้อยคนที่มาขวางก่อนหน้านี้ที่ยังมีนักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงรวมอยู่ด้วย
“ฆ่า!” หนึ่งร้อยคนที่อยู่บนยอดเขาตะโกนพร้อมพุ่งออกมา พุ่งเข้ามาสามชั้น มีทั้งสูง กลาง ต่ำจนเป็นรูปกรวย พุ่งลงมาจากภูเขา พุ่งสังหารเข้าไปหาเหมียวอี้ที่พุ่งขนาบพื้นเข้ามา
ดวงตาสองข้างของเฮยทั่นฉายแววตื่นเต้นดีใจ เร่งความเร็วอีกนิดหน่อย
เหมียวอี้เปลี่ยนจากถือทวนมือเดียวเป็นถือสองมือ บนทวนเกล็ดย้อนมีปราณปีศาจโลหิตลอยออกมา เกราะรบบนตัวก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
“อา!” มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นก่อน
ชั่วพริบตาเดียวกระบวนทัพรูปกรวยกับเหมียวอี้ก็ชนปะทะกัน หัวหน้าคนหนึ่งที่โจมตีนำมาก่อนกระเด็นออกไปแล้ว สภาพเหมือนกำลังพลร้อยคนที่มาดักทางก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพบหน้ากันเท่านั้น คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้ราวกับเป็นท่อนไม้ต้นหนึ่ง ชนเข้าไปกลางกระบวนทัพรูปกรวย ชนจนกระบวนทัพวุ่นวายไร้ระเบียบ มีเสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง เงาคนกระเด็นมั่วไปหมด
เหมียวอี้ออกทวนเร็วราวกับพายุคลั่ง เฮยทั่นที่พุ่งชนกระบวนทัพรูปกรวยสะบัดหางฟาดทางซ้ายทีขวาทีอย่างบ้าระห่ำ
พุ่งชนกลางกระบวนทัพแล้วฝ่าออกไปราวกับตัดคลื่น ทะลุผ่านทั้งกระบวนทัพออกไปโดยตรง คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้ทิ้งเอาไว้เพียงคนยี่สิบกว่าคนที่กลิ้งล้มระเนระนาดบนพื้น แล้ววิ่งตะบึงต่อไปไม่หยุดพัก พุ่งเข้าไปหาคนนับพันบนยอดแล้ว
ภาพนี้ทำให้คนมองตาพร่ามัวจริงๆ อั้นโยวหลินรวมทั้งผู้ติดตามที่ลอยอยู่บนฟ้าสูดหายใจอย่างตกตะลึง เคยเห็นนักพรตที่มีพลังแข็งแกร่งมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่มีความสามารถในการเข่นฆ่าห้าวหาญทรงพลังขนาดนี้ อั้นโยวหลินอุทานอย่างตกตะลึงว่า “เป็นทหารกล้าจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นทหารกล้าลูกน้องใคร ทำไมถึงบุกเดี่ยวมาอยู่ที่นี่ ถ้าสามารถทำให้เขาสวามิภักดิ์ค่ายป่าครึ้มของข้าได้…” นางเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้เงื่อนไขอะไรมาเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้
แต่นางก็รู้ดี ว่าถ้ามีศักยภาพมากขนาดนี้ ถ้าได้รับทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอ เกรงว่าค่ายป่าครึ้มเล็กๆ คงจะสนองความต้องการของอีกฝ่ายไม่ได้ จู่ๆ ในหัวนางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จะแต่งงานกับเขาดีมั้ยนะ? ไม่รู้เหมือนกันว่ามนุษย์จะชอบฐานะนี้หรือไม่ ถ้าหากอีกฝ่ายตอบตกลง ต่อให้มอบค่ายป่าครึ้มให้ ขอเพียงได้ฐานะสามีภรรยากันแล้ว เกรงว่าผลประโยชน์ที่จะได้จากการบุกเบิกขยายอาณาเขตในอนาคตคงจะเยอะกว่านี้ นี่คือข้อตกลงที่ได้กำไรมาก
หัวหน้าใหญ่ขุยที่อยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้ามสีหน้าเปลี่ยนทันที ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว จนใจที่ตอนนั้นยังไม่ได้ทดสอบฝีมือ!
“ลุย!” หัวหน้าใหญ่ขุยโบกมือ ผลปรากฏว่าไม่มีใครตอบสนอง พอหันซ้ายหันขวา ก็พบว่าลูกน้องทำสีหน้าหวาดกลัวกันหมด ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าบุกเลย
ทว่าสถานการณ์แบบนี้ก็ทำให้เขาคิดอะไรมากไม่ได้ หนึ่งคนกับหนึ่งตัวพุ่งขึ้นมาบนภูเขาแล้ว เขาไม่มีเวลามาขู่ลูกน้องแล้ว
ตัวเองเป็นหนึ่งในหัวหน้าใหญ่ของค่ายป่าครึ้ม ถ้าระดับบงกชรุ้งสู้ระดับบงกชทองไม่ได้ ในภายหลังเขายังจะมีที่ยืนในค่ายป่าครึ้มได้อย่างไร?
เขาโบกมือถือดาบยาวไว้ในมือ ชั่วพริบตาเดียวก็ถลันตัวลงไปแล้ว มองลงไปหาเหมียวอี้ที่พุ่งขึ้นมาด้านบน ควงแขนฟันดาบออกมาหนึ่งครั้งอย่างบ้าคลั่ง หมายจะจัดการให้สำเร็จในครั้งเดียว ฟันเหมียวอี้ให้ตกลงใต้ม้าในดาบเดียว
เหมียวอี้พุ่งขึ้นมาโดยไม่หลบหลีก และไม่ได้ใช้ของวิเศษอะไรด้วย เขาออกทวนด้วยความเร็วถึงขั้นสุดเท่าที่ตัวเองจะควบคุมไหว มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วหมุนวนอยู่บนทวนเกล็ดย้อน พุ่งชนใส่ดาบยาวที่ฟันเข้ามาอย่างห้าวหาญ!
ไม่น่าเชื่อว่านักพรตวรยุทธ์บงกชทองจะกล้าใช้กำลังปะทะกับนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้ง!
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่หยุดหายใจและเบิกตากว้างมองดูฉากนี้
บึ้ม! เกิดเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ผิวดินแยกออกจากกัน หมู่ขุนเขาที่อยู่รอบข้างสั่นไหวและถล่มพัง สะเทือนจนฝุ่นควันตลบอบอวลบนผืนแผ่นดินใหญ่
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ ดาบยาวในมือหัวหน้าใหญ่ขุยกระเด็นออกไปแล้ว ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังกลับมาอย่างเลอะเลือนเล็กน้อย เห็นเขาควบคุมร่างกายไม่ได้ ชัดเจนว่าเลอะเลือนเพราะการโจมตีครั้งนี้แล้ว
เหมียวอี้ก็ร่างสะเทือนเช่นกัน แต่กำลังอันป่าเถื่อนของเฮยทั่นกลับน่าทึ่ง มันยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อ แทบจะทำให้เหมียวอี้ตกจากหลังแล้ว
พอเหมียวอี้บังคับร่างให้นิ่งได้ ก็ใช้สองเท้าเหยียบบนหนามแหลมสีดำตรงท้องสองข้างของเฮยทั่น จากนั้นดีดตัวขึ้นมา แล้วเหยียบบนหัวเฮยทั่นอีก อาศัยพลังชนโจมตีของเฮยทั่นเพื่อดีดตัวออกจากเฮยทั่นอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่หัวหน้าใหญ่ขุยยังไม่หายดี ใช้มือข้างเดียวส่งทวนออกไปกลางอากาศ ทวนแทงทะลุเกราะรบผลึกม่วงของหัวหน้าใหญ่ขุยเสียงดังฉึก ทะลุเข้าหัวใจของหัวหน้าใหญ่ขุย ทวนนี้เรียกได้ว่าดุดัน มั่นคง แม่นยำ!
ทันใดนั้นเฮยทั่นก็ใช้กำลังทั้งหมดกระโจนขึ้นมา รับตัวเหมียวอี้เอาไว้ หนึ่งคนกับหนึ่งตัวกระโดดเป็นแนวเส้นครึ่งวงกลม ตกลงบนยอดเขาพอดี
เหมียวอี้ลากทวนไปกับพื้น เสยให้หัวหน้าใหญ่ขุยที่ติดดอยู่บนหัวทวนหลุดออกไป ปล่อยให้กลิ้งลงไปตามภูเขา
“อ๋าว!” เฮยทั่นคำรามลากเสียงยาวพลางวิ่งวนรอบภูเขา รู้สึกเบิกบานสำราญใจ
เหมียวอี้ที่ขี่เฮยทั่นวิ่งวนโบกทวนชี้ไปยังกลุ่มคนที่ยืนตะลึงเหม่อ สีหน้าดุร้ายเหี้ยมโหด คนหลายพันคนบนภูเขาตกใจจนถอยหลังพร้อมกันทันที ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
…………………………